ข้ามเวลาล่าฝัน – บทที่ 15

ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 15

 

โดวุคจ้องมองไปที่มารุ หมอนี่ปกติเอาแต่นั่งฟังเพลงแล้วหลับ แต่ตอนนี้มาทำอะไรของมัน? ไม่ได้มาหาเรื่องหรืออะไรแบบนั้นด้วย แต่มาให้คำแนะนำแทน… เพื่อ?

 

“เชี่ย”

 

ยิ่งเขาคิดหาเหตุผลมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกงงมากขึ้นเท่านั้น โดวุคได้แต่ระบายความอึดอัดลงไปกับดินสอในมือ ถึงมันจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตาม

 

* * *

 

คาบเรียนทั้งหมดของวันนี้จบลงแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นักเรียนวิศวกรรมไฟฟ้าจะได้เข้าไปใช้ห้องปฏิบัติการของสาขาตัวเอง อย่างน้อย ๆ ก็ครั้งแรกในชีวิตครั้งนี้น่ะนะ เพราะมารุเคยมาที่นี่แล้วในอดีต ถึงจะจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่ที่นี่คือที่ ๆ พวกเขาฝึกการบัดกรีกัน

 

“กลิ่นแย่จริง จะว่าไป ได้ยินมาว่าสารจากตอนบัดกรีจะทำให้อสุจิที่เก็บไว้ในร่างกายตายด้วยนะ” โดจินบอกเพื่อนขณะเดินออกมา

 

“ถามจริง?” เดมยังทำคิ้วขมวด ปล่อยโดจินยิงมุกตลกและก็ยืนขำอยู่คนเดียว

 

มันเป็นมุกที่คุ้นหู มารุรู้สึกราวกับเขาเคยได้ยินมาแล้วในชีวิตก่อน หลังจากที่เลี้ยวหัวมุมมาพร้อม ๆ กับเพื่อนทั้งสอง มารุก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เพราะเห็นจุงฮยุกเดินมาหาพวกเขาจากทางเดินอีกฝั่ง

 

“สวัสดีครับรุ่นพี่”

 

“อ่า กลับมาจากการบัดกรีเหรอ?”

 

ทั้งสามคนพยักหน้ารับ จุงฮยุกจึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคการบัดกรีเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนจะขอตัวไป ตอนนั้นเองที่มารุตัดสินใจจะตามจุงฮยุกไปแทน เขาจึงบอกเพื่อนทั้งสองให้นำไปก่อนเลย โดจินทำหน้าตางง ๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร

 

“รุ่นพี่” มารุเรียก

 

“โอ้ มารุ ยังอยู่อีกเหรอ?”

 

“มีเรื่องจะบอกครับ”

 

“เหรอ?”

 

จุงฮยุกพามารุมาที่โรงอาหารชั้นหนึ่ง ก่อนจะเดินไปซื้อช็อกโกแลตร้อนจากเครื่องขายอัตโนมัติมาให้ทั้งมารุและตัวเอง

 

“นี่ เอาไปดื่ม”

 

“ขอบคุณครับ”

 

พวกเขานั่งลงที่ม้านั่งด้านข้างโรงอาหาร เด็กนักเรียนหลายคนวิ่งผ่านพวกเขาเข้าไปในโรงอาหาร จนโถงในโรงอาหารเต็มไปด้วยเสียงคุยเล่นกันอย่างรวดเร็ว มารุได้ยินเสียงครูตะโกะมาเป็นพัก ๆ ด้วย

 

“แล้ว? เรื่องที่ว่าคือ?” จุงฮยุกถามหลังจากคนเริ่มบางตาลง

 

มารุวางแก้วช็อกโกแลตร้อนลงบนตักของตัวเอง ก่อนจะบอกเรื่องที่เขาค้นพบเมื่อวันก่อน

 

“หมายความว่ารอยพวกนั้น เด็กห้องนายเป็นคนทำงั้นเหรอ?”

