ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – ตอนที่ 113: ลูกศิษย์เพียงคนเดียว

“จางเฉิน”
 
โจวเหรินหลงตกใจกับสิ่งที่เขาได้ยิน เขาพยายามที่จะตรวจจับมัน ก่อนที่จะพบว่าคนที่อยู่ด้านหน้าเขาคือคนเดียวกันกับจางเฉินที่เดินเข้าไปเมื่อสิบวันก่อน
 
เมื่อเขายืนยันตัวตนได้แล้ว ชายที่อยู่ด้านหน้าเขาคือจางเฉิน
 
‘ยังไงก็ตาม เมื่อสิบวันก่อนจางเฉินยังเป็นคนธรรมดาด้วยซ้ำ ทำไมรูปลักษณ์ของเขาถึงกลายเป็นแบบนี้กัน?!’
 
ถ้าเขาสัมผัสได้ถูกต้องแล้ว ความแข็งแกร่งในร่างกายของจางเฉินเทียบเท่าได้กับขั้นสร้างรากฐานแล้ว!
 
เพียงแค่เขากำลังสงสัยอยู่นั้นเอง เฉินเฉินหายใจเข้าลึกและพลังปราณในร่างกายของเขาที่ใช้ฝึกร่างกายก็หายไป ความแข็งแกร่งของเขาลดลงไปอย่างมาก
 
‘หลังจากเด็กคนนี้กลืนพลังงานไปจำนวนมาก ร่างของเด็กคนนี้ก็ได้มาถึงขั้นสร้างรากฐาน!”
 
‘เขาได้รับมรดกอะไรมากัน?’
 
‘มันมีมรดกแบบนั้นอยู่ในสาขาแรกของดินแดนลึกลับด้วยเหรอเนี่ย?’
 
เมื่อคิดถึงขั้นนี้แล้ว เสียงของโจวเหรินหลงเริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อยและถามออกมา “เด็กน้อย เจ้าได้รับ….มรดกตกทอดของเจ้าสำนักอันดับสองของสำนักอสูร เซียนเทพอสูร?”
 
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ความคิดของเฉินเฉินวิ่งพล่านไปเลย แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าโจวเหรินหลงไม่ได้รับรู้ถึงมรดกของเทพอสูร ดังนั้นจินตนาการของเขาจึงไม่ได้กว้างไกลไป
 
เมื่อคิดดังนี้แล้ว เฉินเฉินแกล้งที่จะทำตัวแข็งทื่อและตอบกลับด้วยนเสียงทุ้มลึก “เจ้าสำนักครับ ข้าได้รับมรดกของเซียนเทพอสูรมาจริง วิชาอมตะไขว่คว้าสวรรค์!”
 
“เจ้าเดินทางข้ามผ่านภูเขาแห่งดาบและทะเลเพลิง? มันเป็นไปได้ยังไงกัน?!”
 
ตาของโจวเหรินหลงเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ เขาเคยเข้าไปดินแดนลึกลับไปแล้วและรู้ดีว่าภูเขาแห่งดาบและทะเลแห่งเพลิง ในตอนนั้นเขาก็ได้พยายามที่จะก้าวข้ามไปแล้ว แต่เขาเดินไปได้เพียงสิบเมตรและก็ไม่สามารถที่จะทนต่อไหว เขาจึงทำได้เพียงถอยกลับไปเท่านั้น
 
ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากรุ่นที่สองแล้ว เจ้าสำนักเกือบทั้งหมดต่างเห็นภูเขาแห่งดาบและทะเลเพลิงกันทั้งหมด แต่ไม่มีใครเลยที่สามารถเคลื่อนตัวข้ามผ่านมันไปได้
 
แต่จางเฉินได้ก้าวข้ามมันไปแล้ว นั่นไม่ได้หมายความว่าจางเฉินแข็งแกร่งกว่าเจ้าสำนักส่วนใหญ่ในรุ่นก่อน?
 
