บาดะนั้นประหลาดใจกับท่าทีของพี่ชายที่ดูเข้มงวดเหลือเกิน เธอนั่งลงที่โต๊ะทานข้าวด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก
“พี่เองก็เอาแต่กินขนมปังตลอดเหมือนกันนั่นแหละ”
เธอไม่ยอมหยุดบ่นจนถึงที่สุด แต่มารุกลับมองว่าท่าทางแบบนั้นช่างน่าเอ็นดู เอาจริง ๆ ทำไมเขาถึงได้เลิกคุยกับเธอไปกันนะ? ทำไมถึงได้เลิกใส่ใจเธอกับนะ?
‘คงเพราะไม่ได้ใส่ใจมาแต่แรกแล้ว’
เพราะตอนที่เขาได้ยินเรื่องการหย่าร้างของเธอจริง ๆ ก็หลังจากเกิดเรื่องมาได้เกือบเดือน แน่นอนว่าตอนนั้นเขารู้สึกไม่ค่อยพอใจนิดหน่อย ทำไมเธอถึงไม่ยอมบอกเรื่องแบบนั้นกับครอบครัวของตัวเองกัน? แต่ตอนนั้นเขาเองก็ไม่ได้ทำตัวให้เธอสามารถพึ่งพาได้ เรื่องที่เขาไม่เคยคิดได้ตอนอยู่มัธยม แต่ตอนนี้เขากลับรู้ถึงมัน ประสบการณ์ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
“จากนี้ไปทุกวันฉันจะมากินข้าว เธอเองก็ควรมากินบ้าง”
“…”
บาดะจ้องหน้าพี่ชายตาเขม็งจากด้านข้าง แต่เขาก็เลือกจะไม่ใส่ใจ และสาวน้อยก็กินข้าวแค่คำเดียวจริง ๆ ก่อนจะลุกจากโต๊ะไป
“ทำตัวสมกับเป็นพี่ชายขึ้นมาหน่อยแล้วนี่?” แม่ถาม
“เปล่าหรอก”
“ขึ้นมัธยมปลายแล้วโตขึ้นจริง ๆ ด้วยนะ”
แม่ของเขาจ้องมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มแสนอบอุ่น ถ้าเธอรู้ขึ้นมาว่าในร่างนี้มีชายวัย 45 ปีอยู่เธอจะหน้ายังไงนะ ส่วนตัวเขาเองก็ไม่อยากต้องถูกลากไปหาจิตแพทย์ จึงไม่คิดจะพูดอะไรออกมา
“ขอบคุณสำหรับอาหาร เดี๋ยวผมล้างให้นะ”
“ไม่เป็นไร ไปอ่านหนังสือเถอะ ไหนว่าอยากจะเป็นหัวงูไง”
‘หัวงู’ เป็นคำที่ทำให้เขาอมยิ้มออกมา มันเป็นคำพูดที่เขาใช้พูดกับแม่ไว้ ว่าแทนที่จะไปเข้าโรงเรียนดี ๆ ใหญ่ ๆ แล้วกลายเป็นหางแถวของคนพวกนั้นราวกับเป็นหางของมังกร สู้มาเข้าโรงเรียนอาชีวะแล้วกลายเป็นหัวกะทิแทนจะดีกว่า
‘เป็นข้ออ้างที่ดี’
ในความเป็นจริงแล้ว เขาเพียงแค่ไม่ต้องการที่จะตั้งใจเรียน แน่นอนว่าความทรงจำก่อนหน้ามัธยมปลายค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนฝั่งความทรงจำจากอนาคตก็ค่อย ๆ จางหายลงไปเรื่อย ๆ เช่นกัน หากวันนี้เขาเข้านอนแล้วพรุ่งนี้เช้าเขาจะจำมันได้มากน้อยแค่ไหนกันนะ มารุตั้งข้อสงสัยกับตัวเองก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง มารุนั่งลงที่โต๊ะและเปิดคอมพิวเตอร์ด้วยปลายนิ้วเท้า นิสัยนี่มันเป็นอะไรที่แก้ยากจริง ๆ
“เล่นเกมหน่อยดีไหมนะ?”