 

“ครับ”

 

จุงฮยุกถอนหายใจยาว ๆ และยกมือขึ้นมาขยี้อย่างจมูกอย่างขัดใจ ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งสองไปพักหนึ่ง หลังจากคนรอบ ๆ หายไปหมดแล้ว จุงฮยุกจึงชี้ให้มารุออกไปข้างนอกด้วยกัน

 

พวกเขายังได้ยินเสียงเด็กคนอื่นมาจากด้านนอกอยู่บ้าง มารุได้ยินก็รู้ทันทีว่าเสียงมันมาจากพวกนักฟุตบอลที่เล่นอยู่ใกล้ ๆ สนามบาส

 

“บอกใครไปรึยัง?”

 

“ไม่ครับ”

 

“หมายความว่ามีแค่ฉันกับนายที่รู้ใช่ไหม?”

 

“ครับ”

 

“งั้นก็เก็บไว้เป็นความลับแล้วกัน”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

มารุไม่ได้ประหลาดใจกับคำขอนี้เท่าใดนัก เพราะนี่เป็นคำตอบที่เขาคิดว่าคงได้รับมาอยู่แล้ว ตรงกันข้าม ฝั่งจุงฮยุกกลับรู้สึกประหลาดใจกับคำตอบของมารุ

 

“จะไม่ถามอะไรเลยเหรอ?”

 

“ก็ ทำแบบนี้คงดีกว่าอยู่แล้ว”

 

“เหรอ?”

 

“ก็รุ่นพี่บอกเราไว้นี่ครับ ว่าชมรมเรามันมีชื่อเสียอยู่แล้ว ถ้างั้นเรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ก็ควรจะเก็บไว้ดีกว่า ไม่จำเป็นต้องเอาชมรมไปเสี่ยง”

 

หรืออย่างน้อย ๆ นั่นก็เป็นสิ่งที่มารุคิด แต่ดูท่าเขาจะคิดถูก โชคดีที่จุงฮยุกพยักหน้ากลับมา ทำให้สายตาของทั้งสองสบกัน มารุจึงเห็นกล่องคำพูดลอยขึ้นมา

 

[รอบคอบดี]

 

เหอะ แน่ล่ะ ฉันอายุมากกว่านายตั้งเท่าตัว

 

“แล้วก็ยูนจัง…”

 

“ไม่คิดจะไปบอกประธานตั้งแต่แรกแล้วครับ”

 

“โอ้ จริงเหรอ?”

 

“รู้สึกว่าถ้าบอกไป เธอคงได้บุกห้องเรียนผมแน่ ๆ”

 

“อ่า คงทำแบบนั้นแน่ล่ะ”

 

จุงฮยุกขย้ำแก้วกระดาษในมือ เขาส่ายหัวทันทีหลังมารุทำท่าจะเอาไปทิ้งให้

 

“ฉันไม่ได้หาสมาชิกเพิ่มเพื่อมาเป็นขี้ข้า” เขาโยนแก้วลงถังขยะไป “และก็ไม่ต่องเกร็งมากก็ได้ เห็นแล้วฉันก็รู้สึกเกร็งตามไปด้วย”

 

“ได้”

 

“มีพี่น้องไหม?”

 

“มีน้องสาว”

 

“จริงดิ?”

 

“ทำไมเหรอ?”

 

“ก็นายดูมีความรับผิดชอบ ทำหน้าที่ตัวเองได้ดี”

 

ช่างน่าประหลาดใจ มารุไม่ได้คาดคิดเลย แต่เขาสามารถบอกนิสัยคนที่เพิ่งรู้จักกันแค่ไม่นานได้อย่างชัดเจนขนาดนี้เลยเหรอ?

 

“นายน่าจะช่วยชมรมได้เยอะเลยนะ”

 

“ไม่หรอก”

 

“ไม่ได้ล้อเล่นนะ สภาพจิตใจของสมาชิกคือหัวใจหลักของชมรมการแสดงเลย ชมรมต้องมีรากฐานที่มั่นคง ยิ่งกับชมรมแบบเราที่ต้องมีคนมากมายหลายแบบอยู่ด้วยกันแล้ว”

 

จุงฮยุกน่าจะกำลังนึกถึงอะไรบางอย่าง เห็นได้ชัดจากสีหน้าที่เปลี่ยนไป

 

“คือ พี่?”

