“การให้ส่งเซียนทุกคนที่อยู่ขั้นสร้างรากฐานขึ้นไปนั้นเป็นเรื่องไร้เหตุผล ต่อให้พวกเขากำลังต่อสู้กับลัทธิอสูรก็ตาม!”
เซี่ยวอู่โยวยืนอยู่นอกค่ายกลคนเดียว และกำลังเผชิญหน้ากับเรือยักษ์สองลำอย่างไม่หวั่นกลัว
ในขณะที่มองเซี่ยวอู่โยว ที่อยู่ขั้นกลางของสร้างรากฐาน ชายแก่ไม่มีหนวดก็เย้ยหยัน “เซี่ยวอู่โยว เจ้าคิดจริงๆเหรอว่าเจ้าจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบแค่เพราะเจ้าก้าวเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานแล้ว? ข้าจะบอกให้นะ เจ้าสำนักมังกรมรกตเองก็ไปถึงขั้นสร้างรากฐานแล้วเหมือนกัน แต่ว่าเป็นยังไงล่ะ? ตอนนี้เขาตายไปแล้ว แต่เดิมนั้น สำนักอู๋ซินพยายามอดทนกับสำนักของเจ้าอยู่ แต่ตอนนี้ความอดทนของพวกเราหมดลงแล้ว! ถ้าเจ้าไม่ส่งคนมาตามที่บอกภายในครึ่งวัน เจ้ากับศิษย์ทุกคนในสำนักของเจ้าจะต้องตาย!”
หลังจากที่พูดออกมาเช่นนั้น ชายแก่อีกคนก็ออกมาจากเรือลำยักษ์อีกลำนึง คนผู้นี้เองก็อยู่ขั้นสร้างรากฐาน
ในขณะที่มองยอดฝีมือขั้นสร้างรากฐานสองคนตรงหน้าเขา ที่มาจากสำนักอู๋ซินกันทั้งคู่ สีหน้าของเซี่ยวอู่โยวก็เคร่งขรึมและดูเศร้าหมอง
‘ข้าสามารถหนีได้ถ้าต้องการ แต่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสำนักล่ะ?’
นี่มันกะทันหันเกินไป เขาเริ่มรู้สึกขัดแย้งและลังเล
…
“ศิษย์พี่ ท่านมาจากรัฐจิน ท่านเคยเจอเฉินเฉินคนนั้นมาก่อนไหมครับ? เขาเป็นคนแบบไหน? ผู้อาวุโสในสำนักไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเขานัก”
ในระหว่างทางไปสำนักเทียนหยุน หยวนฉิงเทียนถามเรื่องเฉินเฉินด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เฉินเฉินก็ถอนหายใจ
เขาพูดอย่างจริงจัง “เขามีออร่าที่เก่งกาจและเปี่ยมไปด้วยพลัง แค่นั้นก็เป็นคำอธิบายในตัวมันเองแล้ว ที่สำคัญกว่านั้น เขามีไหวพริบที่ยอดเยี่ยม! ระดับการฝึกตนของเขานั้นล้ำลึกและอยู่เหนือกว่าผู้สืบทอดทั่วไปมากนัก! นอกจากนี้ คนๆนั้นยังมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวด้วย เขาเคยฆ่ายอดฝีมือที่อยู่อันดับสองของการจัดอันดับในรัฐจินมาแล้ว! ถ้าข้าต้องประเมินเขา… ข้าคงบอกได้แค่ว่าเขาเป็นยอดฝีมือซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของสวรรค์ บางทีในกลุ่มนายน้อยของสำนักอสูร ณ ตอนนี้คงจะมีแค่ข้าที่สามารถต่อกรกับเขาได้”
เมื่อได้ฟังความคิดเห็นพวกนี้ สีหน้าของหยวนฉินเทียงก็เคร่งขรึม แต่สายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและจิตวิญญาณต่อสู้
แม้กระทั่งสีหน้าของโจวเฟิงและโจวฉานก็ดูจริงจัง
โชคดีที่ พวกเขาได้ตัวนายน้อยสาขามาจากรัฐจิน ไม่อย่างนั้น จะมีใครที่สามารถยับยั้งและต่อสู้กับผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนในอนาคตได้ล่ะ?
