ข้ามเวลาล่าฝัน! บทที่ 9 ตอนที่ 1
“มีอะไรรึเปล่า?” เด็กหนุ่มถามพร้อมสีหน้างุนงง เขาหันไปพูดกับเด็กสาวที่ถามเรื่องเกี่ยวกับชมรมเมื่อสักครู่
“รีบไปสิ เดี๋ยวจะไปทำธุระในชีวิตสายเอานะ”
“…ได้”
หญิงสาวมองมาที่เขาพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย และด้วยเหตุนั้นเอง คนอีก 5 คนก็ได้ตามออกไป
‘ฉิบหายแล้ว’ ยูนจังคิดกับตัวเอง นั่นมัน 5 คนเลยนะ 5 คน ยิ่งคนน้อย ๆ อยู่ด้วยแล้ว หรือจริง ๆ เธอควรจะเตรียมของต้อนรับเข้าชมรมไว้จะดีกว่า? ขณะที่ความคิดมากมายเริ่มกัดกินจิตใจของเธออีกครั้ง ก็มีใครบางคนเปล่งเสียงพูดขึ้นมา
“ชมรมเคยแสดงอะไรมาบ้างเหรอ?” เด็กคนหนึ่งถาม
“ว่าไงนะ?”
คำถามนั้นทำเอายูนจังตั้งสติไม่ทัน เธอไม่คาดคิดว่าคำพูด ‘การแสดงเดี่ยว’ ของเธอนั้นจะสร้างคำถามแบบนี้ขึ้น
“แค่สงสัยว่าเคยเล่นละครแบบไหนมาบ้างน่ะ”
“อ่า”
ยูนจังกลับมาตั้งสติได้หลังได้ยินคำถามที่เธอควรจะได้ยิน ให้ตาย การแสดงเดี่ยว ช่างเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์จริง ๆ
* * *
“ยูนจังต้องหัดควบคุมตัวเองบ้างอะจริง ๆ”
จุงฮยุกพูดออกมาแทบจะพร้อมกับเดนมิ ยูนจังนั้นเป็นคนที่คิดอะไรก็จะแสดงท่าทีออกมาแบบนั้น เรื่องนี้สำหรับคนอื่น ๆ แล้ว มันค่อนข้างจะรับมือยากทีเดียว แม้แต่ตอนนี้ หญิงสาวก็ยังทำตัวตื่นเต้นเกินเหตุทั้ง ๆ ทิ้งควรจะวางตัวให้สำรวม แน่นอนว่าถ้าลองให้เธอได้ถือบทเมื่อไหร่ เธอจะเปลี่ยนเข้าสู่โหมดจริงจังทันที แต่สำหรับเวลาปกติแล้ว เธอมักจะทำอะไรออกมาให้คนอื่นต้องหัวปั่นทุกที
“มาดูนี่กันหน่อยไหมล่ะปีหนึ่ง?” จุงฮยุกตัดสินใจก้าวออกมาด้านหน้าและปล่อยให้ยูนจังได้ไปสงบสติอารามณ์
จุงฮยุกนำเอาอัลบั้มรูปภาพออกมาจากชั้นเก็บ ในชั้นนั้นมีอัลบั้มอยู่ถึง 12 เล่ม
“เราทำพวกนี้ไว้ทุกปี ทุกเล่มต่างเก็บภาพต่าง ๆ ของปีนั้น ๆ ไว้ นี่ ลองดูเล่มล่าสุด”
เขาเปิดเล่มจากปี 2002 ทำให้เหล่าปีหนึ่งต่างพากันไปรุมล้อมดูอัลบั้มดังกล่าว
“ภาพแรกจะเป็นภาพของสมาชิกในชมรมเสมอ ถ้าพวกนายเข้ามา ก็จะได้ไปอยู่ในรูปแรกของเล่มปี 2003”
“ว้าว” เด็กคนหนึ่งอุทานออกมา
“คนเยอะจัง”
เหล่าปีหนึ่งต่างพูดความคิดของตัวเองออกมา พอจุงฮยุกได้ยินแบบนั้นก็เหลือบไปมองเพื่อนร่วมชมรมคนอื่น สมาชิกชมรมที่เหลืออยู่ทั้งสี่คนต่างมีใบหน้าที่ขมขื่น