เฉินเฉินส่ายหัวอย่างเชื่องช้าและพูดออกมาด้วยความหวาดกลัว “ในความเป็นจริงแล้ว ข้าไม่ได้ก้าวข้ามผ่านมันไปได้ครับ ข้ากำลังสิ้นลมหายใจบนทะเลเพลิงและเมื่อข้าก้าวไปถึงรูปปั้นหินแล้ว ร่างกายเกือบทุกส่วนบนร่างกายของข้าก็ไหม้ไปแล้ว!”
 
“ในตอนนั้นข้าคิดว่าข้าตายไปแล้ว ข้ายังเห็นร่างตัวเองลอยขึ้นไปบนฟ้าและเห็นร่างที่ไหม้เกรียมของข้าบนทะเลเพลิงอีก! ข้าไม่ยินยอมกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก!”
 
“ยังไงก็ตามในตอนนั้นเอง ฝนทองตกลงมาจากผืนฟ้าและแสงและเงาของเซียนเทพอสูรได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าข้า เขาพูดว่าเขาสัมผัสได้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของข้าและตัดสินใจที่จะรับข้าไปเป็นลูกศิษย์ หลังจากฝนทองหยดลงบนตัวของข้าแล้ว ร่างกายของข้าก็ฟื้นตัวและข้าก็กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง!”
 
เฉินเฉินพูดอย่างจริงจังและเมื่อเขาพูดถึงสภาพอันน่าอนาถใจแล้ว น้ำตาของเขานั้นรื้อขึ้นมาบนขอบตา
 
เขาได้คิดสิ่งที่เขาจะพูดออกมาเป็นเวลานานแล้ว ก่อนที่จะเดินออกมา ดังนั้นเขาจึงไม่มีปัญหาอะไรเลยกับคำพูดเหล่านั้น
 
ยังไงก็ตาม จนถึงบัดนี้มันไม่มีใครในสำนักอสูรได้รับมรดกเทพอสูรและโจวเหรินหลงก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อคำพูดครึ่งจริงครึ่งเท็จของเขา
 
เมื่อได้ฟังมันแล้ว ร่างกายของโจวเหรินหลงสั่นสะท้านและเขาก็ดูเหมือนจะตรัสรู้
 
“หลังจากความตาย…ทำไมข้าถึงคิดไม่ออกกัน? มันเป็นเรื่องปกติที่เซียนเทพอสูรจะมีบททดสอบแบบนั้น…”
 
หลังจากพึมพำออกมาเบาๆ โจวเหรินหลงจ้องไปที่เฉินเฉิน สายตาของเขาดูส่องประกายออกมา
 
“เด็กน้อย เจ้าไม่กลัวตายหรือยังไง?”
 
เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว สีหน้าของเฉินเฉินดูเคร่งขรึมมากขึ้นและเขาพูดอย่างหนักแน่น “ข้าได้สาบานว่าจะทำลายสำนักอู๋ซิ่นในเวลาสิบปีและมันมีทางเดียวที่จะทำได้คือการมีพละกำลังอันมากมาย! ด้วยเหตุนี้นี่เองข้าจึงตัดสินใจที่จะรับมรดกของเซียนเทพอสูรตั้งแต่ตอนเริ่มแรก! แทนที่จะถูกสาปโดยเทพอสูรในอีกสิบปีให้หลัง มันควรที่จะสู้ตอนนี้ไปเลยจะดีกว่า แม้ว่าข้าจะตายไป ข้าก็จะไม่มีอะไรให้เสียใจอีก!”
 
คำพูดของเฉินเฉินดังก้องและเต็มไปด้วยความฮึกเหิม มันดังก้องไปทั่วภูเขาที่ว่างเปล่า มันได้ทำให้โจวเหรินหลงตื้นตันใจ
 
แม้ว่าใครก็ตามจะมีความตั้งใจที่จะกลายเป็นเซียนอสูรตั้งแต่เริ่มแรก มันจะมีใครมากแค่ไหนกันที่กล้าพนันชีวิตตัวเองแบบนี้?
 