“นายน้อยสาขาครับ อย่าดูถูกตัวเองไปเลย ตอนนี้ท่านไปถึงขั้นกลางของแก่นทองคำแล้ว เจ้าเฉินเฉินนั่นอยู่ต่ำกว่า เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านหรอกครับ” โจวเฟิงเตือนเขา
เฉินเฉินถอนหายใจเล็กน้อย สายตาของเขานั้นลึกซึ้งและเขาก็พึมพำออกมาเบาๆ “เมื่อสิบวันก่อน ข้าเป็นแค่คนธรรมดาคนนึง เห้อ ใครจะรู้ล่ะว่าจะได้มีการพบเจอที่แสนวิเศษเช่นนี้ในชีวิต?
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ โจวฉางและโจวเฟิงก็ตกอยู่ในความเงียบ เพราะพวกเขารู้สึกว่ามันมีเหตุผล
กลุ่มคนที่กำลังบินอยู่บนสมบัติของโจวเฟิง ซึ่งรวดเร็วมากๆได้มาถึงส่วนลึกของรัฐจินในเวลาไม่นาน
เมื่อมองง้าวที่อยู่ใต้เท้าของเขา หัวใจของเฉินเฉินก็เต็มไปด้วยความอิจฉา
ผู้ฝึกตนระดับฝึกพลังปราณทุกคนอยากได้สมบัติที่เป็นของตัวเองโดยเฉพาะ แต่เพื่อที่จะได้มา พวกเขาต้องไปถึงระดับแก่นทองคำ ในอีกด้านนึง ผู้ฝึกตนสายขัดเกลาร่างกายนั้นต้องไปถึงระดับก่อกำเนิดวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฝั่งไหนเขาก็ใกล้จะถึงแล้ว และเขาไม่รู้ว่าเขาจะสามารถสร้างสมบัติได้เมื่อไหร่
ในขณะที่คิดเกี่ยวกับปัญหาพวกนี้ เขาก็เข้าใกล้สำนักเทียนหยุนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนนี้ ง้าวได้หยุดลงอย่างกะทันหัน และสีหน้าของโจวเฟิงก็ขุ่นมัว
“นายน้อยสาขาครับ มีการต่อสู้เกิดขึ้นที่สำนักเทียนหยุน ดูเหมือนว่าสำนักอู๋ซินจะส่งเรือขจัดความเกลียดชังมาสองลำครับ?”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ หัวใจของเฉินเฉินก็เต็มไปด้วยความกังวล แต่ภายนอกเขายังเยือกเย็นอยู่ เหมือนกับว่าเขากำลังวางแผนอะไรบางอย่าง
“สำนักอู๋ซินคงกังวลจริงๆเพราะสำนักพยัคฆ์ขาว สำนักวิหคสีชาด และสำนักเต่าดำร่วมมือกัน สำนักอู๋ซินก็เลยตัดสินใจจะกำจัดพวกเขา ดังนั้นพวกเขาต้องเริ่มด้วยสำนักเทียนหยุน นี่คือโอกาสของพวกเรา”
“จะให้พวกเราทำอะไรเหรอครับ?”
