ข้ามเวลาล่าฝัน! ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 29 ตอนที่ 1
ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 29 ตอนที่ 1
สิ่งที่เขาต้องเผชิญหลังเข้ามา คือความร้อน สายตาทั้ง 11 หันมามองที่เขา มารุได้แต่ยักไหล่ตอบก่อนจะหันไปทักทายมิโซ
“สวัสดีครับ”
“อ่า”
คําตอบนั้นแสนสั้น แต่มารุชินกับมันแล้ว มารุเดินเข้าไปนั่งที่ที่นั่งผู้ชม ตรงนั้นมีเหล่าเครื่องดื่มเตรียมไว้พร้อมสําหรับนักแสดง เขานั่งลงพร้อมหนังสือในมือ จากที่นั่งตรงนี้เขาสามารถเห็นเหล่านักแสดงได้อย่างชัดเจน
กอบฉากการแสดง
มารุหันไปดูทางซ้ายมือที่ใช้เก็บอุปกรณ์ประกอบฉากการแสดง ทั้งโซฟา โต๊ะ ผ้าปู ไม้แผ่น และอื่นๆ…
“อ่า อ่า อ่า เบาเสียงที่ออกมาหน่อย ใส่แรงลงไปในช่องท้องอีก ใช้กะบังลมให้มาก ลองนึกภาพว่าได้มองเข้าไปในตัวเอง พอเปิดปากร้องอ้าขึ้นมา เราจะเห็นกล่องเสียงเปิดออกปล่อยให้ลมจากช่องท้องผ่านออกมาจนถึงปาก แต่อย่าปล่อยให้ลมออกมาเปล่าๆ ให้เอาออกมาแค่เสียง บีบเสียงจากช่องท้องให้ได้มากที่สุด” มิโซ กล่าวพร้อมจับที่หน้าท้องของเด็กคนหนึ่ง
เธอใช้มือหนึ่งจับที่หน้าท้องส่วนอีกมือจับจุดที่เขาทําพลาด ทุกครั้งที่เธอเข้าไปสอนแบบนั้น เหล่าสมาชิกชมรมก็จะลองปรับท่าทางตัวเองแล้วลองใหม่อีกครั้ง มารุเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่เริ่มฝึกกัน
ความเปลี่ยนแปลงแรก คือสมาชิกชมรมดูใจเย็นลงมาก เสียงของพวกเขาไม่มีอาการสั่นเครือเลย มันช่างฟังดูนุ่มลึก ต้องขอบคุณการฝึกที่ผ่านๆมา
“ดีมาก คราวนี้เดินเร็ว”
เหล่าสมาชิกต่างเดินมารวมกันเป็นวงกลมหลังได้ยินคําพูดนี้จากปากของมิโซ พวกเขาเริ่มเดินกันราวกับว่าจะไล่จับคนที่อยู่ด้านหน้า พวกเขาค่อนข้างจะขยับตัวได้เร็วเลย
“พยายามจําการเคลื่อนไหวตอนนี้ไว้นะ จําไว้ว่าตัวเองใช้กล้ามเนื้อส่วนไหน จําวิธีการหายใจให้ดี ลองนึกว่ามีกล้องกําลังจับภาพตัวเองอยู่ทุกส่วน เหมือนเป็นมุมมองบุคคลที่สาม”
หลังการทําแบบนี้อยู่ 5 นาที มิโซก็ปรบมือและบอกว่า “ช้าๆ” เหล่าสมาชิกชมรมก็ขยับตัวช้าลงตามคําบอก ราวกับว่าพวกเขากําลังถ่ายภาพสโลโมชั่น การทําแบบนี้ไม่ได้เป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับมารุ
เขาเห็นการทําแบบนี้มานักต่อนักสมัยยังเป็นผู้จัดการ มันค่อนข้างจะปกติเลยที่เหล่านักแสดงจะทําอะไรแบบนี้ เพราะสุดท้าย ภาษากายนั้นคือสิ่งที่สําคัญที่สุดสําหรับพวกเขา เขายังจําภาพของนักแสดงมือใหม่ที่ทําพลาดจนต้องโดนต่อว่าได้ดี
มารุเองก็เคยลองทําอะไรแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน เขาแค่เข้าไปร่วมฝึกกับพวกนักแสดงเพราะความอยากรู้อยากเห็น เขาไม่ได้เรียนรู้อะไรมาก แน่นอน ยิ่งเขาไม่ได้รู้จักครูฝึกคนนั้นมากนักแล้วด้วย ตอนที่มารุเริ่มเข้าทํางานในบริษัทเขาก็ได้ยินข่าวเกี่ยวกับครูฝึกคนนี้อีกครั้ง กลายเป็นว่าครูฝึกคนนี้เองก็เริ่มทํางานเป็นพนักงานกินเงินเดือนเช่นเดียวกับเขา
“อย่าขยับนิ้วมือหรือนิ้วเท้าเชียว ใช้การเคลื่อนไหวทุกส่วนให้เกิดประโยชน์ สิ่งสําคัญเวลาแสดงคือห้ามขยับตัวโดยเปล่าประโยชน์ เข้าใจไหม?”
