เข้ารับราชการทหารอีกครั้ง แค่คิดก็ทำเอาเขาขนลุกตั้งไปทั้งตัวแล้ว แต่เขาก็ทำอะไรกับมันไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ก็ตราบเท่าที่ประเทศยังไม่รวมกลับเป็นหนึ่ง คาบสามได้ผ่านไป และตามมาด้วยคาบสี่ ครูใหม่อีกสองคนเริ่มการเรียนการสอนอย่างปกติ คนที่แปลกคงมีแต่ครูภาษาเกาหลีเท่านั้น
“เอาล่ะได้เวลาพักเที่ยง ทำความสะอาดและกลับบ้าน”
โดจินตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง วันนี้โรงเรียนเลิกบ่ายสองโมง เพราะว่าเป็นวันแรกของการเปิดเรียน
“ไปกินข้าวไหน?”
“เห็นโรงยิมที่สร้างอยู่ตรงนั้นไหม มันอยู่ข้างใต้นั่นแหละ”
มารุนึกขึ้นมาได้ทันทีหลังจากโดจินบอกตำแหน่งให้กับเขา เขาจำได้ว่าเขาวิ่งไปที่นั่นเกือบทุกวัน
“รู้เรื่องโรงเรียนดีจริงนะ”
“ก็ตอนพักไปสำรวจมาบ้างแล้วแหละ”
จริง ๆ เลย มารุเดินไปทางโรงอาหารพร้อมกับโดจิน โรงเรียนมีลักษณะคล้ายรูปตัว L ด้านหนึ่งของตึกเป็นห้องเรียน ส่วนอีกด้านเป็นห้องปฏิบัติการ ส่วนโรงอาหารนั้นตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับอาคารห้องปฏิบัติการ และมันค่อนข้างจะเสียงดังทีเดียวเพราะมีการก่อสร้างอยู่ใกล้ ๆ
“ต่อให้สร้างเสร็จเราก็ไม่ได้ใช้”
“ถามจริงดิ”
“บอกเลยนะ ที่พวกเราจะมีโอกาสได้เข้าไปก็มีแต่ตอนโดนใช้เข้าไปทำความสะอาดเท่านั้นแหละ”
“แล้วแกไปรู้มาได้ยังไงน่ะ?”
“เรียกว่าเป็นสัญชาตญาณเถอะ”
มารุมองไปยังโรงยิมที่กำลังก่อสร้างด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ ผู้อำนวยการใช้เงินสร้างมันไปมากโข และสุดท้ายหลังสร้างเสร็จก็ห้ามให้มีการเข้าไปใช้ จะได้ใช้จริง ๆ ก็ตอนมีงานเทศกาล และเหตุผลเดียวที่นักเรียนจะได้เหยียบย่างเข้าไปก็มีแต่เพราะถูกใช้ให้เข้าไปทำความสะอาดเท่านั้น
มารุยังจำเสียงเพื่อน ๆ บ่นกันอุบหลังโดนสั่งให้เข้าไปทำความสะอาดตึกที่ตัวเองไม่ได้ใช้เสียด้วยซ้ำ
เขาเดินทิ้งโรงยิมไว้เบื้องหลังและตรงเข้าไปในโรงอาหาร โชคดีที่วันนี้แถวไม่ยาวมากนัก เมนูอาหารวันนี้คือปลาทอด ซุปทเว็นจัง และเต้าหู้เคี่ยวซอสเผ็ด
“ซุปขี้”
“ซุปอะไรนะ?”