“ไปสอนบทเรียนให้สำนักอู๋ซิน ถ้าพวกเราสามารถใช้โอกาสนี้สังหารเซียนระดับก่อกำเนิดวิญญาณได้หนึ่งหรือสองคน นั่นก็คงจะเยี่ยมไปเลย” เฉินเฉินพูดอย่างใจเย็น
เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา โจวเฟิงนั้นไม่มีความสงสัยอยู่เลย อันที่จริง มีออร่าสังหารอยู่ในดวงตาของเขาในขณะที่ง้าวใต้เท้าเขาเร่งความเร็วขึ้นอย่างกะทันหัน ในเวลาแค่ชั่วขณะ มันก็บินไปได้หลายพันเมตร และเรือยักษ์สีดำสองลำก็เข้ามาอยู่ในทัศนวิสัยของเฉินเฉิน
‘ระยะการรับรู้ของโจวเฟิงกับโจวฉานอยู่ที่ประมาณ 4,000 เมตรสินะ’ เฉินเฉินคิด
…
ในตอนนี้ สำนักเทียนหยุนตกอยู่ในความวุ่นวายแล้ว เซี่ยวอู่โยวกำลังรับมือกับยอดฝีมือขั้นก่อกำเนิดวิญญาณสองคนพร้อมกัน และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เหนือกว่า แต่เขาก็ไม่มีที่ท่าว่าจะถอยเลย
และนอกจากยอดฝีมือขั้นก่อกำเนิดวิญญาณแล้ว ก็ยังมียอดฝีมือขั้นแก่นทองคำอีกหลายคนที่กำลังต่อสู้อยู่ อย่างเช่นผู้อาวุโสจ้าว ที่ทำหน้าที่คุ้มกันเฉินเฉินในเมืองหลวง
นอกจากนั้น เรือยักษ์สองลำก็กำลังกระหน่ำยิงใส่ค่ายกลป้องกันและกลุ่มศิษย์สำนักเทียนหยุนที่มีระดับการฝึกตนต่ำก็กำลังมองฉากที่เกิดขึ้นจากข้างในค่ายกลด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด
ตูม!
ในตอนนี้เอง มีเสียงที่รุนแรงเกิดขึ้น และค่ายกลป้องกันก็พังทลาย
เซียนสำนักอู๋ซินบนเรือเหาะเห็นภาพนี้แล้วรีบออกมาในขณะที่ส่งเสียงโห่ร้อง เซียนระดับแก่นทองคำคนนึงที่เป็นผู้นำได้ตะโกนออกมาด้วย “จับตัวผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุน เฉินเฉิน!”
ใช่แล้ว มี ‘เฉินเฉิน’ อยู่ในกลุ่มศิษย์
“เฉินเฉิน” ในตอนนี้หน้าซีดเผือดเหมือนหิมะและกำลังนั่งอยู่บนรถเข็น เขาดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บหนัก ซุนเทียนกังกับศิษย์ภายในอีกหลายคนที่มีระดับการฝึกตนอยู่ขั้นสร้างรากฐานคอยยืนอยู่ข้างเขาเพื่อรักษาความปลอดภัยให้เขา
ศิษย์ของทั้งสองสำนักเปิดฉากปะทะกันในเวลาไม่นาน เมื่อเทียบกับศิษย์สำนักอู๋ซิน ศิษย์สำนักเทียนหยุนนั้นอ่อนแอกว่ามาก ถ้าไม่ใช่เพราะมีศิษย์ภายในบางส่วนคอยยืนค้ำเอาไว้ที่แนวหน้า ศิษย์จากสำนักเทียนหยุนก็คงจะพ่ายแพ้ในเวลาไม่นาน
ตูม!
อย่างไรก็ตาม แค่ชั่วครู่ต่อมา เสียงดังสนั่นก็มาจากท้องฟ้าและเรือเหาะสีดำลำนึงก็ถูกหอกสีดำทะลวง พลังปราณข้างบนเรือริบหรี่ลงอย่างกะทันหัน
เมื่อเห็นฉากนี้ ยอดฝีมือระดับก่อกำเนิดวิญญาณที่กำลังต่อสู้กับเซี่ยวอู่โยวก็รู้สึกโกรธอย่างมาก และตะโกนออกมา “เซี่ยวอู่โยว! นี่เจ้าบังอาจสมรู้รวมคิดกับสำนักอสูรเรอะ!”
ใบหน้าของเซี่ยวอู่โยวเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำในขณะที่เขาอุทานด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ร่วมมือกับสำนักอสูรเหรอ? มันก็เห็นๆอยู่ว่าพวกเจ้านั่นล่ะที่ล่อคนจากสำนักอสูรมาที่นี่!”
