เดมยังเริ่มพูดคุยกับเด็กคนอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ มารุเองก็เข้าไปร่วมวงด้วย แต่ไม่นานก็ขอตัวกลับมานั่งที่ตัวเอง
“โอ้ เจ๋งจัด” โดจินตบไหลมารุด้วยรอยยิ้ม “เรื่องหมอนั่นมันก็กวนใจฉันอยู่เหมือนกัน” เขาพูดต่อ
“งั้นทำไมไม่เข้าไปคุยกับมันล่ะ?” มารุถาม
“ก็แบบ มันเรื่องส่วนตัวอะ เลยไม่อยากจะไปยุ่งอะไรเท่าไหร่”
มารุเองก็เคยคิดเช่นนั้นเหมือนกัน การถูกกลั่นแกล้งนั้น เป็นปัญหาของใครของมัน แต่ขณะเดียวกัน มันก็เป็นปัญหาที่จัดการแก้ไขได้อย่างง่ายดาย ถ้าเกิดมีใครลงมือช่วยสักนิด ที่เขาเลือกจะเมินมันก็เพียงเพราะมันเป็นปัญหาที่ยุ่งยากเท่านั้น ทำเอาคำพูดที่หญิงสาวพูดกับเขาก่อนจะกลับมาว่า ‘เขานั้นเป็นคนดี’ ลอยกลับเข้ามาในหัว
ไม่รุไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนดีสักเท่าไหร่ ไม่เลยสักนิด เขาแค่มีความรับผิดชอบมากกว่าคนอื่น ๆ เท่านั้นเอง เพราะในอดีตเขาก็เคยทิ้งปัญหาของเดมยังไว้เบื้องหลัง ถึงตอนนี้จะไม่ใช่ก็ตาม
“จากนี้ไปขอเรียกว่าไอ้คนดีนะ” โดจินบอก
คนดี? มันช่างน่าขำ แต่ก็ไม่ได้เป็นชื่อที่เลวร้ายอะไร
* * *
“วันนี้เราจะเลือกชมรมกัน คิดดี ๆ ก่อนเลือกล่ะ เข้าใจไหม?” ครูเข้ามาประกาศในห้องตอนช่วงพักเที่ยงอย่างไม่บอกกล่าวล่วงหน้า และก็เดินหายออกไปราวกับสายลม
“เอาไงดี?” เด็กคนหนึ่งถาม
“ไปเข้าชมรมบอลหรืออะไรพวกนั้นแหละ”
“มีชมรมคอมพิวเตอร์อะไรพวกนี้รึเปล่านะ?”
“ได้ยินว่ามีชมรมวิจัยเกมนะ”
เด็กหลาย ๆ คนเริ่มปรึกษากัน มารุเองก็มองไปที่รายชื่อของชมรมเช่นกัน บนรายชื่อนั้นมันมีมากกว่า 50 ชื่อชมรมเขียนอยู่ เพราะวิชาเรียนนั้นไม่มีภาคเช้าหรือภาคค่ำ ทำให้ชมรมนั้นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะทำกันจริงจังในโรงเรียนนี้ หรืออย่างน้อย ๆ นั่นก็เป็นสิ่งที่ครูวรรณกรรมบอกมา
[ช่วงงานเทศกาลจะมีเด็กจากโรงเรียนอื่นมาเที่ยวที่โรงเรียนเราด้วย พูดถึงโรงเรียนหญิงข้าง ๆ เนี่ยแหละ เมื่อก่อนชื่อ ‘โรงเรียนอุตสาหกรรมหญิงดงซอง’ แต่ปีก่อนเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘โรงเรียนนานาชาติดงซอง’ คราวก่อนชมรมเต้นของฝั่งนั้นมาที่งานเทศกาลทำเอาชมรมเต้นของโรงเรียนเราแพ้ยับไม่เป็นท่า เพราะแบบนั้นปีนี้ชมรมเต้นของโรงเรียนเราเลยพยายามกันอย่างเต็มที่ ครูได้ยินมาแบบนั้นน่ะนะ เพราะฉะนั้น ถ้าอยากลดน้ำหนักและก็มีเพื่อนเป็นสาว ๆ ครูแนะนำชมรมนั้นเลย]
มารุยังคงจำได้ลาง ๆ ว่าหลาย ๆ ชมรมพยายามกันอย่างมากเพื่องานเทศกาลในแต่ละปี
‘พวกคนชมรมดนตรีนี่มันคนละระดับกันเลยจริง ๆ’ เขานึกขึ้น มารุยังจำเสียงของพวกนั้นร้องเพลงที่หน้าโรงเรียนตอนงานเทศกาลได้ดี
“ไง มารุ คิดจะไปเข้าชมรมอะไร?” โดจินถาม
มารุไม่ได้คิดว่าอยากเข้าชมรมไหน ก่อนหน้านี้เขาเลือกที่จะเข้าชมรมวิจารณ์ภาพยนตร์ เพราะมันเป็นชมรมง่าย ๆ ที่กิจกรรมมีแค่ไปดูหนังทุกวันเสาร์ หลังจากนั้นก็ไปต่อกันที่ร้านเกม