 

“ว่าไง?”

 

“ขอถามหน่อยได้ไหม?”

 

“ถามมาเลย”

 

“ทำไมยูนจังถึงเป็นประธานไปได้?”

 

จุงฮยุกหลุดขำออกมากับคำถามนั้น ราวกับว่าเขาจำเรื่องราวบางอย่างที่ลืมไปแล้วขึ้นมาได้

 

“เธออยากเป็นน่ะ”

 

“…แค่นั้น?”

 

“เดี๋ยวก็ได้เห็นเองแหละ ยัยนั่นน่ะแปลกคน”

 

เขาดูมีความสุขที่ได้พูดเรื่องของเธอ แต่ก็แน่ล่ะ เพราะยูนจังเป็นคนที่มีเอกลักษณ์มาก ๆ เลยนี่นา

 

“ขอถามอีกเรื่องได้ไหม?”

 

“เรื่องปีสามเหรอ?”

 

ลูกบอลลอยโด่งขึ้นบนท้องฟ้า มารุได้ยินเสียงเด็ก ๆ ตะโกนอย่างสนุกสนานอยู่ไม่ไกล จุงฮยุกมองขึ้นไปบนตึกเรียนด้วยท่าทางขมขื่น ก่อนเขาได้ยินเสียงตะโกนลงมาจากหน้าต่าง

 

“ไง มารุ อ่ะ รุ่นพี่?”

 

มันมาจากหน้าต่างชั้นสอง โดจินและเดมยังกำลังมองลงมาที่เขาจากบนห้องเรียน

 

“พวกนั้นรอนายอยู่นะ”

 

“อ่า ครับ”

 

“ไว้ค่อยคุยเรื่องปีสามกันวันหลัง ไปก่อนเถอะ”

 

จุงฮยุกเดินกลับเข้าตึกไป พร้อมกับโบกมือลา

 

“ขอบคุณสำหรับช็อกโกแลตร้อนนะครับ”

 

“อ่า”

 

มารุเองก็เดินกลับเข้าตึก หลังจากดื่มช็อกโกแลตร้อนอึกสุดท้ายลงคอ

 

* * *

 

 

ชีวิตเรา บางครั้งบางทีมันก็จะมีสิ่งเล็ก ๆ ที่ปลุกให้เราต้องรู้สึกตัว บางสิ่งบางอย่างที่มีอำนาจมากพอ จะเปลี่ยนมุมมองของเราต่อโลกไปได้ในระดับหนึ่ง

 

เรื่องนี้เองก็เกิดขึ้นกับโดวุคเช่นกัน เขามักจะสูบบุหรี่ ยิงมุกโง่ ๆ และไปเล่นเกมหลังเลิกเรียนทุกวันก่อนกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านเขาก็จะกินข้าวและเข้านอน เช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็จะกลับมาที่โรงเรียน และทำเรื่องเดิมวน ๆ ซ้ำ ๆ

 

แต่เรื่องนั้นต้องเปลี่ยนไปเพราะสิ่งเล็ก ๆ เพียงแค่อย่างเดียว

 

“ไปกันเถอะ”

 

“อ-อืม”

 

โดวุคมองดูเดมยังและโดจินเดินออกห่างจากหน้าต่าง สายตาของเขาสบเข้ากับเดมยัง ทำให้อีกฝ่ายต้องถอยหนีไปอย่างช่วยไม่ได้

 

‘น่ารำคาญ’

 

เรื่องนี้มันทำให้เขารู้สึกรำคาญอย่างบอกไม่ถูก เมื่อก่อนเขาไม่แม้แต่จะสนใจสายตาของคนอย่างเดมยัง เพราะพวกมันไม่มีค่าพอจะให้เขาใส่ใจ แต่…

 

[เจ้าแห้งนั่นก็มีเพื่อนว่ะ หืม?]