แต่จางเฉินกล้าที่จะทำมัน
 
‘เขามีความกล้ามากมายอะไรถึงเพียงนี้กัน? ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าบรรพบุรุษด้านขัดเกลาร่างกายจะรับลูกศิษย์ที่มีความมุ่งมั่นถึงเพียงนี้’
 
“เซียนเทพอสูรนั้นสมกับเป็นเจ้าสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักอสูร แม้ว่าเขาจะตายไปแล้วกว่าแปดพันปี เขายังคงมีความสามารถที่จะเปลี่ยนคนธรรมดากลายเป็นคนที่อยู่ในขั้นสร้างรากฐานได้ ข้านั้นอ่อนแอกว่าเขาเสียจริง…”
 
โจวเหรินหลงพูดออกมาอย่างชื่นชม สายตาของเขาเหลือบไปมองยังกระเป๋าใบใหญ่ด้านหลังเฉินเฉิน
 
เมื่อเห็นดังนี้แล้ว เฉินเฉินรีบอธิบาย “หลังจากที่ข้าได้รับความแข็งแกร่งนี้แล้ว ข้าคิดว่าผู้สืบทอดของสาขาขัดเกลาร่างกายของสำนักอสูรอาจจะต้องการวิชาการบ่มเพาะลมปราณ ข้าจึงไปรับมรดกมาอีกสองคน…”
 
พูดตามตรงแล้ว เฉินเฉินคงไม่พูดว่าเขารับมรดกมา 28 มรดกหรอก ไม่งั้นเขาคงจะโดนกระทืบตายต่อหน้าแล้วละ
 
ในความเป็นจริงแล้วเขาเอาออกมาเพียงแค่สองมรดกจริงๆ
 
เขาได้จดจำคัมภีร์ลับและมรดกไว้ก่อนที่จะเก็บมันกลับไปยังที่เดิม
 
สมบัติที่อยู่ในมรดกนั้นถูกดูดกลืนไปทั้งหมดแล้วและเขาไม่อยากที่จะโยนของเหล่านั้นกลับไป ดังนั้นเขาจึงเก็บกลับมา
 
ถ้าลูกศิษย์สำนักอสูรพยายามที่จะเข้าไปยังดินแดนลึกลับในอนาคตและไม่สามารถที่จะซ่อมแซ่มร่างกายของเขาได้หลังจากพยายามอย่างหนักหน่วงในการได้รับมรดกแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องมาใส่ใจอะไร…
 
“ฮ่าๆ เจ้านี่ช่างโลภเสียจริง”
 
โจวเหรินหลงมองเห็นความคิดของเฉินเฉิน แต่เขาไม่ได้พูดอะไรมากสักเท่าไหร่ เนื่องจากมนุษย์เป็นสิ่งที่ละโมภอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้โลภมากเกินไป
 
เมื่อเห็นว่าเจ้าสำนักไม่ได้โกรธอะไร เฉินเฉินโล่งใจ เขารีบหยิบหน้ากากที่น่ารังเกียจออกมาจากกระเป๋าและสวมมันเข้าไป
 
โดยปราศจากการรอให้โจวเหรินหลงถาม เขาจึงเริ่มอธิบายขึ้นมาก่อน “เจ้าสำนักครับ ข้านั้นหล่อเหลามากเกินไปและข้าก็ดูไม่ดุดันมากเท่าไหร่ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ดีกว่าที่ข้าจะสวมหน้ากากนี้”
 
แน่นอนว่าเฉินเฉินพูดจาไร้สาระอยู่
 
หลังจากที่เรียนรู้ว่าเจ้าสำนักอสูรที่สืบทอดกันมานั้นต่างอยู่ในขั้นก่อกำเนิดวิญญาณกันทั้งหมด เฉินเฉินก็กังวลว่าใครบางคนอาจจะมองเห็นผ่านหน้ากากเปลี่ยนหน้าของเขา ดังนั้นเขาจึงใส่เพิ่มอีกอันเพื่อความปลอดภัย
 
โจวเหรินหลงพยักหน้าโดยที่ไม่ได้สงสัยอะไร
 
จางเฉินนั้นค่อนข้างหล่อจริงและดูไม่เหมือนกับสมาชิกของสำนักอสูร เขาดูไม่ได้ดุดันมากพอที่จะสร้างแรงกดดันอะไรได้ด้วยเช่นกัน
 
“เจ้าสำนักครับ ทำไมเทพอสูรถึงได้ตายลงกันครับ? พลังของเขานั้นน่าหวาดหวั่นมาก เขาน่าจะเลื่อนขั้นได้นะครับ!”
 
