ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 22
ดวงตาของโดจินเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ต่างกับเดมยังที่มีแต่ความกังวล ได้เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่านิสัยของทั้งสองต่างกันแค่ไหน
“เหล้า?” เดมยังถาม มารุพยักหน้ารับ
“ไปเอามาจากไหน?”
“เอามาจากในตู้เย็น”
“จะไม่โดนด่าเอาเหรอ?”
“นั่นมันปัญหาของฉัน ไม่เกี่ยวกับพวกแก เคยดื่มรึเปล่า เดมยัง?”
“ไม่เคย”
มารุยื่นกระป๋องให้
“ดื่ม”
“ไม่ต้องกลัวไปน่า ไม่ตายหรอก” โดจินพูดขึ้น เขาดูอยากลองมันเต็มที่
เดมยังยกกระป๋องขึ้นและดื่มไปเล็กน้อย
“แหวะ ขม”
“เหรอ?”
โดจินลองชิมบ้าง
“แหวะ รสชาติอะไรเนี่ย?”
“หืม?”
“ไม่ คือ เวลาดูในทีวีพวกดาราดื่มกันท่าทางอร่อยมากเลยนี่ แต่นี่มันรสชาติอะไรกัน?”
“มันแค่หมายความว่าพวกนายยังบริสุทธิ์อยู่”
มารุเองก็ยกขึ้นดื่มอีกใหญ่ ตัวของเขาในวัย 45 สามารถดื่มโซจู 4 ขวดได้อย่างสบายๆ เพราะร่างกายของเขาทนทานพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และต่อให้ได้กลับมาในอดีต เรื่องนั้นก็ยังไม่เปลี่ยนไป
“ชอบของแบบนี้เหรอ?” โดจินขมวดคิ้ว
“ฉันไม่ได้ใสซื่อเหมือนพวกนาย”
“พูดอะไรของเอ็งวะ?”
“ถ้าได้ลองเจอความยากลําบากในชีวิตอีกหน่อย เดี๋ยวก็จะรู้เองแหละว่าเบียร์มันอร่อยยังไง การที่คิดว่าเบียร์รสชาติห่วยน่ะ มันหมายความว่าพวกนายมีชีวิตที่ดีพร้อม”
มารุยื่นกระป๋องเบียร์ไปให้เดมยัง
“ว่าไง พูดออกรึยัง?”
เดมยังส่ายหัว
“งั้นจิบอีกหน่อย มันช่วยได้ ทําให้หายหนาวด้วย”
เดมยังยกเบียร์ขึ้นและเริ่มดื่มอีกครั้ง อึก อึก กระป๋อ งเบียร์ว่างเปล่าลงในเวลาแค่ไม่กี่วินาที
“ไม่ได้หมายถึงให้กระดกทีเดียวหมดแบบนั้น… ไหวปะ?”
“หืม? อ่า ไม่เป็นไร…มั้ง”
“ตอนนี้ไปเดินเล่นกันก่อนเถอะ”
ทั้งสามคนออกเดินเล่นในสวนไปได้สักพัก
“เห้ย ดูเดมยังดิ” โดจินบอก
ใบหน้าของเดมยังกลายเป็นสีชมพู ยังไม่ถึงขั้นแดง แต่ออกชมพูเข้ม
ส่วนอีกด้าน…
“โดจิน หน้านายแดงจัดเลย” เดมยังพูดสวน
“หา ฉัน?”
โดจินหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศจากการดื่มเบียร์แค่อีก
เดียว
“เวลามีงานฉลองอะไรแกไม่ควรดื่มนะ บอกเลย”
“เอ๋? เดี๋ยวนะ ฉันแดงเหรอ? แต่ฉันยังรู้สึกปกติอยู่เลยนะ”
โดจินยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเอง ก่อนจะกระโดดขึ้นด้วยความตกใจ
“เฮ้ย เดี๋ยวขอไปวิ่งสักรอบก่อนนะ ให้ตายสิ ทําไมเป็นแบบนี้เนี่ย?” เขาเริ่มออกเดินไปพร้อมกับพยายามพัดระบายเอาความร้อนบนหน้าออกไป
“ตับไม่ดีรึเปล่านะ?”