หลังจากที่พูดเช่นนี้ เซี่ยวอู่โยวก็รู้สึกอับอาย เขากลายเป็นคนที่หน้าด้านขึ้นมากหลังจากที่รับเฉินเฉินมาเป็นศิษย์ของเขา
ณ ตอนนี้โจวฉานกับโจวเฟิงได้ทำการโจมตีใส่ยอดฝีมือระดับก่อกำเนิดวิญญาณทั้งสองคนของสำนักอู๋ซินแล้ว
พวกเขาทั้งคู่เป็นคนโหดร้าย พวกเขาโจมตีในทันทีโดยไม่พูดอะไร
แต่เดิมนั้นเซียนก่อกำเนิดวิญญาณทั้งสองคนต่อสู้กับเซี่ยวอู่โยวที่ตัวคนเดียวได้อย่างสบายๆ แต่ตอนนี้ พวกเขาได้เสียความได้เปรียบไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่ามีคนจากสำนักอสูรไม่มากนัก พวกเขาถอนหายใจอีกครั้งแล้วตะโกนบอกศิษย์สำนักอู๋ซินที่อยู่ด้านล่าง “เร็วเข้า จับตัวผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนมาให้ได้!”
ทุกคนรู้ดีว่าเซี่ยวอู๋โยวได้ไปที่สำนักอสูรเพียงลำพังเพื่อแก้แค้นเฉินเฉิน
ดังนั้น ในความคิดของพวกเขา ตราบใดที่พวกเขาควบคุมเฉินเฉิน ผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนได้ เซี่ยวอู่โยวก็จะร่วมมือกับพวกเขาในการจัดการกับยอดฝีมือระดับก่อกำเนิดวิญญาณสองคนของสำนักมารที่จู่ ๆก็โผล่มา จากนั้นพวกเขาก็จะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน
พวกเขาก็แค่ลองเชิงในตอนที่พวกเขาบอกว่าเซี่ยวอู่โยวสมรู้รวมคิดกับสำนักอสูร บางที ถ้าพวกเขาทำแบบนั้นกันจริงๆ ในตอนนี้ก็คงจะมีศิษย์สำนักอสูรมากกว่านี้
เมื่อเห็นเช่นนี้ กลุ่มศิษย์สำนักอู๋ซินที่อยู่ข้างล่างก็รู้กันหมดว่านี่คือสถานการณ์เร่งด่วง และกลายเป็นกลุ่มคนที่ไม่กลัวแม้แต่ความตาย ไม่นานนัก พวกเขาบางส่วนก็เข้ามาใกล้ “เฉินเฉิน”
ในขณะที่นั่งอยู่ในรถเข็น “เฉินเฉิน” เห็นฉากนี้ แต่สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนเลย
…
ด้วยใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากาก จางจีก็มองดูท้องฟ้าอันวุ่นวายและพึมพำกับตัวเอง “พี่ใหญ่ ข้าคงทำอะไรเพื่อท่านได้ไม่ค่อยมากนัก”
ในช่วงกลางดึกเมื่อวานซืนนี้ เจ้าสำนักได้มาหาเขาเพื่อแจ้งกับเขาว่าเฉินเฉินติดอยู่ในสำนักอสูร และเพื่อที่จะลบล้างความสงสัยของคนในสำนักอสูรอย่างสมบูรณ์ ต้องมีเฉินเฉินปรากฎตัวขึ้นด้วยกันกับสำนักเทียนหยุนด้วย
เนื่องจากเขาฝึกตนมาด้วยกันกับเฉินเฉิน เขาจึงรู้จักเฉินเฉินดี นอกจากนี้ ร่างกายของเขายังคล้ายกับเฉินเฉิน ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่มีความเหมาะสมที่สุดที่จะแกล้งปลอมตัวเป็นเฉินเฉิน
ในขณะที่มองหน้ากากที่เจ้าสำนักส่งมาให้เขา เขาก็ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
เขารู้สึกมีความสุข และตื่นเต้นอย่างมากกับความจริงที่ว่าเขายังสามารถช่วยเฉินเฉินได้แม้ว่าพลังเซียนของเขาจะถูกทำลายไปแล้ว
ในช่วงสองวันมานี้ เขาได้พบกับผู้คนมากมายโดยใช้ตัวตนของเฉินเฉินและได้รับรู้ถึงความกดดันอย่างมหาศาล ดังนั้น เขาจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเลียนแบบนิสัยและการวางตัวของเฉินเฉิน
เขาทำมันได้เป็นอย่างดี มีเพียงไม่กี่คนในสำนักที่สามารถบอกความแตกต่างได้
นอกจากนี้ ทั้งหมดมันก็เพื่อความปลอดภัยของเฉินเฉินด้วย ต่อให้มีหนอนจากสำนักอสูรอยู่ในสำนักเทียนหยุนก็คงไม่มีใครรู้