โจวเหรินหลงไม่ได้สนใจอะไร เขาจึงเปลี่ยนหัวข้อ
 
เมื่อได้ยินคำถามนี้ สีหน้าของโจวเหรินหลงจึงดูเหม่อลอย
 
“แปดพันปีก่อน สงครามครั้งที่สองระหว่างมนุษย์และอสูรได้ถือกำเนิดขึ้น สำนักอสูรนั้นอยู่เป็นเผ่ามนุษย์ ดังนั้นพวกเราจึงเข้าร่วมสงคราม”
 
“เมื่อตอนนั้น เซียนเทพอสูรและผู้ฝึกตนที่น่าหวาดกลัวจากสำนักเซียนอสูรฟีนิกส์นั้นต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่กันถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน สำนักเซียนอสูรฟีนิกส์ได้ตายลง ส่วนเซียนเทพอสูรตายไปถึงแปดครั้งและเมื่อเขากลับมายังสำนักอสูร เขาเหลืออายุขัยเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เขาจึงเลือกที่จะไม่พยายามอะไรนอกจากเข้าไปในดินแดนลึกลับเพื่อทิ้งมรดกด้วยพลังที่เหลืออยู่ของเขา”
 
เมื่อได้ยินดังนี้แล้ว เฉินเฉินพูดไม่ออก มันมีข้อมูลมากเกินไปและเขาไม่สามารถที่จะซึมซับมันได้ทัน
 
ในช่วงสงครามครั้งที่สองแล้วเขาตายถึงแปดครั้งในตอนจุดเดือดสุดของการต่อสู้
 
คำพูดเหล่านี้ดังก้องในหัวของเขา
 
ในเวลานี้เองประตูของภูเขาเปิดออกอีกครั้งหนึ่งและผู้อาวุโสอันเฉินที่พาเฉินเฉินเข้ามาในสำนักอสูรเดินเข้ามา
 
เขาไม่ได้มองเฉินเฉินเลยสักนิด มันเห็นได้ชัดว่าเขาจำเฉินเฉินไม่ได้
 
“เจ้าสำนักครับ ลูกศิษย์สาขาสอง หยวนฉิงเทียนพร้อมที่จะรับการท้าชิงจากนายน้อยของสาขาอื่นแล้วครับ!”
 
“ข้ารู้แล้ว เริ่มได้เลย” โจวเหรินหลงพูดอย่างเฉยเมย
 
เมื่อได้ยินดังนี้ ผู้อาวุโสอันเฉินโค้งตัวและถอยกลับไป
 
เฉินเฉินตื่นตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
 
‘หยวนฉิงเตียนฟื้นตัวไวขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? เขาต้องการที่จะท้าชิงนายน้อยคนอื่นอีก?!’
 
“หยวนฉิงเตียน น่าเสียดายจริง”
 
หลังจากที่อันเฉินจากไป โจวเหรินหลงถอนหายใจออกมาและมองไปที่เฉินเฉิน
 
“เจ้าพึ่งจะเข้าร่วมสำนักอสูรจึงไม่รู้กฏ ถ้าลูกศิษย์คนใดอยากที่จะเป็นเจ้าชายรัชทายาทของรัฐโจวและเป็นนายน้อยของสำนักอสูร มันมีหนทางเดียวคือการท้าชิงนายน้อยของ 35 สาขาโดยที่ไม่ล้มเหลวสักครั้ง”
 