มารุตัดสินใจที่จะไม่เอาเหล้าหรือเบียร์มาให้เพื่อนคนนี้กินอีก
“จะเป็นอะไรรึเปล่านะ?” เดมยังถาม
“ไม่เป็นไรหรอก แค่มันไม่ถูกกับพวกแอลกอฮอล์เฉยๆแหละ แล้วแกล่ะรู้สึกยังไงบ้าง?”
“หือ? ฉันปกติดีนะ แต่ปากจะชาๆหน่อย เหมือนสมัยเด็กๆที่เข้าไปถอนฟันกับหมอเลย จะว่าไป ตอนนั้นฉันยังมีความสุขมากๆเลยนะ ไม่สิ ต้องพูดว่าความมั่นใจ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ําว่าเด็กคนอื่นมันกลัวหมอฟันทําไมกัน ฉันจะไปพูดกับคนอื่นทั่วเลย ว่า “จะกลัวหมอฟันทําไม? ฉันไปนี้ไม่มีร้องสักแอะ เฮ้อ… แล้วมาดูตัวเองตอนนี้สิ…”
เดมยังเริ่มบ่นไปเรื่อยเปื่อย เขาดูจะไม่รู้ตัว แต่แอลกอฮอล์ส่งผลกระทบกับตัวเขาแล้วแน่ๆ มารุฟังที่เดมยังพูด ไปเรื่อยๆ เขาไม่เคยเห็นเพื่อนเป็นแบบนี้มาก่อนเลย เด็กหนุ่มทําท่าทางโบกไม้โบกมือตลอดเวลาที่พูด
“เรื่องสมัยประถมแล้ว”
เดมยังคงเริ่มกลายเป็นคนเก็บตัวหลังขึ้นมัธยม
“และเด็กที่นั่งข้างๆ ฉันตอนประถม 3 ก็บอกมาว่า ฉันหน้าตาตลก”
ไหล่ของเด็กหนุ่มตกลงอย่างเห็นได้ชัด เสียงของเขาเองก็เริ่มเบาลง นี่สินะปัญหา
“วันนั้นมันปกติ ฉันก็ดูปกติดี จนเธอมาบอกว่าฉันหน้าตลก จากนั้นทุกคนก็เริ่มบอกว่าฉันหน้าตาตลก พวกนั้นคงไม่ได้คิดร้ายอะไรหรอก แต่ฉันขํากับมันไม่ออก เพราะมันเป็นความจริงล่ะมั้ง? ก็ดูฉันสิ หน้าโง่จะตายไป”
เดมยังยิ้มออกมาอย่างผืนๆ เขาหันมามองมารุ ที่เอาแต่จ้องมองเขากลับมาอย่างไร้อารมณ์
“ต่อสิ”
“เอ๋”
“ฉันฟังอยู่ พูดต่อเลย”
หลังจากชั่งใจอยู่พักหนึ่งเดมยังก็พูดต่อไป บอกเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น และเรื่องที่เขาเริ่มถูกแกล้ง
“การโดนแกล้งน่ะมันแย่มากจริงๆ แต่ฉันก็ทําอะไรกับมันไม่ได้ เพราะมันเป็นความผิดของฉันเอง ก็ฉันมันหน้าตาประหลาดนี่นา จะพูดอะไรสวนกลับไปได้? ราวกับว่ากําลังขอร้องให้พวกนั้นมาแกล้ง”
เดมยังหยุดมองที่มารุ ผู้ที่บอกให้เขาพูดต่อ แต่เขากลับลังเล
“มีอะไรอีกไหม?”
“เอ๋?”
“อะไรจะพูดอีกไหม?”
“อ่า…”
“จบแค่นี้เหรอ?”