“อ่อ หมายถึงซุปทเว็นจังน่ะ”
มารุมองไปที่เด็กคนอื่น ๆ จากห้องเขา
“ทางนี้”
เพราะทุกคนในห้องรู้จักหน้าตากันแล้วทำให้พวกเขาไปนั่งรวมกันอยู่ที่โต๊ะเดียว ห้องอื่น ๆ ก็ทำเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะยังไม่มีใครสนิทกับใครมาก ช่วงเวลาอาหารกลางวันเลยผ่านไปอย่างเงียบเชียบ และมารุรู้ดีว่าสภาพแบบนี้มันจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะนักเรียนมัธยมปลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่โคตรเสียงดัง
“อุแหว่ะ”
โดจินทำหน้ามุ่ยหลังชิมซุปเข้าไป เขาดูไม่ค่อยจะชอบมัน แต่มารุไม่ใช่คนที่เลือกกินมากนัก เขาจึงสามารถทานมันได้สบาย ๆ
‘จะว่าไป อาหารในกองทัพเองก็อร่อยไม่เลว’
มารุเดินออกมาจากโรงอาหารและพบกับรุ่นพี่หลายคนกำลังวิ่งรอบสนามกัน ติดกันนั้นก็มีคนเล่นฟุตบอลอยู่ ส่วนอีกฝั่งเป็นสนามบาส ด้วยความที่เด็กต่างห้องมารวมกันอยู่เต็มไปหมด ทำให้มันค่อนข้างจะเป็นภาพที่ดูยุ่งเหยิงเหลือเกินสำหรับเขา
“โอ้ว แย่กว่าตอนมัธยมต้นอีก”
โดจินเดาะลิ้นด้วยความประหลาดใจหลังจากได้เห็น แต่มารุกลับมองมันเป็นอย่างอื่น
‘ทหาร’
เด็กผมเกรียนหลายคนวิ่งกันไปมาอย่างสุดกำลัง ถ้าไม่สนใจว่านาน ๆ ทีจะมีผู้หญิงปนมาบ้าง ภาพเบื้องหน้าก็เป็นภาพราวกับค่ายทหาร
‘สมแล้วจริง ๆ ที่เขาเรียกที่นี่ว่าค่ายทหารกัน’
มันช่างเป็นชื่อเหมาะสมกับสถานที่ มารุเดินกลับไปที่ห้องเรียนของตัวเอง แสงแดดยามเที่ยงสอดส่องเข้ามาพร้อมกับลมเย็น ๆ ในเดือนมีนาคม เด็กคนที่นั่งติดหน้าต่างนั้นได้ฟุบหลับลงไปกับโต๊ะแล้ว และเด็กอีกหลาย ๆ คนก็ยังวางตัวในห้องไม่ถูก แต่เรื่องนั้นถ้าลองให้ผ่านไปสักอาทิตย์ รับรองได้เลยว่าพวกนั้นจะเริ่มจับกลุ่มกันจนเหลือทิ้งเศษไว้ไม่กี่คน
‘ที่นี่เองก็มีเหมือนกัน’
เขาจำมันได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ว่าจะมีพวกที่เป็นเศษของการจับกลุ่มในห้อง ถึงแม้ว่าหลัง ๆ คนพวกนั้นจะไปจับกลุ่มกันเองก็ตาม
“คงคล้ายเป็นพวกเบ๊ล่ะนะ ถึงจะยังไม่ได้ตัดสินกันตอนนี้ก็เถอะ”
“ว่า?”
โดจินหันมาหาด้วยความสงสัย
“แค่พูดกับตัวเอง”
“ทำไมชอบพูดกับตัวเองจัง พูดกับฉันบ้างสิวะเพื่อน”
“กลับไปนอนไป หน้าตาง่วงขนาดนั้น”
“ก็จริง ง่วง”
โดจินฟุบหน้ากลับลงไปบนโต๊ะเช่นเดิม
* * *
“อย่าสายล่ะ พรุ่งนี้เราจะเริ่มทำความสะอาดตามจุดต่าง ๆ กัน จำไว้ด้วย กลับบ้านไปอ่านหนังสือเข้าใจไหม? อย่าให้เห็นไปที่แปลก ๆ ที่ไหนเข้าล่ะ แค่นี้”
ครูเดินออกจากห้องไปหลังเคาะโต๊ะด้วยหนังสือในมือ เหล่านักเรียนต่างพากันลุกขึ้นยืน
“บ้านอยู่ไหน?”
“เขตคูว็อล”
“ไกลนะน่ะ ขึ้นรถโดยสารมาเหรอ?”
“จักรยาน”
“ไม่หนาวเรอะ?”