“เพื่อที่จะมีโอกาสในการทดสอบแบบนั้นแล้ว เจ้าต้องทำผลงานให้กับสำนักของเราก่อน ซึ่งเจ้าสำนักจะรวมนายน้อยของแต่ละสาขามา”
 
“นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมผู้สืบทอดสำนักถึงยึดครองสำนักได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากว่าพวกเขามาจากแบบนี้กันทั้งหมด ในด้านพละกำลังและอำนาจแล้ว พวกเขาได้ทำให้ลูกศิษย์ทั้งหมดเชื่อว่าเขามีค่ามากพอและนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงได้กลายเป็นเจ้าสำนักอสูร”
 
“เจ้าเด็กหยวนฉิงเตียนเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากจากสาขาสอง หลังจากสังหารราชาองค์ใหม่ของรัฐจิน เขาได้รับโอกาสในการท้าชิงและมีความหวังอยู่ แต่โชคร้ายที่ทะเลจิตวิญญาณของเขาถูกสร้างขึ้นมาใหม่และความทรงจำของเขาถูกลบทิ้งไป ข้าเกรงว่าเขาจะไม่ผ่านบททดสอบเนี่ยสิ”
 
เฉินเฉินพยักหน้า นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม 36 สาขาถึงสามัคคีกัน
 
ระบบนี้สมเหตุสมผลและมันดูยุติธรรมกว่าของรัฐจินเสียอีก
 
นอกจากสาขาแรกแล้ว ลูกศิษย์ของสาขาอื่นต่างได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ตราบเท่าที่พวกเขาแข็งแกร่งมากพอและสนับสนุนสำนักอสูร พวกเขาต่างมีโอกาสกันทั้งนั้น
 
“จางเฉิน เจ้าควรไปด้วยเช่นกัน นอกจากนี้แล้ว หยวนฉิงเตียนต้องเอาชนะเจ้าด้วย” โจวเหรินหลงพูดอย่างใจเย็น
 
“หื้อ? ข้าพึ่งจะเข้าสำนักมาไม่นานเองนะ! ไม่ใช่มันมีศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงไปแทนงั้นเหรอ?”
 
เฉินเฉินพูดไม่ออก
 
“เจ้าเป็นลูกศิษย์คนเดียวของสาขาแรก สาขาขัดเกลาร่างกาย”