ตอนแรกเขาแค่ต้องทำแบบนี้ต่อไปอีกไม่กี่วัน แต่แล้วการต่อสู้ครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น และสร้างความประหลาดใจให้กับเขา
เมื่อเห็นซุนเทียนกังถูกซัดกระเด็น ศิษย์สำนักอู๋ซินที่ดูชั่วร้ายก็รีบเข้ามาหาเขา
จางจีหลับตาและนึกถึงครั้งแรกที่เขาได้พบกับเฉินเฉิน
พวกเขาอยู่บนหน้าผาลมทมิฬ และเฉินเฉินก็ช่วยเขาเอาไว้ด้วยการกระโดดจากหน้าผาเพื่อดึงดูดความสนใจของนักล่า
ในมณฑลเสฉวน เฉินเฉินได้กวาดล้างตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลด้วยความสามารถของตัวเอง และช่วยครอบครัวของจางจีเอาไว้ได้
ในสำนักเทียนหยุน เฉินเฉินคอยดูแลเขาเป็นอย่างดี และแอบมอบสมบัติสวรรค์กับหินวิญญาณให้เขาอยู่ตลอด เขาถึงกับวางแผนเพื่อทำให้เขาได้กลายเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสแปรธาตุด้วย
ในเมืองหลวงของประเทศ เฉินเฉินเองก็ได้เสี่ยงชีวิตไปที่บ้านดอกไม้พระจันทร์และฆ่าฉีปู่ฝาน ที่อยู่อันดับสองในกลุ่มยอดฝีมือแค่เพื่อล้างแค้นให้เขา
เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ จางจีก็ยิ้มออกมาอย่างกะทันหัน ศิษย์สำนักอู๋ซินที่อยู่ใกล้กับเขาไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
‘ข้าได้พบกับคู่หูที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตแล้ว ข้าจะไปต้องการอะไรอีก?’
‘ต่อให้ต้องตายตอนนี้ มันก็ถือว่าคุ้มแล้วล่ะ’
ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – ตอนที่ 118: จะไม่หยุดจนกว่าจะจบ
Posted by ? Views, Released on September 26, 2021
, I Can Track Everything ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง
โดย เรื่อง ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything “นักเดินทาง ระบบของท่านได้มาถึงแล้ว ยินดีด้วยสำหรับการได้รับระบบการตรวจสอบที่ทรงอำนาจ!”
เฉินเฉินที่กำลังนั่งเบื่อหน่ายอยู่ตรงทางเข้าของหมู่บ้านหิน เพียงแค่เขากำลังรู้สึกหดหู่ เสียงก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา
เมื่อได้ยินเสียงนี้ เฉินเฉินรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาก เขากระโดดขึ้นจากก้อนหินที่อยู่เบื้องหน้าหมู่บ้านทันที
“ระบบ? พึ่งจะเพิ่มเข้ามาช้าขนาดนี้เนี่ยนะ?”
“ระบบตรวจสอบในปัจจุบันคือระดับหนึ่งค่ะ เจ้าของสามารถที่จะตรวจจับทุกสิ่งทุกอย่างได้ในระยะสิบเมตร!”
เมื่อเสียงในหัวของเขาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉินเฉินรู้สึกตื้นตันจนร้องไห้ออกมาได้เลย
ด้วยเหตุนี้นี่เอง ประวัติศาสตร์ที่เขาเรียนรู้มาตอนมหาลัยมันไร้ประโยชน์และเขายังไม่สามารถกลายเป็นคนดังโดยการเขียนบทกลอนได้อีก เขาไม่ได้เก่งวิชาฟิสิกส์และเคมีสักเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถที่จะคิดค้นหรือประดิษฐ์เทคโนโลยีได้ มีสิ่งเดียวที่เขาทำแล้วมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนอื่น อย่างเอ้อหยาที่อยู่ใกล้บ้านเขา นั่นคือการที่เขาทำสมุดบัญชีขึ้นมา
แต่ไม่คาดคิดเลย วันนี้….ระบบมันก็ได้มาถึงแล้ว!
เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องตรวจสอบหรืออะไรสักอย่าง ตราบเท่าที่มันเป็นระบบ มันก็คงเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน เขาไม่ได้ทำอะไรมากว่าสิบปี แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่ามันจะเป็นระบบอะไร ขอแค่มันเป็นระบบก็พอ!
การเป็นคนมันจะต้องเป็นคนกตัญญู ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่มีระบบ!
‘อะไรก็ตามในระยะสิบเมตร….มันมีข้อจำกัดจำนวนในการใช้ไหม?’ เฉินเฉินถามขึ้นในหัวตัวเอง
“มันไม่มีข้อจำกัดในการใช้ค่ะ ระบบจะแจ้งภารกิจลับให้กับเจ้าของ เพื่อการอัพเกรดความสำเร็จลับ รวมทั้งยังให้รางวัลกับเจ้าของเป็นครั้งคราวด้วยค่ะ ดังนั้นได้โปรดขยันขันแข็งด้วยค่ะ!”
หลังจากนั้นเสียงได้จางหายไปจากในหัวของเขา
เฉินเฉินนั่งคิดอยู่เป็นเวลานาน เขามองออกไปยังทางเข้าหมู่บ้านที่โดดเดี่ยวนั่น แล้วรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย
ชาวบ้านทั้งหมดของหมู่บ้านหินต่างเป็นชาวนากันทั้งหมด ทุกคนต่างยากจน ดังนั้นเขาจะตรวจสอบอะไรได้กัน?
ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านเหมือนจะมีเพชรนิลจิลดาที่มีราคาอยู่ แต่เขาจะต้องไปขโมยมัน หลังจากที่เขาตรวจพบงั้นเหรอ? เขาคงจะโดนกระทืบจนตาย ถ้าเขาทำมันอย่างแน่นอน
แต่เขาไม่ได้รีบร้อนอะไร ตั้งแต่ที่มันเป็นระบบ มันก็มีความหมายในตัวของมันเอง เขาจะพัฒนาตัวเองอย่างเชื่องช้า
เป้าหมายหลักของเขาในตอนนี้คือการกลับไปยังบ้านก่อน ดังนั้นเขาจะได้ไปลองใช้ระบบได้อย่างสบายใจ
เมื่อเขาตัดสินใจได้แล้ว เฉินเฉินเดินกลับบ้าน
ครอบครัวของเขาเป็นคนธรรมดาทั่วไปในหมู่บ้านหินและครอบครัวของเขาต่างเป็นชาวนากัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้จน ครอบครัวของเขาก็อบอุ่นมากและเป็นครอบครัวที่มีความสุข
เมื่อเขากลับมายังบ้าน พ่อแม่ของเขายังคงทำไร่นาอยู่ด้านนอกและยังไม่ได้กลับบ้าน
เขาพูดขึ้นมาในหัวตัวเอง ‘ตรวจเงินในบ้านสิ’
“อยู่ในลิ้นชักที่ห่างออกไป 3 เมตรค่ะ ภายในลิ้นชักมีเงินจำนวน 120 ตำลึงทองแดง”
นี่คือสถานที่ที่ครอบครัวของเขาเก็บเงินไว้ เฉินเฉินรู้มันดี เพราะว่าพ่อแม่ของเขาไม่ได้ปิดบังอะไรกับเขาไว้
“ใต้เตียงที่อยู่ห่างออกไป 4 เมตร ยังมีอีกสี่สิบตำลึงทองแดงค่ะ”
อะไรนะ?!
