มารุทิ้งตัวลงนอนบนเตียงและมองไปที่เพดานอยู่พักหนึ่ง เขาครุ่นคิดอยู่กับเรื่องที่ว่าเขาจะใช้ชีวิตในอนาคตต่อไปยังไงดี
‘หรือจะลองเข้าเรียนมหาวิทยาลัยดี ๆ? กลายเป็นหัวกะทิ? ไม่ล่ะ เราไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น เรารู้ดีว่าการเรียนมันไม่ได้ยากมาก แต่การตั้งใจไปกับมันฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่’
มารุลองหยิบหนังสือคณิตศาสตร์ออกมาจากชั้นวาง พอสายตาของเขาได้เห็นเข้ากับกราฟและสูตรต่าง ๆ นา ๆ ก็ทำเอาเขาแทบจะสำลัก แน่นอว่าวิชาภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใดนัก
“อือ ตั้งใจเรียนเหรอ ไม่ล่ะ ขอบใจ”
มารุโยนหนังสือทั้งสองเล่มออกไปให้พ้นสายตา เขามีความคิดอยากจะลองตั้งใจเรียนแล้วเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ให้ได้ แต่การที่จะเริ่มทำมันนั้นช่างยากเย็นเหลือเกินสำหรับเขา
“ถ้าเราจำเลขหวยได้สักงวด… หรือชื่อของบริษัทที่จะโตขึ้นในอนาคต…”
เขายังคงจำได้ดีกว่าบริษัทไหนจะเติบโตขึ้นเป็นบริษัทใหญ่โตในอนาคต แต่เขาก็รู้ตัวว่าความทรงจำเหล่านี้คงจะจางหายไปในไม่ช้า คงเพราะสวรรค์ไม่อยากให้เขาต้องสับสนกับความทรงจำที่ขาด ๆ หาย ๆ ล่ะมั้ง?
“จดไว้ดีไหมนะ?” เขาคิดขึ้น
แต่พอเขากำลังลุกขึ้นเพื่อจะไปจด
“ไม่ได้ค่ะ”
มีเสียงของใครบางคนดังขึ้นที่ด้านหลังของเขา หญิงสาวในชุดรัดรูปปรากฏตัวขึ้นในห้อง
“เอิ่ม…”
“คุณใช้ชีวิตวันแรกได้อย่างราบรื่นดี ฉันคิดว่าคุณเป็นคนปรับตัวได้ดีนะคะ”
“อ่า ครับ”
“แต่ฉันปล่อยให้คุณนึกถึงเรื่องในอนาคตไม่ได้ค่ะ เพราะมันจะเป็นการผิดพันธสัญญา”
หญิงสาวที่ลอยตัวอยู่ค่อย ๆ ลอยตัวลงจนถึงพื้น มารุพยายามใช้เสียงให้เบากว่าปกติเพราะถ้าแม่ของเขาได้ยินเข้าคงได้เป็นเรื่องยุ่งยากแน่ ๆ
แต่หญิงสาวกลับตอบมาราวกับว่าเธออ่านใจเขาได้
“ไม่ต้องกังวล ฉันผนึกห้องนี้ไว้แล้ว และวันนี้ฉันมาเพื่ออธิบายอะไรเพิ่มเติมนิดหน่อย”
“อะไรเพิ่มเติมเหรอ?”
“แค่มาเน้นย้ำเรื่องที่คุณน่าจะรู้อยู่แล้วน่ะ คุณจะค่อย ๆ ลืมความทรงจำจากอนาคตทั้งหมดไปในไม่ช้า และความทรงจำเหล่านั้นมันจะถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึกแทน คุณจะยังมีความรู้สึกคุ้นเคยเวลาทำหรือได้พบเจออะไรบางอย่างอยู่ คล้าย ๆ กับความรู้สึกเดจาวู ใช่แล้ว เพราะคนส่วนมากที่รู้สึกถึงเดจาวูนั้นก็เป็นเพราะว่าพวกเขาได้ประสบกับเหตุการณ์นั้นมาแล้วในอนาคต”
“คุณจะบอกว่ามีคนที่มาเริ่มชีวิตใหม่แบบผมอีกเยอะเลยเหรอ?”