I Can Track Everything ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง

I Can Track Everything ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง

Type: Author:
โดย เรื่อง ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything “นักเดินทาง ระบบของท่านได้มาถึงแล้ว ยินดีด้วยสำหรับการได้รับระบบการตรวจสอบที่ทรงอำนาจ!” เฉินเฉินที่กำลังนั่งเบื่อหน่ายอยู่ตรงทางเข้าของหมู่บ้านหิน เพียงแค่เขากำลังรู้สึกหดหู่ เสียงก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา เมื่อได้ยินเสียงนี้ เฉินเฉินรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาก เขากระโดดขึ้นจากก้อนหินที่อยู่เบื้องหน้าหมู่บ้านทันที “ระบบ? พึ่งจะเพิ่มเข้ามาช้าขนาดนี้เนี่ยนะ?” “ระบบตรวจสอบในปัจจุบันคือระดับหนึ่งค่ะ เจ้าของสามารถที่จะตรวจจับทุกสิ่งทุกอย่างได้ในระยะสิบเมตร!” เมื่อเสียงในหัวของเขาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉินเฉินรู้สึกตื้นตันจนร้องไห้ออกมาได้เลย ด้วยเหตุนี้นี่เอง ประวัติศาสตร์ที่เขาเรียนรู้มาตอนมหาลัยมันไร้ประโยชน์และเขายังไม่สามารถกลายเป็นคนดังโดยการเขียนบทกลอนได้อีก เขาไม่ได้เก่งวิชาฟิสิกส์และเคมีสักเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถที่จะคิดค้นหรือประดิษฐ์เทคโนโลยีได้ มีสิ่งเดียวที่เขาทำแล้วมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนอื่น อย่างเอ้อหยาที่อยู่ใกล้บ้านเขา นั่นคือการที่เขาทำสมุดบัญชีขึ้นมา แต่ไม่คาดคิดเลย วันนี้….ระบบมันก็ได้มาถึงแล้ว! เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องตรวจสอบหรืออะไรสักอย่าง ตราบเท่าที่มันเป็นระบบ มันก็คงเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน เขาไม่ได้ทำอะไรมากว่าสิบปี แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่ามันจะเป็นระบบอะไร ขอแค่มันเป็นระบบก็พอ! การเป็นคนมันจะต้องเป็นคนกตัญญู ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่มีระบบ! ‘อะไรก็ตามในระยะสิบเมตร….มันมีข้อจำกัดจำนวนในการใช้ไหม?’ เฉินเฉินถามขึ้นในหัวตัวเอง “มันไม่มีข้อจำกัดในการใช้ค่ะ ระบบจะแจ้งภารกิจลับให้กับเจ้าของ เพื่อการอัพเกรดความสำเร็จลับ รวมทั้งยังให้รางวัลกับเจ้าของเป็นครั้งคราวด้วยค่ะ ดังนั้นได้โปรดขยันขันแข็งด้วยค่ะ!” หลังจากนั้นเสียงได้จางหายไปจากในหัวของเขา เฉินเฉินนั่งคิดอยู่เป็นเวลานาน เขามองออกไปยังทางเข้าหมู่บ้านที่โดดเดี่ยวนั่น แล้วรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย ชาวบ้านทั้งหมดของหมู่บ้านหินต่างเป็นชาวนากันทั้งหมด ทุกคนต่างยากจน ดังนั้นเขาจะตรวจสอบอะไรได้กัน? ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านเหมือนจะมีเพชรนิลจิลดาที่มีราคาอยู่ แต่เขาจะต้องไปขโมยมัน หลังจากที่เขาตรวจพบงั้นเหรอ? เขาคงจะโดนกระทืบจนตาย ถ้าเขาทำมันอย่างแน่นอน แต่เขาไม่ได้รีบร้อนอะไร ตั้งแต่ที่มันเป็นระบบ มันก็มีความหมายในตัวของมันเอง เขาจะพัฒนาตัวเองอย่างเชื่องช้า เป้าหมายหลักของเขาในตอนนี้คือการกลับไปยังบ้านก่อน ดังนั้นเขาจะได้ไปลองใช้ระบบได้อย่างสบายใจ เมื่อเขาตัดสินใจได้แล้ว เฉินเฉินเดินกลับบ้าน ครอบครัวของเขาเป็นคนธรรมดาทั่วไปในหมู่บ้านหินและครอบครัวของเขาต่างเป็นชาวนากัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้จน ครอบครัวของเขาก็อบอุ่นมากและเป็นครอบครัวที่มีความสุข เมื่อเขากลับมายังบ้าน พ่อแม่ของเขายังคงทำไร่นาอยู่ด้านนอกและยังไม่ได้กลับบ้าน