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ฝีมือของตัวเองในตอนนี้ มารุก็ยังคงเล่นเกมต่อไปด้วยความคิดที่พร้อมจะแพ้ตลอดเวลา
* * *
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ชีวิตในโรงเรียนก็ผ่านไปได้ด้วยดี มารุยังคงรักษาคำมั่นที่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไว้ได้อย่างดี มารุลงจากจักรยานของตัวเองหลังมาถึงโรงเรียน วันนี้ครูฝ่ายปกครองก็ยังมายืนเฝ้าหน้าโรงเรียนอยู่เช่นเคย
“ไปตัดผมได้แล้ว ก่อนฉันจะไถให้”
วันนี้ครูคนเดิมไม่ได้ถือกรรไกรประจำกาย แต่เปลี่ยนอาวุธเป็นปัตตาเลี่ยนแทน ครั้งหนึ่งเคยมีเด็กที่ถูกไถผมด้านข้างออกจนหมดเพราะไม่ยอมไปตัดผม เด็กคนนั้นสุดท้ายก็ต้องไปร้านตัดผมเพื่อโกนหัวทั้งหัวในภายหลัง ส่วนมารุสามารถผ่านมาได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร เพราะตอนนี้เขาชอบที่จะตัดผมสั้นมากกว่า ตอนหนุ่ม ๆ เขาเองก็เคยอยากลองไว้ผมยาวเหมือนกัน แต่ตอนนี้สำหรับแล้วเขาแล้วผมยาวนั้นมันมีแต่ความน่ารำคาญ
ทำไมเขาถึงได้สนใจเรื่องทรงผมกันนะ? แต่เขาจำมันไม่ได้แล้ว
มารุไปยังลาดจอดจักรยานใกล้ ๆ ลานจอดรถ เขาเหลือบไปเห็นจักรยานคันหนึ่ง มันเป็นจักรยานเสือหมอบและดูท่าทางจะแพงเอามาก ๆ ด้วย
‘ของครูรึเปล่านะ?’
มารุเปลี่ยนรองเท้าและเดินเข้าไปในห้อง รองเท้า 3ดีดาสช่างเหมาะกับพื้นที่ในร่มจริง ๆ ไม่เปลี่ยนไปเลยเจ้า 3ดีดาส
เด็กอีกหลายคนพอเห็นมารุเดินเข้าห้องมาก็โบกมือทักทายเขา ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาได้มีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายคน มารุมองไปรอบ ๆ ห้องและพบว่าในห้องเริ่มมีการแบ่งพรรคพวกกันเป็นที่เรียบร้อย กลุ่มของพวกเด็กชอบเข้าสังคมก็จะรวมกันยิ่งทำให้กลายเป็นกลุ่มใหญ่กว่าเดิม
“มาแล้วเหรอ?”
โดจินยกมือขึ้นจากโต๊ะเพื่อทักทายมารุ ถึงแม้ที่มุมปากของเขาจะมีรอยน้ำลายย้อยเพราะการหลับฟุบลงกับโต๊ะก็ตาม
“เช็ดน้ำลายก่อนไป”
“อ่า เออ”
โดจินเช็ดน้ำลายของตัวเองด้วยแขนเสื้อ มารุกับเขากลายเป็นเพื่อนสนิทอย่างง่ายดายในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะโดจินเป็นคนค่อนข้างชอบเข้าสังคมอยู่แล้ว แต่ไม่นานเขาก็ทำหน้าสำนึกผิดขึ้น
“เรื่อง MP3 น่ะ…”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก”
“ขอโทษจริง ๆ ว่ะเพื่อน”
“เลิกขอโทษได้แล้ว เดี๋ยวมันจะได้กลายเป็นคำพูดติดปากพอดี ถ้าฉันเกิดอยากฟังเพลงขึ้นมา เปิดฟังจากโทรศัพท์เอาก็ได้”
“เฮ้อ ไม่นึกเลยว่ามันจะเป็นคนที่เหี้ยได้ขนาดนั้น”
สัปดาห์ที่ผ่านมา โดจินนั้นไปหาครูที่ห้องพักครูทุกวันเพื่อขอเครื่อง MP3 คืน โดยไม่สนว่าครูจะหน้าดุแค่ไหน เขาก็รวบรวมความกล้าและเข้าไปคุยด้วย มารุเองก็คอยดูอยู่ไม่ห่าง โดจินนั้นเป็นคนดีจริง ๆ
“ถ้าขอคืนไม่ได้จริง ๆ จะซื้อเครื่องใหม่ให้นะ”
มารุแค่บอกปัดไป เพราะมันไม่ใช่ของที่สำคัญอะไรขนาดนั้น เขาไม่อยากต้องมาเสียเพื่อนเพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ จริง ๆ แล้วเขาค่อนข้างจะโล่งใจเสียด้วยซ้ำที่สามารถเห็นนิสัยของโดจินได้ด้วยเครื่อง MP3 แค่เครื่องเดียว
“เอานี่ มารุกินปะ”
โดจินโยนขนมจากกระเป๋ามาให้มารุ เหมือนว่าเขาจะพกขนมมาเยอะมาก เขาดูมีท่าทางภูมิใจแปลก ๆ ที่ขนมเข้ามาแย่งที่ใส่หนังสือในกระเป๋าของตัวเองไป
“เอาลูกอมด้วยไหม?”
“ไม่เป็นไร ไปเอาขนมเยอะแยะขนาดนั้นมาจากไหนน่ะ?”
“บ้านฉันเป็นร้านขายของ ไม่ต้องห่วงหรอก มีเยอะแยะ”
ครอบครัวของโดจินเปิดร้านอยู่ติดกับโรงเรียนและดูเหมือนจะมีร้านอยู่ที่อื่นด้วย
“นี่ โดจิน ขอด้วย”
“ขอให้ลูกพี่ด้วย”
เพื่อนของโดจินต่างพากันเข้ามาขอขนม