“แน่นอน แต่มีไม่กี่คนหรอกที่รู้ตัวว่าได้กลับมาในอดีตของตัวเอง แต่คุณรู้นี่? ‘ถ้าได้กลับไปตอนหนุ่ม ๆ เราคงทำอะไรได้ดีกว่านี้’ ตอนที่พวกเขาเริ่มคิดแบบนั้นนั่นแหละ คือตอนที่พวกเขาได้กลับมายังอดีต แค่พวกเขาจำมันไม่ได้เท่านั้นเอง” เธอพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ยังไงก็ตาม ความทรงจำเก่าของคุณทั้งหมดน่าจะหายไปหลังจากเข้านอนในวันนี้ แต่คุณจะยังรู้ตัวอยู่นะ ว่าตัวเองมาจากอนาคต เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดมาก”
มารุยกมือขึ้นขัดเธอ
“มีคำถามอะไรเหรอคะคุณฮาน?”
“วันนี้ผมเห็นกล่องคำพูดด้วย”
“อ่า เห็นแล้วเหรอคะ”
“ผมอ่านใจคนได้จริง ๆ เหรอ?”
“ค่ะ มันคือของขวัญอีกชิ้นที่คุณยูมอบไว้ให้คุณ”
“ของขวัญ…”
“แน่นอนว่าคุณจะต้องคิดหาวิธีใช้มันเอาเอง เพราะนั่นมันจะทำให้ชีวิตสนุกขึ้นใช่ไหมล่ะคะ และคุณยังมีความสามารถอื่นที่รอให้คุณค้นพบอยู่อีก ถึงแม้บางทีทั้งชีวิตนี้คุณอาจจะไม่รู้ถึงมันเลยก็ได้”
“ความสามารถอื่น? อย่างกับว่าเป็นยอด—”
“ต้องขอโทษด้วยแต่มันไม่มีความสามารถไหนที่ทำให้คุณกลายเป็นยอดมนุษย์หรอกนะคะ แต่ว่าความสามารถพวกนั้นทำให้คุณเป็นได้มากกว่านั้นเสียอีก ถึงจะบอกตรง ๆ ไม่ได้ก็เถอะ แต่ความสามารถของคุณน่ะ เกี่ยวข้องกับผู้คน”
“ผู้คน?”
“ค่ะ”
ความสามารถที่เกี่ยวข้องกับผู้คน… ความสามารถแบบนั้นจะทำให้เป็นยิ่งกว่ายอดมนุษย์ได้ยังไง? ถ้ากล่องข้อความที่เขาเห็นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเป็นสิ่งที่ทำให้เขาอ่านใจคนได้จริง ๆ มันก็คงจะดีกว่าความสามารถที่ทำให้เขาเป็นยอดมนุษย์เฉย ๆ แหละ เพราะการที่สามารถอ่านใจคนได้ทุกเมื่อ คงจะมีอีกแค่ไม่กี่อย่างที่ดีไปกว่านี้ได้
‘โกงชัด ๆ‘
เขารู้สึกค่อนข้างตื่นเต้นเลยทีเดียว เพราะถ้าเขาใช้พลังนี้ดี ๆ ชีวิตคงจะสนุกขึ้นอีกมากโข
แต่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกกังวลเช่นกัน เพราะกล่องข้อความนั่นโผล่ออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ถ้ามันเกิดโผล่ขึ้นมาในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะมันอาจจะทำให้เรื่องแย่ลงกว่าเดิมก็ได้ เขารู้ได้จากประสบการณ์ชีวิต 45 ปีของเขาว่าไม่ควรจะทำอะไรที่เกินตัว