เขาพูดขึ้นมาในหัวตัวเอง ‘ตรวจเงินในบ้านสิ’ “อยู่ในลิ้นชักที่ห่างออกไป 3 เมตรค่ะ ภายในลิ้นชักมีเงินจำนวน 120 ตำลึงทองแดง” นี่คือสถานที่ที่ครอบครัวของเขาเก็บเงินไว้ เฉินเฉินรู้มันดี เพราะว่าพ่อแม่ของเขาไม่ได้ปิดบังอะไรกับเขาไว้ “ใต้เตียงที่อยู่ห่างออกไป 4 เมตร ยังมีอีกสี่สิบตำลึงทองแดงค่ะ” อะไรนะ?! เฉินเฉินไม่รู้เกี่ยวกับเงินนี้เลยสักนิด มันเป็นห้องนอนของพ่อแม่เขา ซึ่งอยู่ห่างออกไปสี่เมตร มันอาจจะเป็นเงินเก็บของพ่อของเขา เฉินเฉินคิดและสรุปได้ว่ามันน่าจะเป็นไปได้ ดังนั้นเขาจึงเดินไปที่ห้องด้านข้างและก้มมองลงใต้เตียง หลังจากคว้านดูสักพักหนึ่ง เขาพบกับกระเป๋าหนังเล็กที่มีเงินอยู่สี่สิบตำลึง ‘มีเงินอยู่ด้านในจริงด้วย’ เฉินเฉินคิดกับตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็เก็บกระเป๋าหนังกลับไปยังที่เดิม ระบบยังคงพูดอย่างต่อเนื่องขึ้นมาในหัวของเขา “ก้าวไปด้านหน้าห้าก้าวและขุดลงไปใต้ดินสิบเมตร มันมีเหรียญทองแดงขึ้นสนิมอยู่” เมื่อได้ยินการแจ้งเตือน เฉินเฉินรีบหยิบพลั่วมาขุดอย่างกระตือรือร้น มันไม่ได้ใช้เวลานานสักเท่าไหร่สำหรับการหาเหรียญทองแดงขึ้นสนิม หลังจากครุ่นคิดมาเป็นเวลานาน เขาจำได้ลางๆว่าเขาเคยทำเงินหายตอนยังเด็ก มันเป็นเงินที่เขาได้มาตอนปีใหม่ และเขาอารมณ์เสียที่เงินหายเป็นเวลานานเลย ‘ตั้งแต่ที่ฉันมีระบบนี่แล้ว บางทีฉันอาจจะไปยังมณฑลใกล้ๆ เพื่อไปเก็บเงินจากพื้นมาอาศัยอยู่ต่อ…’ เฉินเฉินอดที่จะคิดออกมาไม่ได้ แต่เขาแทบจะตบหน้าตัวเองทันที หลังจากที่มีความคิดแบบนี้โผล่ขึ้นมา เมื่อเป็นนักเดินทางย้อนเวลาที่มีระบบแบบนี้แล้วแท้ๆ ทำไมความคิดของเขาถึงน่าสมเพศขนาดนี้กัน? นี่มันเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากสำหรับนักเดินทางที่ย้อนเวลากลับมาแบบนี้! ในเวลาเดียวกัน เสียงก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา “รางวัลความสำเร็จ – เสร็จสมบูรณ์ : ใช้ระบบเป็นครั้งแรก รางวัลที่ได้รับ : โอกาสในการตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างภายในมณฑลเสฉวนหนึ่งครั้งค่ะ” เมื่อเขาได้ยิน เฉินเฉินอดที่จะคิดเรื่องเดินไปหาเงินต่ออีกครั้งไม่ได้ ทั่วทั้งมณฑลเสฉวนคงจะมีเงินจำนวนมากอย่างแน่นอน… “เฮ้อออ! ทำไมฉันถึงเอาแต่อยากจะไปเก็บเงินกัน? ฉันมาที่โลกเซียนแห่งนี้ แน่นอนละว่าฉันมาเพื่อที่จะบ่มเพาะตนกลายเป็นเซียน!” เฉินเฉินตัดสินใจได้และไม่ได้ใช้รางวัลนี้ในทันที ใครจะไปรู้กันว่าเขาจะได้โอกาสตรวจสอบพื้นที่ขนาดกว้างแบบนี้อีกครั้งกัน? มันเป็นรางวัลที่ยอดเยี่ยม เขาไม่ต้องการที่จะเสียมันไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขาจะรอจนกระทั่งเขาคุ้นเคยกับระบบ ก่อนที่จะตัดสินใจใช้มัน Traveling through the Xianxia world, Chen Chen got the strongest tracking system and was able to track everything ever since. Chen Chen, “System, I am short of money.” “Two meters away, your father has hidden some money under the bed. Five meters away, there is a rusty copper coin buried half a meter underground.” “There is a piece of silver in the grass ahead.” Chen Chen, “System, I need some luck.” “The sh*t in front of the pigsty is actually not ordinary.” “Go to Black Peak cliff twenty miles away to jump off the cliff.” “Somewhere hidden there is a fairy cave mansion. Please explore by yourself.”

Options

not work with dark mode
Reset