“หนาวสิ แต่มันประหยัดนี่”
“ก็จริง”
“เจอกันพรุ่งนี้”
มารุโบกมือลาก่อนจะเดินออกจากห้องมา วันแรกของการมาเรียนผ่านไปได้อย่างราบรื่น ตอนแรกเขากังวลใจว่าอาจจะเผลอทำอะไรแปลก ๆ ไปเพราะความทรงจำเก่าก่อน แต่เหมือนจะไม่มีอะไรต้องกังวล แม้ทุกอย่างจะดูแล้วชวนให้คิดถึงเหลือเกิน มารุหันเลี้ยวจากทางกลับบ้านแล้วแวะเข้าซอยเล็ก ๆ เขาแวะไปที่ร้านเกมใกล้ ๆ โรงเรียน
“ร้านนี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย”
เขาใช้เงินไปค่อนข้างมากโขในช่วงเวลามัธยมปลายสามปี เหล่าเพื่อน ๆ ของเขาจะมารวมตัวกันอยู่ในร้านทันทีถ้ามีใครคนหนึ่งในกลุ่มพูดชวนขึ้นมาว่า ‘ไปปะ’ เขานั้นเล่น สตาร์คราฟ วอร์คราฟ และลินเนจ เล่นแบบจริงจังมากกว่าที่เรียนหนังสือเสียอีก
“ชีวิตนี้จะเล่นเกมดีไหมนะ”
มารุหันหน้ากลับจากร้านเกมและคิดขึ้นในหัว
ชีวิตใหม่
ชีวิตที่สนุก
แล้วความสนุกมันคืออะไร? มารุจำไม่ค่อยได้ว่าในชีวิต 45 ปีของเขา เขาได้ทำอะไรมาบ้าง หลังแต่งงานเขามีชีวิตอยู่เพื่อครอบครัว แต่ก่อนหน้านั้นเขาใช้ชีวิตไปอย่างไม่มีความหมายอะไร เขาสอบผ่านเข้ามหาวิทยาลัยมาด้วยคะแนนธรรมดา ๆ เขาจึงเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยทันที แต่ก็ตกการสอบแรกและต้องเข้ารับราชการทหาร ก่อนจะออกมาเรียนต่อจนจบและสุดท้ายเลือกจะทำงานรับจ้างทั่วไป
งาน
มารุลดความเร็วของจักรยานลง เขามองเห็นก้อนเมฆลอยผ่านหัวเขาไป มันทำให้เขานึกถึงทิชชูเปียก ๆ ที่ลอยไปบนท้องฟ้าตามแต่กระแสลมจะส่งไป มารุคิดขึ้นว่าชีวิตของเขาเองนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากก้อนเมฆเท่าไหร่นัก
“ฉันไม่ได้มีชีวิตที่เลวร้าย แต่ก็ไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายเช่นกัน”
ทำงานก่อนได้ตามหาความฝัน สิ่งที่จำเป็นต้องทำมักมาหาเขาก่อนสิ่งที่เขาอยากจะทำเสมอ เขาไม่เคยยอมเสี่ยง และไม่เคยวางแผนอนาคตไว้ไกล ๆ เลยด้วย
ชิ
มารุเดาะลิ้นโดยไม่ทันรู้ตัว เขาทำเรื่องสนุก ๆ เขาเจอเรื่องราวต่าง ๆ ที่ทำให้เขามีความสุข แต่ถ้าจะสรรหาคำไหนมาอธิบายชีวิตของเขาอย่างสั้น ๆ ล่ะก็
ธรรมดา
ชีวิตของเขาช่างแสนธรรมดา
“อยากมีชีวิตยังไง?”
คำถามนั้นกัดกินจิตใจมารุในตอนนี้มากกว่าที่มันเคยกัดกินเขามาตลอด 45 ปี
* * *
มารุเข้าบ้านมาด้วยสีหน้าหมองหม่น
“โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้แปลกอะไรใช่ไหม?”
แม่ของเขาถามหลังจากหยุดมองที่เขาไปพักหนึ่ง เธอดูเป็นห่วงเพราะลูกชายของเธอต้องเข้าโรงเรียนอาชีวะ
“ไม่เป็นไร”
“เด็กคนอื่นล่ะ?”
“ก็ดี”
“ดี?”
“พวกมันก็คนแหละ ที่นั่นไม่ใช่คุกหรืออะไรสักหน่อย ไม่ต้องเป็นห่วงให้มากหรอก ผมไม่ไปทำอะไรแปลก ๆ หรอก พวกนั้นก็เหมือนกัน”
“อ-อ่า”
แม่ของเขาหันหน้ากลับไปด้วยท่าทางตกใจเล็กน้อย เธอคงตกใจที่จู่ ๆ ลูกชายก็กล้าพูดออกมาตรง ๆ แต่ก็ไม่แปลก เพราะมารุไม่เคยกล้าพูดอะไรออกมาตรง ๆ เลยจนได้เข้ารับราชการทหาร