‘ก็ไม่เลว’ อย่างน้อย ๆ เขาก็ได้ไปดูหนังทุกเดือน หรือคราวนี้เองก็จะลงชมรมเดิมดี? เพราะไม่มีชมรมอื่นที่ทำให้เขาสนใจเลย ขณะที่เขากำลังอ่านคุณสมบัติการรับสมาชิกของชมรมวิจารณ์ภาพยนตร์ เสียงออดก็ดังขึ้น บ่งบอกว่าคาบเรียนวิชาภาษาอังกฤษ คาบเรียนแห่งความง่วงกำลังจะมาถึงแล้ว
“เอาลูกอมรสมิ้นท์ไป” โดจินโยนลูกอมมาให้ มารุรับได้ก็รีบจับมันใส่เข้าไปในปากอย่างไม่ลังเล มันช่วยได้ ความเย็นอันสดชื่นนี้คงพอช่วยให้หายง่วงได้บ้าง
ครูหญิงร่างท้วมเดินเข้ามาในห้อง เธอคือครูภาษาอังกฤษ ไม่ได้พิเศษอะไรมาก แค่ครูธรรมดา ๆ ที่พบได้ทั่วไป นาน ๆ ทีก็จะมาคุยเล่นกับนักเรียนบ้าง ครูเปิดเพลงป็อปคลอเบา ๆ ก่อนจะเริ่มทำการสอน ระหว่างที่เธอกำลังสอนอยู่นั้นก็มีเสียงเคาะเบา ๆ ที่ประตูหน้าห้อง
ก๊อก ๆ การเรียนการสอนถูกขัดจังหวะจากเสียงนี้
“อ่า” ครูภาษาอังกฤษนำกลุ่มคนที่รออยู่ด้านนอกเข้ามาในห้องโดยไม่พูดอะไร ดูเหมือนเธอจะรู้อยู่แล้วว่านี่มันคือเรื่องอะไร
“นี่ นี่ พวกที่หลับอยู่น่ะ ตื่นได้แล้ว” ครูกล่าว
มารุเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะและหันไปมองที่ประตูหน้าห้อง เขาพบว่ากำลังมีนักเรียนหลายคนค่อย ๆ เดินเข้ามาด้วยท่าทางประหม่า รุ่นพี่ล่ะมั้ง? ในจำนวนคนที่เข้ามามีผู้หญิงสองคนผู้ชายสองคน ผู้ชายสองคนนั้นเดินเข้ามาด้วยท่าทีแข็ง ๆ พร้อม ๆ กับผู้หญิง ส่วนเด็กผู้หญิงคนสุดท้ายเดินเข้ามาด้วยท่าทีมั่นใจราวกับว่านี่ที่คือห้องของตัวเอง และแน่นอนว่าจุดสนใจของมารุต้องมุ่งไปที่เด็กสาวคนนั้น เธอมีผมที่ค่อนข้างยาว ยาวจนเกือบจะผิดกฎของโรงเรียน ไม่สิ ดัดผมมาด้วยนี่นา
หญิงสาวมีดวงตาที่สดใส จมูกสีชมพูอ่อน และปากที่ราวกับว่ากำลังจะพูดอะไรออกมาได้ทุกเมื่อ เธอเข้ามายืนที่แท่นราวกับตัวเองเป็นครู และเรียกอีกสามคนให้มาเข้าที่
“มาเร็ว เรามีเวลาไม่มากนะ”
“อ่า ใช่” อีกสามคนตอบกลับ ทั้งสี่คนมายืนประจำที่ของตัวเองอย่างรวดเร็ว
เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? มารุกอดอกมอบดูทั้งสี่คน
“หนึ่ง สอง สาม” หญิงสาวกล่าว และ
“สวัสดี พวกเราชมรมการแสดง บลูสกาย”
โอ ดังจริง เสียงดังมากพอที่จะปลุกคนที่หลับอยู่ให้ตื่นได้
‘อ่อ ชมรมการแสดง’ จะว่าไปมันก็มีอยู่นี่นะ? ชมรมการแสดงของระดับชั้นมัธยมปลาย ถึงจะจำรายละเอียดได้ไม่มากไปกว่าเรื่องที่ว่าพวกนี้เข้าประกวดรางวัลอะไรสักอย่าง
“สวัสดี ฉัน ลี ยูนจัง เป็นประธานของชมรม อยู่ปีสอง” หญิงสาวบอก เธอเน้นย้ำน้ำเสียงตอนที่พูดว่า ‘ปีสอง’ เอามาก ๆ
“วันนี้พวกเรามาหาพวกน้อง ๆ เพราะเราจะมาโปรโมทชมรมการแสดงของเราสักนิดหน่อย ชมรมของเรานั้นเก่งพอที่จะชนะเหรียญทองงานประกวดการแสดงระดับมัธยมปลายเมื่อปีที่แล้ว และตอนนี้เราก็กำลังหาสมาชิกใหม่ ๆ เข้ามาร่วงสร้างความทรงจำในชมรมเรา” เธอกล่าว