เฉินเฉินไม่รู้เกี่ยวกับเงินนี้เลยสักนิด มันเป็นห้องนอนของพ่อแม่เขา ซึ่งอยู่ห่างออกไปสี่เมตร มันอาจจะเป็นเงินเก็บของพ่อของเขา
เฉินเฉินคิดและสรุปได้ว่ามันน่าจะเป็นไปได้ ดังนั้นเขาจึงเดินไปที่ห้องด้านข้างและก้มมองลงใต้เตียง หลังจากคว้านดูสักพักหนึ่ง เขาพบกับกระเป๋าหนังเล็กที่มีเงินอยู่สี่สิบตำลึง
‘มีเงินอยู่ด้านในจริงด้วย’ เฉินเฉินคิดกับตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็เก็บกระเป๋าหนังกลับไปยังที่เดิม
ระบบยังคงพูดอย่างต่อเนื่องขึ้นมาในหัวของเขา
“ก้าวไปด้านหน้าห้าก้าวและขุดลงไปใต้ดินสิบเมตร มันมีเหรียญทองแดงขึ้นสนิมอยู่”
เมื่อได้ยินการแจ้งเตือน เฉินเฉินรีบหยิบพลั่วมาขุดอย่างกระตือรือร้น มันไม่ได้ใช้เวลานานสักเท่าไหร่สำหรับการหาเหรียญทองแดงขึ้นสนิม
หลังจากครุ่นคิดมาเป็นเวลานาน เขาจำได้ลางๆว่าเขาเคยทำเงินหายตอนยังเด็ก มันเป็นเงินที่เขาได้มาตอนปีใหม่ และเขาอารมณ์เสียที่เงินหายเป็นเวลานานเลย
‘ตั้งแต่ที่ฉันมีระบบนี่แล้ว บางทีฉันอาจจะไปยังมณฑลใกล้ๆ เพื่อไปเก็บเงินจากพื้นมาอาศัยอยู่ต่อ…’ เฉินเฉินอดที่จะคิดออกมาไม่ได้ แต่เขาแทบจะตบหน้าตัวเองทันที หลังจากที่มีความคิดแบบนี้โผล่ขึ้นมา
เมื่อเป็นนักเดินทางย้อนเวลาที่มีระบบแบบนี้แล้วแท้ๆ ทำไมความคิดของเขาถึงน่าสมเพศขนาดนี้กัน?
นี่มันเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากสำหรับนักเดินทางที่ย้อนเวลากลับมาแบบนี้!
ในเวลาเดียวกัน เสียงก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา
“รางวัลความสำเร็จ – เสร็จสมบูรณ์ : ใช้ระบบเป็นครั้งแรก รางวัลที่ได้รับ : โอกาสในการตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างภายในมณฑลเสฉวนหนึ่งครั้งค่ะ”
เมื่อเขาได้ยิน เฉินเฉินอดที่จะคิดเรื่องเดินไปหาเงินต่ออีกครั้งไม่ได้
ทั่วทั้งมณฑลเสฉวนคงจะมีเงินจำนวนมากอย่างแน่นอน…
“เฮ้อออ! ทำไมฉันถึงเอาแต่อยากจะไปเก็บเงินกัน? ฉันมาที่โลกเซียนแห่งนี้ แน่นอนละว่าฉันมาเพื่อที่จะบ่มเพาะตนกลายเป็นเซียน!”
เฉินเฉินตัดสินใจได้และไม่ได้ใช้รางวัลนี้ในทันที
ใครจะไปรู้กันว่าเขาจะได้โอกาสตรวจสอบพื้นที่ขนาดกว้างแบบนี้อีกครั้งกัน? มันเป็นรางวัลที่ยอดเยี่ยม เขาไม่ต้องการที่จะเสียมันไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขาจะรอจนกระทั่งเขาคุ้นเคยกับระบบ ก่อนที่จะตัดสินใจใช้มัน
Traveling through the Xianxia world, Chen Chen got the strongest tracking system and was able to track everything ever since.
Chen Chen, “System, I am short of money.” “Two meters away, your father has hidden some money under the bed. Five meters away, there is a rusty copper coin buried half a meter underground.” “There is a piece of silver in the grass ahead.”
Chen Chen, “System, I need some luck.” “The sh*t in front of the pigsty is actually not ordinary.” “Go to Black Peak cliff twenty miles away to jump off the cliff.” “Somewhere hidden there is a fairy cave mansion. Please explore by yourself.”