“ไปก่อนนะ”
“ระวังรถล่ะ”
คำบอกลาของแม่เขายังคงเหมือนเดิม ระวังรถ เธอเริ่มใช้คำพูดนี้ตั้งแต่ที่คุณตาเสียไปเพราะอุบัติเหตุบนท้องถนน
มารุเปิดประตูและก้าวเท้าออกไป ลมเย็น ๆ ในยามเช้าเข้าปะทะเข้ากับตัวเขา ตอนนี้เป็นเดือนมีนาคม ถึงจะเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว แต่ก็ยังดูเป็นฤดูหนาวมากกว่าฤดูใบไม้ผลิ มารุเดินลงไปที่ชั้นหนึ่งก่อนจะปลดล็อคจักรยานของตัวเองออกจากที่จอด
“ไม่ได้เห็นเจ้านี่มานานแล้วนะเนี่ย”
จักรยานที่มาพร้อมกับเกียร์ธรรมดา ๆ มารุกระโดดขึ้นบนอานและเริ่มออกแรงถีบ ลมเย็น ๆ ที่ปะทะเข้ากับนิ้วทำให้เขารู้สึกชา แต่ถึงจะอย่างนั้นเขาก็ยังแทบอยากจะตะโกนร้องออกมาด้วยความดีใจ
“กลับมา… แล้วจริง ๆ “ เขาพึมพำ ก่อนภาพของคุณยูจะลอยขึ้นมาในหัวเขา
‘ขอบคุณมากนะครับที่ให้โอกาสนี้กับผม‘ เขากล่าวขอบคุณในใจ
มารุหยุดที่ทางแยกเพื่อหยิบเอาเครื่องเล่น MP3 ออกมา นานมากแล้วจริง ๆ ที่เขาไม่ได้เห็นมัน เขาเสียบสายหูฟังเข้ากับรูรับที่เครื่อง ก่อนจะเริ่มฟังเพลงที่ส่วนมากมาจากนักร้องช่วงต้นยุค 2000
“นี่สิของดี” เขาเผลอพึมพำออกมา อย่างน้อย ๆ มันก็ดีกว่าพวก k-pop ที่มีเนื้อร้องภาษาอังกฤษแทรกอยู่เต็มไปหมด เขาชอบที่จะฟังเพลงที่เขาเข้าใจได้มากกว่าที่จะฟังเพลงแบบนั้น มารุเริ่มออกแรงถีบอีกครั้งพร้อมร้องเพลงคลอไปเบา ๆ
“ความรักที่ฉันมีให้~”
หลังจากขี่มาได้เกือบ 30 นาที เขาก็เห็นโรงเรียนอยู่ในระยะสายตา
‘ดูเหมือนเดิมเลย แต่ก็แน่ล่ะ ถ้าไม่เหมือนสิมันจะยิ่งแปลก’
อาคารยาวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ทำมาจากอิฐสีน้ำตาล ที่หน้าตึกมีแท่นเล็ก ๆ วางไว้สำหรับให้ผู้อำนวยการใช้ สนามที่หน้าแท่นดูค่อนข้างจะใหญ่โตกว่าโรงเรียนปกติหน่อย ที่มุมขวาของโรงเรียนถึงขั้นมีสนามบาสอยู่และข้าง ๆ กันนั้นก็มีศาลาหลังเล็ก ๆ อยู่ด้วย แถว ๆ นั้นจะมีน้ำพุเล็ก ๆ อยู่ และมารุเองก็มักจะไปใช้น้ำที่นั่นระหว่างแข่งขัน
มารุเดินเข้าไปยังประตูหน้า เขาเห็นนักเรียนรอบ ๆ ตัวเขาแต่งตัวมาด้วยเสื้อผ้าธรรมดา เขาเองก็เช่นกัน มีครั้งหนึ่งเขาเคยคิดอิจฉาชุดเครื่องแบบที่นักเรียนโรงเรียนอื่นเขาได้ใส่กัน แต่หลังจากโตขึ้นเขาก็ได้รู้ว่าการได้ใส่เสื้อผ้าธรรมดา ๆ แบบนี้มันดีแค่ไหน
เมื่อเขาเข้ามาใกล้ประตู เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความทรงจำอันน่าคิดถึงและความหวาดกลัวจากส่วนลึกของตัวเอง เขามองเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยยืนอยู่เบื้องหน้า
‘ครูฝ่ายปกครอง’ อวตารแห่งความน่ากลัวนั้นยืนอยู่ที่ประตูหน้าพร้อมกรรไกรในมือ มารุเดาะลิ้นเพราะความสยองที่เคยพบเจอ เขามีความทรงจำแย่ ๆ กับการถูกกรรไกรเล่มนั้นตัดผม
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเลยก็คือกรรไกรนั้นมันทื่อ และผมของคุณจะไม่ถูกตัดออก แต่จะถูกดึงออกแทน
“เร็วเข้า นี่แก ผมนั่นมันอะไร” เด็กผู้ชายคนหนึ่งถูกครูจับไว้ได้ เด็กผู้ชายคนนั้นดูไม่เหมือนปีหนึ่งเท่าไหร่ เขาย่อตัวลงที่เบื้องหน้าของครู
“หือ จัดทรง? จะเอาเท่แต่วันแรกเลยเหรอ?” ครูจ้องมองมาตาเขม็ง
“ขอโทษครับ” เด็กคนนั้นกล่าวเสียงสั่น
“ไปวิ่งรอบสนามสามรอบแล้วกลับมาหาครู เข้าใจไหม?”