“ชมรมการแสดงน่ะดีมากเลยนะ ถึงขนาดมีห้องชมรมของตัวเอง แถมยังมีบูทของตัวเองตอนงานเทศกาลอีกต่างหาก” ครูภาษาอังกฤษกล่าวเสริมขึ้น ก่อนจะหันไปให้สัญญาณหญิงสาวให้พูดต่อ
“ตอนนี้เรากำลังขาดแคลนสมาชิกเพราะพวกพี่ปีสามตัดสินใจที่จะออกจากชมรมกันไป ในนี้มีใครเคยดูการแสดง พวกละครเวทีบ้างไหม?” หญิงสาวหันหน้าไปมองรอบ ๆ ห้องด้วยท่าทีคาดหวัง แต่ไม่มีใครยกมือขึ้น
ละครเหรอ? ในอดีตมารุนั้นเคยดูมันอยู่หลายครั้ง เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งหลังจบมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ และออกไปหางาน เขาได้งานเป็นผู้จัดการทั่วไป งานมันไม่ได้ดีอย่างที่คาดหวัง พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นงานที่ต้องคอยรับใช้ทั้งนักแสดงและผู้กำกับ แถมบางครั้งยังต้องรับงานจากหัวหน้าผู้จัดการมาทำอีกต่างหาก
แถมเขาไม่ได้คอยดูแลนักแสดงแค่คนเดียวด้วย ราวกับว่าต้องเป็นแท็กซี่ส่วนตัวให้เหล่านักแสดง บางครั้งก็ได้เป็นตัวประกอบ และยังต้องทำงานจิปาถะอีกหลายอย่าง เช่นแบกกล้อง อะไรแบบนั้น ราวกับว่าเป็นทาส ตอนนั้นเขาต้องไปที่สถานีฮเยวาทุกครั้งถ้าเกิดการแสดงมีตัวประกอบไม่พอ
แน่นอนว่าเพราะแบบนั้นทำให้เขาได้ดูการแสดงละครเวทีหลายต่อหลายครั้ง ถึงขนาดที่ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยฝันอยากเป็นนักแสดงเองเลย แต่ก็ยอมแพ้กับเรื่องนั้นอย่างรวดเร็วหลังได้เข้าทำงานนั่งโต๊ะที่บริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
ตอนนั้นเองที่สายตาของมารุไปสบเข้ากับหญิงสาวที่หน้าห้องพอดี สายตาของเธอทำให้มารุต้องยกมือขึ้น
“อ่า เคยดูเหรอ?” หญิงสาวถาม
“ครับ”
“เป็นไงบ้าง?”
“อืม ก็สนุกบ้างไม่สนุกบ้าง”
เขาตัดสินใจตอบไปอย่างตรงไปตรงมา โชคดีที่ดูเหมือนว่าคำตอบนั้นจะทำให้ยูนจังพอใจ แค่เธอได้รู้ว่าในห้องนี้มีคนเคยดูละครเวทีก็ทำให้เธอพึงพอใจแล้ว
“มีคนเยอะไหม?”
“ก็มีหลายเรื่องอยู่ แต่ส่วนมาก็ไม่เกินแปดคน”
“ว้าว” ยูนจังเอนตัวมาด้านหน้า เธอดูท่าทางอยากจะกระโดดเข้ามาคุยกับเขาให้ได้ มารุสะดุ้งและถอยหนีไปเล็กน้อยเพราะความกดดันที่เธอแผ่ออกมา
“คงชอบละครเวทีสินะ” ยูนจังถาม
“หา? อะ เปล่า”
“จริงเหรอ?”
“ใช่…”
“งั้นเกลียดมันเหรอ?”
“ก็… ไม่เชิง”
“งั้นก็ชอบแหละ”
เธอตัดสินแทนให้ ดูท่าคงเป็นคนที่ชอบคิดเองเออเองพอสมควรสินะ? ตัดสินแทนคนอื่นว่าเขาชอบไม่ชอบอะไรแบบนี้
‘ร่าเริงจริง’ เธอเป็นคนประเภทที่แค่ได้อยู่ใกล้ก็ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวา คนประเภทที่ชอบลากคนอื่นถูไถไปกับเรื่องราวของตัวเอง
มารุหันไปมองรอบห้อง นักเรียนทุกคนต่างพากันจดจ้องมองมาที่ยูนจัง หญิงสาวคนนี้มีความสามารถในการดึงดูดความสนใจจากผู้คนจริง ๆ
* * *