“อืม เคย” เขากล่าว
โทนเสียงของเขาต่ำกว่าปกติเล็กน้อย จุงฮยุกพยายามจะกลบเกลื่อนมันด้วยการไอเบา ๆ แทน ส่วนสมาชิกคนอื่น ๆ ต่างพากันส่งสัญญาณมายังตัวเขา ว่าเขากำลังทำให้บรรยากาศมันหม่นหมองเกินไปแล้ว
“แล้วก็นี่ นี่คือการแสดงแรกของเรา ตอนนั้นพวกปีสามคอยดูแล และพวกเราก็ได้เล่นเป็นตัวประกอบ… นี่ไง”
ตอนนั้นเอง
“ตัวประกอบก็เหี้ยแล้ว หมอนี่น่ะตัวเอกเลย” มินซองพูดแทรกขึ้น
จุงฮยุกต้องพูดขัดขึ้นมาด้วยเสียงต่ำทันที
“อย่ามาทำตัวล้อเล่น”
“อ่ะ ขอโทษ”
มินซองรีบแก้คำพูดของตัวเองแล้วหันไปพูดกับปีหนึ่ง ‘เขาเองก็เป็นตัวเอก’ เพราะสมาชิกชมรมการแสดงนั้นจะพูดจาให้สุภาพกับสมาชิกใหม่เสมอ และหลังจากเริ่มเข้ามาทำงานในชมรมแล้วจึงจะเริ่มพูดกันแบบสบาย ๆ แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น พวกเขาต้องสุภาพกับสมาชิกใหม่อย่างที่สุด นี่เป็นประเพณีของชมรมที่สืบทอดต่อกันมานานตั้งแต่สมัยเริ่มก่อตั้ง จุงฮยุกเองก็ไม่คิดที่จะทำลายมันลงในวันนี้
มินซองหันไปมองรูปภาพด้วยรอยยิ้ม มีภาพของชมรมหลังทำการปิดม่านแสดงไปแล้วอยู่
“นี่คือจุงฮยุก จำแทบไม่ได้เลยใช่ไหมล่ะ?”
เหล่าปีหนึ่งต่างพากันพยักหน้าตอบรับ จุงฮยุกพยายามเปิดหน้าถัดไปอย่างรวดเร็วด้วยความเขินอาย แต่มินซองก็ไม่ปล่อยให้เป็นแบบนั้นง่าย ๆ
“จริง ๆ แล้วเขาน่ะแสดงเก่งมากเลย เก่งถึงขั้นที่ว่าเหล่ารุ่นพี่ต่างชื่นชม ถ้าลองได้เข้ามาในชมรมดู ก็จะได้เห็นความเท่ของเขาเอง”
“น่าเสียดายที่ฉันจะทำหน้าที่เป็นผู้กำกับเวที เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปสนใจมินซองหรอก” จุงฮยุกเปิดหน้าถัดไปพร้อมกับพลักมินซองไปด้านหลัง “ดูนี่ นี่คือความสำเร็จที่ผ่าน ๆ มาของพวกเรา ดูแล้วจะได้ช่วยตัดสินใจ”
เขาพร้อมจะมอบเวลาให้เหล่าเด็กปีหนึ่งได้ตัดสินใจอย่างเต็มที่ เพราะเขาต้องการให้อิสระกับการเลือกของพวกเด็กปีหนึ่ง เขาจะไม่บังคับให้พวกนี้ต้องตัดสินใจ เพราะนั่นไม่ใช่แนวทางของชมรมนี้ หลังจากมองดูอัลบั้มไปได้ราวสิบนาที เหล่าปีหนึ่งก็เงยหน้าขึ้น จุงฮยุกเห็นได้ทันทีว่าพวกเขาได้ตัดสินใจแล้ว น่าเสียดายที่ผลไม่ใช่แบบที่เขาหวัง
“เออ… เวทีที่ดูเหมือนมีกระท่อมนั่น…” เด็กคนหนึ่งถาม
“หือ?”
“ทำเองหมดเลยเหรอครับ?”
“ใช่”
“ทั้งตอกตะปูทั้งเย็บเอง?”