“เหมือนว่าจะรู้ตัวแล้วนะคะ ใช่ค่ะ ความสามารถนั้นจะช่วยเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตคุณได้ แต่บางครามันก็อาจจะนำพามาซึ่งความยุ่งยาก และไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เจอความสุขหลังกลับมาใช้ชีวิตใหม่”
“น่ากังวลจริง”
“ทุกสิ่งมันขึ้นอยู่กับว่าคุณตัดสินใจจะทำอะไร ตัดสินใจจะใช้ชีวิตยังไง และตัดสินใจว่าจะใช้ความสามารถนี้ในแบบไหน แน่นอนว่าพลังของคุณไม่ได้มีอย่างไม่จำกัด เรื่องนั้นเดี๋ยวคุณก็จะได้รู้มันเอง แต่จงจำไว้ว่าไม่มีอะไรในโลกได้มาเปล่า ๆ”
ไม่มีอะไรที่ได้มาเปล่า ๆ ประโยคนี้เป็นประโยคที่หนักหน่วงสำหรับเขามาก
มารุพยักหน้ารับ ตอนนี้เขาได้รับรู้ถึงมันอีกครั้งแล้วว่าเขากลับมายังจุดเริ่มต้นของชีวิตจริง ๆ นั่นมันยิ่งทำให้ก้าวแรกของชีวิตนี้ สำคัญกับเขากว่าก้าวไหน ๆ
“เราคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแย่ ๆ เกิดขึ้นจริง ๆ”
“งั้นเหรอ”
“ยังไงก็ตาม ขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะคะ”
หญิงสาวค่อย ๆ จางหายไป แต่ก่อนเธอจะหายไปอย่างหมดสิ้นนั้น
“หวังว่าจะตัดสินใจได้ถูกต้องนะ”
หญิงสาวกระซิบมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
หลังหญิงสาวหายลับไป มารุจ้องมองไปยังเพดานห้องตัวเองอีกหลายนาทีจนแม่ของเขาเรียกเขาลงไปกินข้าวที่ห้องนั่งเล่น เขาได้กลิ่นหอมของน้ำซุปลอยมาแต่ไกล ซุปทเว็นจังนี้มีกลิ่นที่หอมกว่าอันที่เขาได้กินที่โรงเรียน
“หอมจัง” เขากล่าวพร้อมเปิดประตูออก
“นี่ลิ้นเปลี่ยนไปจริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย? แม่นึกว่าลูกไม่ชอบกินเสียอีก”
“ผมมัธยมปลายแล้วนะ โตแล้ว”
“อ่อเหรอคะ? โตแล้วเหรอคะ?” แม่ของเขาถามมาด้วยท่าทีหยอกล้อ
มารุตัดสินใจนั่งลงและเริ่มลงมือทานข้าว รสชาติของมันช่างคุ้นเคย จนทำให้เขาต้องเผยรอยยิ้มออกมา
“โอ้ กลับมาแล้วเหรอบาดะ? มากินข้าวเร็ว” แม่ของเขากล่าวหลังเห็นว่าบาดะเดินเข้าประตูหน้าบ้านมา
“ไม่เป็นไร ยังไงก็มีแต่ซุปทเว็นจังใช่ไหมล่ะ? ขากลับหนูแวะกินต๊อกโบกีกับเพื่อนมาแล้วด้วย”
“จะกินของแบบนั้นแทนข้าวได้ยังไง”
“คือแม่ ต๊อกโบกีก็เป็นคาร์โบไฮเดรตนะ ไม่รู้เหรอ?”
“…เฮ้อ”
แม่วางชามข้าวที่กำลังตักลง มารุเข้าใจความรู้สึกนั้นได้ดี พ่อแม่นั้นเพียงแค่อยากจะเห็นลูกของตัวเองได้กินดีอยู่ดีเท่านั้น
“ฮาน บาดะ” มารุเรียก
“อะไร?”
“กิน”
มารุดึงเก้าอี้ข้างตัวของเขาออกมา ทำให้น้องสาวของเขาจ้องมาที่เขาตาเขม็ง ก่อนเขาจะชี้ไปที่เก้าอี้
“กิน สักคำหนึ่งก็ยังดี”