มารุมองไปที่เดมยัง เขาเริ่มสร่างแล้วเหรอ? หรือพอพูดมาแล้วถึงเริ่มรู้ตัว? เด็กหนุ่มเริ่มมีท่าทีหวาดๆ ขึ้นมา
“…ตลกไหม? ฉันเก็บเอาเรื่องอะไรแบบนั้นมาคิดมาก ก็จริง ฉันหน้าตาตลกจะตาย มันคงต้องเป็นแบบนั้นแหละ แต่ตอนนี้ฉันดีขึ้นแล้ว เพราะฉันมีเพื่อน เพื่อนที่พร้อมฟังฉันบ่น”
เดมยังยิ้มออกมา แต่ไหล่ของเขาก็ยังตกอยู่เหมือนเดิม มารุมองเข้าไปในตาของเด็กหนุ่ม เขาไม่ได้ต้องการจะเห็นคําพูดอะไรลอยขึ้นมา เขาไม่ต้องใช้มัน เขาแค่อยากจะเห็นว่าเดมยังจะตอบสนองยังไง
เด็กหนุ่มก้มหน้าลง หลังสบตาเข้ากับมารุ
“เดมยัง”
“ขอโทษ”
“เคยมีเพื่อนเก่าเพื่อนแก่บอกฉันไว้ การได้พบเจอผู้คนอาจจะไม่ทําให้คนเราเปลี่ยนไป แต่เพื่อนๆของเราก็อาจจะออกห่างจากเราไปเพราะเรื่องนั้นได้”
มารุยืนตรงหน้าเดมยัง เขายกไหล่ของเด็กหนุ่มขึ้น
“นั่งให้มันสบายตัวหน่อย”
เดมยังพยายามปล่อยตัวให้สบาย ถึงจะยังดูเกร็งๆบ้าง มือของเขาวางไว้ด้วยกันบนเข่า ราวกับเป็นท่านั่งของทหารใหม่
“ภาพลักษณ์ของคนน่ะ เปลี่ยนไปตามคนที่เขาคบ บางคนอาจจะมองแกว่าเป็นเด็กเรียน บ้างอาจจะบอกว่าเป็นคนขี้กลัว แต่แกน่ะไม่ได้เปลี่ยนไปเลย สิ่งต่างๆรอบตัวต่างหากที่เปลี่ยนไป”
“คนเราน่ะมักถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ พวกเขาจะเข้ามายุ่ง ไม่ว่าจะยุ่งทางด้านดีหรือร้าย แต่เรื่องนั้นมันช่วยไม่ได้หรอก และแกก็ไปหยุด ไม่ให้เขาตัดสินแกไม่ได้ด้วย”
เดมยังพยักหน้า
“เพราะฉะนั้นจงยอมรับและอยู่กับมันเสีย แต่ก็ยังมีเรื่องสําคัญอยู่”
มารุยกนิ้วของตัวเองขึ้นมาทําเป็นรูปตัว T
“นิ้วข้างบนนี้ คือตัวแทนสิ่งที่คนคิด”
มารุยกนิ้วขึ้นด้านหนึ่ง ราวกับมันเป็นไม้กระดก
“บ้างอาจจะมองมาดี”
คราวนี้เขากดปลายนิ้วลงอีกด้าน
“บ้างอาจจะมองมาร้าย” เขาพูดต่อ “แต่น่าเสียดายที่แก ไปควบคุมเรื่องพวกนี้ไม่ได้ เพราะแกควบคุมจิตใจคนอื่นไม่ได้ ใช่ไหมล่ะ?”
“อ่า…”
“แต่ดูนี่ นิ้วตรงกลางที่ค้ํายันมันไว้”
มารตั้งนิ้วตรงกลางแนวตั้งที่คํานิ้วแนวนอนไว้
“ถ้าแกรักษาสมดุลดีๆ ภาพที่คนอื่นมองมาที่แกมันก็จะไม่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง แต่ถ้าสมดุลนี้หายไป แกคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ”
“ภาพลักษณ์ที่คนอื่นมองมา…. จะเปลี่ยนไป”
“ใช่เลย”
มารุเอามือลง
“คนบางคนน่ะ รู้วิธีทําตัวให้คนอื่นประทับใจ แต่แกเป็นคนแบบนั้นไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่”
“คนปกติน่ะ ต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างธรรมดา หรือก็คือ ต้องหาสมดุลของตัวเองให้เจอ คนเราปกติจะมีจุดสมดุลของตัวเองมาตั้งแต่เกิด การจะเปลี่ยนมันนะยาก แต่มันมีอย่างหนึ่งที่แกเปลี่ยนได้ง่ายๆ”
“…อะไรเหรอ?”