 

[ควาย]

 

เขาเสียเพื่อนไปภายในวันเดียว เพราะพวกนั้นเลือกที่จะไปอยู่กับเจ้าไหมพรม พวกเด็กเวร

 

แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ แล้วตัวเขาล่ะ? เขาเองก็เป็นเด็กเวรเหรอ? ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในหัวเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาพยายามจะไม่สนใจมัน แต่คำถามนั้นก็ไม่มีทีท่าจะยอมหายไป

 

แกต่างกับพวกมันไหม?

 

โดวุครู้สึกได้ ถึงความรู้สึกแปลก ๆ สุมขึ้นที่กลางอก ความอาย ใช่แล้วเขากำลังอับอาย เมื่อเขานั่งลงแล้ว เขาไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมามองรอบ ๆ ได้อีก เขาเอาแต่นึกถึงตอนที่เขาต่อยคนอื่นแล้วหัวเราะเยาะ ภาพความทรงจำตอนที่เขาแย่งเงินเด็กคนอื่นสมัยมัธยมต้นลอยกลับเข้ามา เหตุการณ์พวกนั้นมันเริ่มจะทำให้เขารู้สึกอับอายจนอยากมุดแผ่นดินหนี

 

ไม่สิ มันยิ่งกว่าคำว่าอับอาย มันรู้สึกน่าสมเพช ทำไมเขาถึงได้คิดที่จะก่อกวนคนอื่นกันนะ? เช้านี้เขาขอยืมการบ้านของเด็กปอดแหกคนหนึ่งมาลอก แค่นั้นยังไม่เท่าไหร่ ปัญหาคือ ‘เขาต่างจากพวกนักเลงหน้าโง่คนอื่นยังไง’ คำถามนี้ผุดขึ้นมาในหัว แต่เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจมัน

 

แต่ตอนที่ครูภาษาอังกฤษหยิบไม้เรียวนั้นขึ้นมา เขาก็เริ่มคิดถึงมันอีกครั้ง เขาควรจะยืนหัวเราะ มองดูเด็กขี้ขลาดคนนี้ถูกตีจนน่องลาย แต่ไม่ใช่คราวนี้ เพราะความคลางแคลงในตัวเขาคราวนี้มันก่อกวนเขามากเกินไป

 

เขาจึงโกหก ไม่ใช่เพื่อเลี่ยงความรับผิดชอบ แต่เพื่อแสดงความรับผิดชอบ ผลคือไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แน่นอน จนโรงเรียนเลิกแล้วก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน

 

สิ่งที่แปลกใหม่อย่างเดียวก็คงเป็น ขาของเขาเจ็บเอามาก ๆ

 

แค่คิดถึงเรื่องนั้นมันก็ทำให้เขาแทบจะตัวแตกเป็นเสี่ยง ๆ มันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันนะ?

 

“เหี้ย”

 

แม้แต่ความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจในตอนนี้ ก็ยังรู้สึกหน่อมแน้มเสียเหลือเกิน แล้วยังไงต่อ? นี่คงเป็นภาระที่เขาต้องแบกรับล่ะมั้ง ให้ตาย เขาตัดสินใจเดินออกมาจากห้อง เพราะคิดว่ามันน่าจะช่วยให้ความรู้สึกนี้หายไปได้บ้าง กลับบ้านไป เข้านอน ตื่นมาหายเป็นปลิดทิ้ง เพื่อนน่ะเหรอ? จะหาเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ใช่แค่มาเป็นเพื่อนสูบบุหรี่แบบนี้ แต่สุดท้ายเขาก็มองย้อนกลับเข้าไปในห้องเรียน เขารู้ดีว่าสิ่งที่หน่อมแน้มน่ะ ไม่ใช่คำถามในหัว แต่เป็นตัวเขาเอง

 

 

“ให้ตายสิวะ เพราะมันคนเดียว”

 

ภาพของมารุลอยกลับเข้ามาในหัว ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ชีวิตของโดวุคคงไม่ต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้

 

สุดท้าย โดวุคก็เดินออกจากห้องไป พร้อมเกาหัวแกรก ๆ เขารู้สึกว่าการมาโรงเรียนในวันพรุ่งนี้มันช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset