ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 21 ตอนที่ 2
โดวุคเปิดประตูเข้าบ้านพร้อมรถจักรยาน เขาอาศัยอยู่ในบ้านสองชั้นที่ล้อมรอบไปด้วยรั้วสูง จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่คุ้นชินกับการอยู่บ้านแบบนี้ หมาน้อยตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาทักทายเขาด้วยท่าทางตื่นเต้น
เจ้าหมามีชื่อว่าน้อย เป็นสิ่งเดียวในบ้านที่เขาพอจะคุ้นชินโดวุคไม่รู้ว่าหมาตัวนี้เป็นพันธุ์อะไร เขาแค่รับมันมาเลี้ยงจากป้าคนหนึ่งเมื่อ 5 ปีก่อน
และมันก็โตขึ้นอย่างแข็งแรงดี
เขาลูบเจ้าหมาเล็กน้อยก่อนจะเอาจักรยานไปจอดไว้ข้างผนัง
โดวุคเดินขึ้นบ้านตัวเอง อากาศอุ่น ๆ ของบ้านออกมาปะทะตัวเขาหลังก้าวเข้ามา เขาไม่สนใจที่จะบอกคนในบ้านว่าเขากลับมาแล้ว เพราะเขารู้ดีว่าไม่มีใครอยู่บ้านเวลานี้ เขาเอารองเท้าเก็บในชั้นวางและเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะ ก่อนจะเดิ นตรงไปที่ห้องครัว
มีอาหารเย็น ๆ รอให้เขาอุ่นอยู่
เขาอุ่นข้าวและซุปในเตาไมโครเวฟ เขามองดูจานหมุนอยู่สองสามรอบก่อนจะเดินออกไปให้อาหารหมาเจ้าหมาน้อยเข้ามาหาเขาพร้อมหางที่ส่ายไปมา
เด็กดี
“ระหว่างฉันไม่อยู่แกทําอะไรมาบ้าง?”
โดวุคถาม ก่อนจะดันถาดอาหารไปให้ แน่นอนว่าไม่มีคําตอบ โดวุคลูบหัวเจ้าหมาอีกครั้งก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องครัวเสียงไมโครเวฟดังขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณบอกเขาว่าอาหารอุ่นพร้อมแล้ว เขาจึงนํามันออกมากิน
จริง ๆ แล้วมีสติกเกอร์ติดอยู่ใต้ชามอาหาร เขาเห็นมันมันคือข้อความจากแม่ของเขา แต่เขาไม่จําเป็นต้องอ่านมัน ยังไงเสียมันก็คงเป็นคําพูดเดิม ๆ เขากินจนเสร็จก่อนจะเดินไปเปิดทีวี ในห้องนั่งเล่นอากาศค่อนข้างเย็น ทําให้เขาเปิดเครื่องทําความร้อนขึ้นด้วย
หลังจากนั่งหัวเราะไปกับรายการทีวีกว่า 30 นาที เขาก็เดินไปใช้ห้องน้ํา เสียงหัวเราะของรายการดังขึ้นขณะที่เขากําลังเดินออกจากห้อง ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุผลอันใด แต่จังหวะอันพอเหมาะนี้มันทําให้เขาแทบบ้า เขากดปุ่มปิดเครื่องแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขากดมันอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เป็นผล กด เขาต้องกดอีกครั้ง ในที่สุดมันก็ดับลง เขาเดินขึ้นไปบนห้องตัวเองที่อยู่บนชั้นสอง ทําให้เขาได้ยินเสียงหมาเห่าจากด้านนอก หลังมันกินอาหารเสร็จ
แต่เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจมัน เขาเปิดคอมขึ้น และลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะเปิดดูโปรแกรมส่งข้อความเพื่อน 13 คนออน ไลน์อยู่ พวกนี้เป็นเพื่อนสมัยมัธยมต้นของเขา แต่ไม่มีใครคิดจะตอบข้อความเขา แต่ก็เพราะว่าจริง ๆ พวกเขาก็ ไม่ได้สนิทกันมากมายอะไร
โดวุคหันไปมองที่มือถือของตัวเอง เขาเลือกดูรายชื่อผู้ติดต่อเพื่อพยายามจะหาคนโทรคุยด้วย หลังเขาเลื่อนลงมาจนสุด ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เพราะเขาได้รับรู้ว่าไม่มีใครจะให้เขาโทรหาเลยสักคน
“เหี้ย”
เขาปิดโทรศัพท์ ตอนนี้เขากําลังรู้สึกหงุดหงิดเหรอ? การโทรหาเพื่อนมันไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย แล้วทําไมเขาถึงได้ลังเลกัน?