“แน่นอน”
“…”
ปีหนึ่งคนนั้นพยักหน้ารับด้วยท่าทียอมแพ้ จุงฮยุกที่เห็นแบบนั้นเอง ก็ทำสีหน้าได้แย่ไม่แพ้กัน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ชมรมของพวกเขาอาจจะมีแค่ปีสองเหลืออยู่สี่คนก็ได้
“คือ ลองไปดูชุดไหม?” จุงฮยุกเดินนำออกจากห้องไปหลังกล่าวจบ เหล่าปีหนึ่งต่างพากันเดินตามเขาไปติด ๆ และเมื่อเขาเปิดประตูหอประชุมที่ชั้น 5 ออก ก็มีเสียงชื่นชมลอยออกมาจากปากของเหล่าเด็กปีหนึ่ง
“ของพวกนี้ถ้าไม่ใช่ที่เราทำเอง ก็เป็นของที่เราซื้อมา เราเลยเก็บมันไว้ทุกปี”
จุงฮยุกนั้นภูมิใจกับชุดพวกนี้มาก เพราะมันคือเครื่องหมายของความขยันและพยายามของสมาชิกชมรม แต่ท่าทางยอมแพ้ของเหล่าเด็กปีหนึ่งก็ไม่ได้หายไปง่าย ๆ ตรงกันข้าม ความสำเร็จที่มีให้เห็นอย่างชัดเจนนี้ยิ่งทำให้พวกเขาเข้าใจได้ดีกว่าเดิมว่าชมรมนี้มันจะต้องยากลำบากแค่ไหน ไม่แปลกหรอกที่พวกเขาจะคิดแบบนั้น เขาจึงตัดสินใจจะเทน้ำมันลงกองไฟ
“ชมรมการแสดงน่ะ ต้องใช้เงินด้วย เพราะงบที่เราได้มามันไม่เคยพอ ไหนจะค่าจ้างครูสอนการแสดงจากด้านนอกมาอีก”
เงิน สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเหล่าเด็กมัธยมปลาย จุงฮยุกรู้เรื่องนี้ดี และหลักฐานที่เห็นได้ชัดว่าเงินสำคัญแค่ไหน ก็คือใบหน้าของปีหนึ่งอีกหลายคนที่ตอนแรกยังไม่ได้ตัดสินใจก็กลับกลายเป็นมั่นใจขึ้นทันที
“ขอโทษนะ” เด็กหลายคนพูดและขอตัวออกไป
จุงฮยุกไม่อยากจะรับคำบอกลานั้นไว้สักเท่าไหร่ แต่ก็จำเป็นต้องรับไว้ เพราะเขาจับพวกนั้นไว้ไม่อยู่ จะบังคับนักเรียนคนอื่นเข้าร่วมชมรมก็ไม่ได้ เพราะการบังคับให้ใครเข้าร่วมชมรมอย่างไม่สมัครใจ มันก็มีแต่จะทำให้การแสดงออกมาแย่ลงเท่านั้น
* * *
ปีหนึ่งหลายคนหายตัวไปหลังกล่าวลา มารุเห็นได้จากสีหน้าของเหล่าปีสองว่ามันเริ่มมืดหม่นลงเรื่อย ๆ ส่วนยูนจังนั้นทำหน้าราวกับว่าโลกกำลังแหลกสลายหายไปต่อหน้าเธอ อีกสองคนมีท่าทีที่เยือกเย็นแต่ในใจจริง ๆ แล้วก็ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่ ให้ตายสิ พอได้เห็นแบบนี้แล้วแม้แต่ตัวเขาเอง ก็เริ่มรู้สึกท้อตามไปด้วย
“แบบนี้ได้ไปกันหมดแน่” โดจินกระซิบเข้าที่ข้าง ๆ หูเขา