“แกน่าจะรู้ดีกว่าใครนะ”
“อะไรนะ? ตัวประหลาด? หน้าตลก? ฉันว่ามันยังมีอะไรมากกว่านั้นนะ”
“ไม่มีอะไรในโลกทําร้ายแกไปได้มากกว่าตัวแกเอง ถ้าตัวแกเองเป็นคนที่คิดจะทําลายสมดุล มันจะกลายเป็นเรื่องอันตรายเอา”
มารุนึกถึงคําที่เดมยังเคยถูกเรียก คําด้านลบที่เด็กหนุ่มใช้เรียกตัวเอง เขามักเรียกพวกที่มาแกล้งตัวเองว่า “เด็กเท่ๆ” และเรียกตัวเองว่า “ไอ้อ้วน” เขาเห็นหลายคนที่ชีวิตต้องพังทลายลงเพราะความคิดแบบนี้ โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงานขับรถโดยสารของเขาที่ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง
“แล้ว… ฉันจะต้องทํายังไง?”
“ไม่รู้ ฉันไม่ใช่แก แกควรเป็นคนคิดเอง แกเป็นคนยังไงก่อนจะเริ่มดูถูกตัวเองนะ? ลองเป็นตัวเองในแบบนั้นอีกครั้ง มันคงยากหน่อย ฉันรู้ คนเรามันเปลี่ยนกันไม่ได้ง่าย ๆหรอก”
เดมยังยิ่งดูเศร้าไปกว่าเดิม ตอนนี้เขาคงคิดอะไรหลายๆ อย่างในหัว
เดมยังคิดถึงเรื่องราวต่างๆ จนทําให้เขาลืมความหนาวเย็นยามค่ําคืนไปเลย เขาก้มลงมองดูมือของตัวเอง พวกมันช่างอวบ ไม่สิ อ้วน ตอนนี้เขาน้ําหนักเท่าไหร่กันนะ? เขารู้สึกว่าทุกๆวัน ร่างกายของเขาจะขยายออกด้านข้างไปหลายเซนติเมตร เรื่องนั้นจริงๆแล้วก็เป็นความผิดของเขาเองเช่นกัน
“ฉันแค่นึกขึ้นมาตอนนั่งเล่นเกม ว่าจริงๆแล้วเกมมันอาจจะเป็นแค่หนทางหนีความจริงของฉันก็ได้ เพราะในเกมฉันใช้ชีวิตได้สะดวกสบายมากกว่าชีวิตจริง”
“อืม”
“บางทีถ้าฉันเอาเวลาพวกนั้นมาเล่นกีฬา ฉันอาจจะไม่แย่ขนาดนี้ก็ได้ คงไม่กลายเป็นหมูตอน อาจจะผอมได้แบบนายด้วยซ้ํา
เดมยังเกาหัวราวกับว่าเขานึกอะไรขึ้นได้
“ฉันติดสินใจแล้ว ฉันจะเลิกเล่นเกมแล้วหันมาเล่นกีฬา ถ้าทําแบบนั้นคนอื่นๆน่าจะมองฉันต่างไปบ้างมั้ง? อืม ต้องมั่นใจเข้าไว้”
ใช่ เขาต้องมั่นใจในตัวเอง เขารู้สึกขอบคุณมารุจากใจที่ ยอมรับฟังปัญหาของเขา มันนานมากแล้ว ที่เขาไม่ได้พูดความรู้สึกของตัวเองออกมาตรงๆ
วันหลังต้องพามารุไปเลี้ยงอะไรหน่อยแล้ว
แต่….มารุไม่ได้มองมาอย่างอ่อนโยนนัก
“บอกแล้วใช่ไหม? คนเราเปลี่ยนกันไม่ได้ง่ายๆหรอก ถึงเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่แกต้องตัดสินใจเอาเองก็ตาม ฉันจะไม่บอกให้แกทําอะไรหรอก อ่ะ หรือจริงๆจะบอกไปเยอะแล้วนะ?”
มารุยิ้มแห้งๆ การตัดสินใจของเขามันผิดเหรอ?