แต่แล้ว ถ้าโทรไป เขาจะพูดเรื่องอะไรล่ะ?
เจ้าเด็กที่อยู่ข้างหน้ามันชื่ออะไรนะ? อ่า จิชุล ใช่แล้ว แต่ทําไมต้องมานึกถึงมันด้วย? หมอนั่นมักจะอยู่คนเดียวเสมอ เพราะเป็นคนเงียบ ๆ เขายังจําสีหน้าลําบากใจของจีชุลได้ทุกครั้ง ที่มีงานกลุ่มต้องทํา
“เหอะ”
แต่ตอนนี้โดวุคกลับมีสภาพไม่ต่างไปจากเจ้าหมอนั่น เรื่องนั้นนี่เองที่ทําให้เขาหงุดหงิด หรืออาจจะแย่กว่าด้วยซ้ํา เพราะจิชุลยังมีคนมาชวนคุยบ้างเป็นครั้งคราว แต่โดวุคยัง จําคําพูด ที่ตัวเองพูดที่โรงเรียน ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาได้อย่างดี
“ ไม่มีเลย”
มันมีแค่คําพูดที่เขาตอบโต้กับครูเท่านั้น เขาไม่ได้คุยกับนักเรียนคนอื่น ๆ เลย ไม่สิ เขาคุย “ไม่ได้” ต่างหาก นี่คือความรู้สึกของคนที่โดนแกล้งเหรอ? เพราะอะไรบางอย่าง ทําให้ใบหน้าของเหล่าเหยื่อรายก่อน ๆ ของเขาลอยขึ้นมาเต็มหัวไปหมด
หยุดเลย ฉันไม่อยากจํามันแล้ว ให้ตาย ใบหน้าเหล่านั้นไม่ยอมออกไปจากหัวของเขา เขายังจําได้ว่าพวกนั้นมักจะพูดแค่ “ขอโทษ” และ “ยกโทษให้ด้วย”
“ห่า”
โดวุคเปิดเพลงและเร่งเสียงจนเต็ม เพลงกล่อมคลาสสิคกลับเขย่าห้องของเขาได้ราวกับเพลงเฮฟวี่เมทัล เขาเพียงหวังว่าเสียงดัง ๆ นี้จะช่วยกลบอารมณ์ของเขาลงได้บ้าง
ให้ตาย”
เสียงของเหยื่อยังไม่หายไปจากหัวของเขา
*****
“ออกมา?”
– อ่า มาช่วยหน่อย เรื่องแบบนี้แกน่าจะถนัดกว่าฉัน
“เรื่องแบบไหน?”
– เดมยัง
เดมยัง? ตอน 5 ทุ่มเนี่ยนะ? ทําไม? เขาต้องถีบจักรยานถึง 20 นาทีเลยนะกว่าจะถึงที่นั่น
“เออก็ได้วะ”
คนเรามันไม่สามารถเปลี่ยนไปได้ง่ายขนาดนั้นหรอก มารุไม่อยากจะทิ้งคนที่กําลังประสบปัญหา ยิ่งเป็นเพื่อนด้วยแล้ว
“ผมออกไปข้างนอกนะแม่”
“ไปไหนเหรอ?”
“เพื่อนน่ะ”
“หะ?”
“ไม่ต้องห่วงหรอกแม่ ผมไม่เป็นไรหรอก”
……….