ยิ่งปีสองพูดมากขึ้นเท่าไหร่ คงก็ยิ่งหนีกันไปมากเท่านั้น เวลากับเงินนั้นเป็นสิ่งมีค่ามาก การจะขอทั้งสองอย่างจากพวกเขานั้นมันช่างฟังดูเห็นแก่ตัวจริง ๆ อัลบั้มภาพเองก็กดดันเหมือนกัน ถ้าแค่เอามาดูเฉย ๆ มันอาจจะเท่ดี แต่ถ้าลองมองจากมุมของคนทำงานแล้ว มันช่างเป็นแรงกดดันที่มหาศาล เป็นหลักฐานว่าชมรมนี้ทำงานกันจริงจังแค่ไหน สร้างอุปกรณ์ประกอบขึ้นด้วยความตั้งใจ แสดงบนเวที เป็นหลักฐานแสดงถึงความยากลำบากอย่างชัดเจน แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างจากรูปภาพพวกนั้นอยู่เลย ไม่แปลกหรอกที่ปีหนึ่งคนอื่น ๆ จะหนีหายไปหลังได้เห็นมัน
“ฮืม ฮืม”
ปีสองคนหนึ่งที่ตัดผมสั้นเกรียนเดินออกมา สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของทรงผมนี้คือ มันจะทำให้คนตัดดูน่ากลัว แต่เมื่ออยู่กับเขาแล้ว มันทำให้เขาดูเหมือนลูกโอ๊กมากกว่า เลยสามารถมองไปได้โดยไม่ต้องเครียดหรือกังวลอะไร
“เหมือนว่าพวกอ่อนแอจะออกไปหมดแล้วสินะ” เขากล่าวพร้อมปรบมือ “งั้นมาแนะนำตัวกัน ฉัน ชอย มินซอง เอกวิศวกรรมเครื่องกล”
มินซองหันไปหาหญิงสาวผมสั้น
“ฉัน ลิม เดนมิ ปีสองเอกออกแบบ ชอบพูดคุยกับทำชุด”
เดนมิดึงเด็กหนุ่มอีกคนมายืนข้าง ๆ มารุบอกได้เลยว่าจริง ๆ แล้วเขาคนนี้แหละคือประธานของชมรม ถึงในนามจะเป็นยูนจังก็ตาม
“ชื่อ บาง จุงฮยุก วิศวกรรมไฟฟ้าปีสอง ถ้าเข้ามาแล้วจะแนะนำตัวให้รู้จักอีกที”
ตอนนี้พวกเขารู้ชื่อของทั้งสี่คนแล้ว มารุหันมองรอบตัว ปีหนึ่งที่เหลืออยู่มีแค่ 6 คน สี่ชาย สองหญิง ผู้หญิงสองคนนั้นดูเหมือนจะเป็นเพื่อนกัน ทำให้ในกลุ่มเหลือผู้ชายอีกคนที่ไม่ได้คุยกับใคร มาคนเดียวเหรอ? เขาดูมีร่างกายที่บึกบึนพร้อมด้วยหน้าผากที่กว้างกว่าคนทั่วไป มีท่าทางเงียบครึมและจริงจัง เป็นภาพที่หาได้ยากในโรงเรียนมัธยม
“จะเข้าชมรมไหม?” จุงฮยุกถามอย่างมีหวัง
“ครับ”
คนแรกที่ตอบออกไปคือคนตัวใหญ่ที่มารุกำลังมองอยู่ เขาเอาใบสมัครยื่นให้ทันที
“เย้”
เธอดูร่าเริงขึ้นแล้ว แค่ได้เห็นเธอดีใจก็ทำให้มารุรู้สึกสดชื่นขึ้นได้ ช่างเป็นคนที่ร่าเริงจริง ๆ
“พวกแกว่าไง?” มารุหันไปถามโดจินและเดมยัง
เดมยังมองกลับมาด้วยท่าทางหนักแน่นพร้อมกำเอกสารสมัครไว้ในมือ ส่วนทางโดจินเองก็ดูท่าจะตัดสินใจได้แล้วเช่นกัน
“เราสามคนจะเข้าครับ”
มารุยื่นใบสมัครทั้งสามใบให้ยูนจัง หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างรื่นเริง
“ขอบคุณมาก” เธอกล่าว
ไม่ต้องขอบคุณกันหรอก มารุหันไปหาอีกสองสาวที่เหลือ ทั้งสองคนคุยกันอยู่สักพัก ก่อนจะยื่นใบสมัครมาเช่นกัน
“นี่ค่ะ”
ด้วยเหตุนั้น ปีนี้จึงมีสมาชิกใหม่เข้ามาในชมรมการแสดง 6 คน
* * *