“ครับผม”
“วันนี้จะปล่อยไปก่อนนะ ไหน ๆ ก็ยังเป็นวันแรกอยู่”
“ครับครู”
เด็กผู้ชายโยนกระเป๋าตัวเองลงที่พื้นและออกวิ่ง มารุเดินผ่านมาพร้อม ๆ กับหันดูเหตุการณ์
‘อายุความคิดเราน่าจะเท่ากันแท้ ๆ แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าถูกกดดันอยู่ดี’ เขารู้สึกได้ มันเป็นความรู้สึกของ
เด็กนักเรียนใหม่จริง ๆ
* * *
หลังเอาจักรยานไปจอดแล้ว มารุเดินขึ้นไปบนห้องของตัวเองที่ชั้นสอง เขาเดินเข้าห้อง 2 ที่เป็นห้องวิศวกรรมไฟฟ้าด้วยความรู้สึกอันน่าคิดถึง ตัวเขาจริง ๆ ในตอนนี้ไม่เคยมาที่นี่ แต่เขาก็ยังรู้สึกคุ้นชินกับห้องเรียนนี้อย่างมาก บรรยากาศเงียบ ๆ กับอากาศเย็น ๆ เด็กคนอื่นในห้องที่หันหน้ามองไปมาอย่างประหม่าพร้อมซุกมือไว้ในกระเป๋า ตอนนี้มีคนอยู่ในห้องทั้งหมด 7 คน
มารุดูรอบ ๆ ห้องก่อนจะกลับไปทำเรื่องของตัวเองต่อ แต่เรื่องของตัวเองที่ว่านี้ก็มีแต่อ่านมังงะ ฟังเพลง เพียงแค่นั้น เขาตัดสินใจที่จะนั่งตรงหน้าห้อง สมัยมัธยมเขามักจะนั่งตำแหน่งนี้เสมอเพราะเป็นตำแหน่งที่ครูมักจะมองข้าม และเขายังจะไปถึงโรงอาหารในตอนพักเที่ยงได้เร็วขึ้นด้วย
‘จะว่าไป ตอนเรียนเราไม่เคยตั้งใจเลยนี่นะ’
โรงเรียนอาชีววูซุง นี่คือโรงเรียนที่มารุเลือกจะเข้าเรียนในอดีต
‘เวลาช่วงมัธยมต้นเอง เขาก็ใช้มันไปวัน ๆ เช่นกัน’
เรียนนิด เล่นหน่อย เป็นนักเรียนที่ไม่เคยทำเรื่องอะไรใหญ่ ๆ
นั่นคือมารุ เด็กที่ไม่ได้โง่ แต่ก็ไม่ได้ฉลาดพอจะไปเข้าโรงเรียนดี ๆ ได้ เขาเข้าเรียนมัธยมต้นด้วยความหวังที่ว่าจะเข้าโรงเรียนมัธยมปลายดี ๆ ได้ แต่สุดท้ายก็ต้องหันหน้ามาเผชิญความเป็นจริง
‘ยังจำเรื่องพวกนี้ได้อย่างชัดเจนเลย หรือว่าความทรงจำของเรามันจะเปลี่ยนไปจริง ๆ’ มารุนึกถึงตอนที่เขาคุยกับครูที่ปรึกษาช่วงมัธยมต้นของเขา เขายังคงจำมันได้ดี ความทรงจำของตอนอายุ 45 เริ่มค่อย ๆ จางหายไปตามกาลเวลา และเขาจะค่อย ๆ กลายเป็นตัวเองในปี 2003 แทน เขารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาที่ผ่านไป
“หมายความเราว่ามาเริ่มใหม่แล้วจริง ๆ สินะ” เขาคิด แต่ถึงจะอย่างนั้น มารุก็ยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจำภรรยาและลูกสาวของเขา เพราะหญิงสาวนั้นบอกกับเขาว่าเขาจะสามารถจำเรื่องสำคัญบางเรื่องได้ เขาจึงไม่ได้กลัวมันมากนัก หลังเขาคิดถึงเรื่องตัวเองในอดีตและอนาคตได้สักพัก เขาก็เริ่มได้ยินเสียงเด็กคนอื่นพูดคุยกันใกล้ ๆ กับเขา
“โดนตรวจด้วยปะ?” คนหนึ่งถาม
“ตรวจ? อ่อ ที่ต้องถอดเสื้อออกอะนะ?”
“อ่า โดนด้วยสินะ”
“เอาจริง ๆ กลัวแทบตาย ตอนตรวจคนข้าง ๆ มันมีรอยสักด้วย”
“แล้วมันโดนอะไรบ้าง?”
“ครูเขาบอกให้มันไปลบออก”
“ให้ตาย โรงเรียนอาชีวนี่มันสุดจริง ๆ เนอะ ทำอย่างกับพวกเราเป็นอาชญากร”
“แค่เราเรียนไม่เก่งเท่าคนอื่นเองแท้ ๆ “
“จริงเลย”
“จะว่าไปเอ็งสูบปะ?”
“ฉันเหรอ สูบสิ”
“เยี่ยม มาเป็นเพื่อนกันเถอะ ตอนนี้พกมาด้วยไหม?”
“ตั้งแต่วันแรก? ไม่มีทาง ค่อยเอามาพรุ่งนี้แล้วกัน”
“ก็ดี”
มารุยิ้มออกมาหลังจากได้ยินคำพูดของทั้งสองคน เขาจำได้ค่อนข้างชัดเจนว่าเคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนในความทรงจำ เด็กคนหนึ่งเอาบุหรี่เข้ามาในห้องเรียนตั้งแต่วันที่สองหลังเปิดเรียน และโดนครูเอาช็อกปาหัว ต้องเป็นหมอนี่แน่ ๆ