แม่ของเขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะบอกให้เขารีบไปรีบกลับ นั่นทําให้เขานึกถึงว่าเมื่อโตขึ้นเขาอยากจะเลี้ยงลูกให้เป็นอิสระ เหมือนที่พ่อแม่ของเขาเลี้ยงเขามา และนั่นคือสิ่งที่ทําเอาไปทําจริง ๆ กับลูกสาวตัวเอง แม้เธอจะทําให้เขาต้องเจ็บช้ํา บ้างบางที แต่สุดท้ายเธอก็โตขึ้นเป็นคนดี
“พวกเลี้ยงลูกแบบไข่ในหินน่ะไม่ไหว
มารุแอบดูในตู้เย็นของพ่อแม่ การไปคุยกับเพื่อน…. หมายความว่าเขาต้องมีของบางอย่างติดไม้ติดมือไปด้วย เขาหยิบกระป๋องเบียร์ออกมาเก็บไว้ในกระเป๋าก่อนจะเดินออกบ้านไป
….
ตอนที่มารุมาถึง คนเริ่มเบาบางคนแล้ว คงกลับบ้า นกลับช่องกันไปหมดแล้วถึงเขาจะยังเห็นคู่รักอยู่ในสวนอีกสองสามคู่ แต่เขาก็ไม่สนใจและเข้าไปด้านในสวน
“อยู่นี่เอง”
“อือ หนาว”
มารยิ้ม หลังเห็นเพื่อนทั้งสองคนนั่งชิดกันเพราะความหนาวเย็น
“ถ้าหนาวขนาดนั้นทําไมไม่ไปร้านเกมหรืออะไรสักที่ล่ะ?”
“เราจน ที่สําคัญที่เราออกมาก็เพราะเจ้านั่น” เดมยังชี้มืออันสั่นเทาไปที่ลูกบาส
แล้วจะใส่ชุดพละออกมาทําไมล่ะ มารคิด
“ไปหามาม่าจากร้านแถวนี้กินกันก่อนเถอะ” มารุแนะนํา
“โอ้ เลี้ยงเหรอ?”
สีหน้าของโดจินเปลี่ยนไปทันที แต่เดมยัง แม้จะมีสีหน้าสดชื่นขึ้นมาแว็บหนึ่ง แต่ก็ส่ายหัวปฏิเสธไป
“ไม่เอาดีกว่า”
“หืม ลดน้ําหนักเหรอ?”
เพราะมันเป็นเหตุผลเดียวที่เขาจะเรียกโดจินออกมาเล่นบาสด้วย
…..
“นิดเดียวน่า ถ้าปล่อยไปแบบนี้เดี๋ยวได้เป็นหวัดเอานะ ไปกันเถอะ”
มารุเดินนําไปยังร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ พร้อมกับจักรยานคันโปรด มันเป็นร้านที่ค่อนข้างใหญ่ และยังมีคนอยู่ด้านในอีกหลายคน มารุเดินเข้าไปซื้อบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปและออกมาเติมน้ําที่ตู้น้ําร้อน
“กินก่อน” มารพูดพร้อมแยกตะเกียบในมือออกจากกัน
เพื่อนทั้งสองคนต่างพยักหน้ารับและเริ่มลงมือซูดเส้นเข้าปาก หลังได้เจอน้ําซุปร้อน ๆ เข้าไป ทั้งสองคนก็ยิ้มออกมา
“อ่า รู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะ”
“ฉันด้วย”
พวกเขาพากันเลียชามจนเกลี้ยง ก่อนจะเดินกลับกันมาที่สวน ในสวนยังสว่างอยู่ เพราะแสงจากหลอดไฟ
“แล้ว มีเรื่องอะไร?” มารุถาม ก่อนจะนั่งลงที่ม้านั่งใกล้ ๆ
“บอกไปสิ” โดจินกล่าว
เดมยังถอนหายใจ ดูเหมือนเขาจะไม่กล้าพูดออกมาจริง ๆ
“พูดไปเถอะน่า” โดจินกดดัน แต่ก็ไม่ได้ผล
มารุพยักหน้า มันคงเป็นเรื่องสําคัญบเดมยังมาก ๆ แต่เขาจะกลับไปโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็คงจะไม่ได้ เขาจึงเอากระป๋องเบียร์ออกมาจากกระเป๋า ทําให้ทั้งสองต่างหันมามองด้วย ความตกใจ มารยิ้ม
“ยาช่วยพูดนะพวก”