“ครับ/ค่ะ”
สมาชิกชมรมยังคงขยับตัวอย่างเชื่องช้า แม้จะตอบรับกลับมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาคงจะทําแบบนี้กันอีกประมาณสิบนาที ถึงจะเห็นแบบนี้ แต่การเคลื่อนไหวช้าๆนั้น กินแรงเอามากๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเวลาทหารยืนแถวจะเหนื่อยกันไม่น้อยเลย
คนแล้วคนเล่า เหล่านักเรียนต่างพากันทําหน้านิ่วคิ้วขมวด บางครั้งพวกเขาเสียหลักและล้มลงไปก็มี และถ้ามีใครทําอะไรแบบนั้น ก็จะถูกมิโซตะโกนใส่อย่างดุดัน
“ตั้งใจ”
เธอเป็นพญาสิงห์ตัวจริงเลย มารุหันกลับมาเปิดหนังสือและอ่านต่อ เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกดึงเข้าไปร่วมเข้าไปในการฝึกประจําวันสุดโหดนี้ หลังผ่านไปได้หลายนาที ทุกคนก็กลับมายืนแถวตรงกันอีกครั้ง มิโซปล่อยพวกเขามาพัก 15 นาที
มารุบิดหนังสือลงและมองไปด้านหน้า เขาเห็นสีหน้าอันหิวกระหายของเหล่าสมาชิกได้อย่างชัดเจน เขาจึงโยนขวดน้ําไปทางโดจินขวดหนึ่ง
“อ่า ให้ตาย เหนื่อยฉิบ”
“อย่างน้อยก็ยังไม่ตายล่ะนะ”
“แฮ่ก แฮก”
แม้แต่เกนซุคเองก็หอบหายใจถี่จากการฝึกรอบเช้านี้ ยูริมกลับเล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองแม้แต่ตอนพัก ตอนนี้เขาเห็นมือถือแทบจะเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของเธอไปแล้ว
“ปวดขา” โซยอนร้องออกมาพร้อมๆกับก้มลงนวดน่องของตัวเอง เธอดูผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงจะยังอวบๆอยู่หน่อย แต่ก็ดูเพรียวขึ้นมากแล้ว
อิเซและแทจูนยังดูดีไม่เปลี่ยนแปลง แต่หน้าตาอันเหน็ดเหนื่อยของแทจูนกลับทําให้เขาดูไม่ค่อยจะหล่อสักเท่าไหร่แล้วตอนนี้ เด็กหนุ่มมีแรงน้อยกว่าที่เห็นภายนอกมาก อาจจะแย่กว่าเดมยังเสียด้วยซ้ําไป และนั่นบอกถึงอะไรบางอย่าง
“นี่มันค่ายลดน้ําหนักเหรอ?”
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่การฝึกนี้มันช่วยลดน้ําหนักได้ดีจริง
“นึกว่าขาซ้ายจะเป็นตะคริวแล้วเสียอีก”
“ปล่อยมันเถอะ”
“อ่า ไหนว่าปีสองเป็นแค่ผู้กํากับเวทีไง?” มินซองบ่นออกมาให้จุงฮยุกฟัง พวกเขาอาสาที่จะเป็นผู้จัดการเวที แต่พวกเขาเองก็ยินดีร่วมการฝึกของมิโซอย่างไม่บ่นอะไร พวกเขาทั้งสองคนได้บทที่ค่อนข้างเด่นเสียด้วยซ้ําไป บทพ่อพระเอกและบทลุง
“อ่า เดนมิ นวดขาให้หน่อยได้ไหม? ปวดอะ”
“เหอะ ฉันก็เหนื่อยนะ”
“เพื่อนรัก ใจจืดใจดําจัง”
ยูนจังและเดนมเองก็กําลังคุยกันอยู่เช่นกัน พวกเขาต่างแผ่รังสีความร้อนออกมาจากร่างกาย มารุเดินผ่านหน้าทั้งคู่พร้อมยื่นน้ําเย็นๆ และขนมให้
“ขอบคุณนะ คุณผู้จัดการ” ยูนจังพูดขึ้น
จู่ๆ นั่นก็กลายเป็นฉายาของมารุไปแล้ว เขาจําไม่ได้ด้วยซ้ําว่าใครเป็นคนเริ่มเรียกเขา ที่แรกก็แค่หยอกกันเล่นๆ แต่สุดท้ายทุกคนต่างเรียกเขาแบบนี้ไป
ผู้จัดการ เขาไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่าจะถูกเรียกแบบนี้อีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดจริงๆ
“พยายามเข้าล่ะ”
“อ่า เหลือเวลาไม่มากแล้วนี่นา”