ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – ตอนที่ 132: การเข้าใจผิดอีกครั้งหนึ่ง

เย่หวู่เชิงตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในขณะที่เจ้าสำนักของวิหคสีชาดและเต่าดำต่างขมวดคิ้ว
 
ตามความคิดของพวกเขาแล้ว ผู้นำของสำนักควรที่จะเป็นหนึ่งในสามสำนัก
 
สุดท้ายแล้วทั้งสามสำนักต่างใกล้ชิดกันและแม้ว่าสำนักของพวกเขาจะไม่ใช่สำนักผู้นำก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ถ้าสำนักพยัคฆ์ขาวเป็นผู้นำ
 
เย่หวู่เชิงเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ขั้นแก่นทองคำขั้นต้นแล้ว ตามความคิดของพวกเขาแล้ว เขาก็ไม่น่าที่จะกล้าโต้เถียงเขา
 
“เย่หวู่เชิงกำลังทำอะไรอยู่กัน? ทำไมเขาถึงไม่พูดอะไรออกมาเลยละ? แน่นอนว่าคนหนุ่มเยาว์ไม่น่าเชื่อถือและจะต้องเป็นกังวลในสถานการณ์เช่นนี้”
 
เจ้าสำนักวิหคสีชาดแอบด่า
 
“เฉินเฉินไม่ควรที่จะทำตัวเย่อหยิ่งอย่างงี้ด้วยเช่นกัน เขาดูทำตัวเอ้อระเหยอยู่ทั่วทุกวัน คนหนุ่มเยาว์นี่เลวร้ายมากจริง เมื่อพวกเขายังเยาว์วัยเช่นนี้”
 
เมื่อพวกเขาคิดเช่นนั้นแล้ว ผู้นำของสำนักวิหคสีชาดก็ได้เห็นด้ายแดงที่อยู่บนคอของเฉินเฉิน รวมทั้งสายของสร้อยคอดอกไม้เลือดฟีนิกส์อยู่ด้วย
 
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่สายของสร้อยคอก็ตาม เจ้าสำนักวิหคสีชาดก็จำมันได้ทันที ซึ่งมันเป็นของที่เธอมอบให้กับลูกศิษย์ที่เป็นที่รักของเธอ เซี่ยวฮวง!
 
“มันเกิดอะไรขึ้นกั? ข้าได้มอบจี้หยกนั่นให้กับลูกศิษย์ของข้าตอนที่เธอยังเด็ก ทำไมเฉินเฉินถึงสวมมันอยู่กัน?!”
 
เจ้าสำนักวิหคสีชาดตกใจ ‘ของส่วนตัวของเจ้าเด็กนั่นมอบให้กับชายอื่นได้อย่างง่ายดายเช่นนี้เนี่ยนะ?’
 
‘ลูกศิษย์ของข้าไม่ได้บอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แต่เฉินเฉินยังสวมมันอย่างเปิดเผยอีก…’
 
‘หรือว่าจะเป็น? เวรเอ้ย’
 
เธอหันหัวไปมองยังผู้สืบทอดของสำนักเธอ เซี่ยวฮวงที่ยืนอยู่ด้านหลัง
 
เซี่ยวฮวงสังเกตเห็นสายตาของอาจารย์ของเธอก็จริง แต่เธอจะอธิบายมันอย่างไรดี
 
เธอคงไม่สามารถบอกได้หรอกว่าเธอได้ขายของส่วนตัวไปกับเจ้าคนหน้าด้านนั่น ถ้าเธอทำแล้ว อาจารย์ของเธอจะคิดยังไงกัน?
 
นอกจากนี้แล้วมันยังเป็นของที่เก็บไว้อยู่ภายในอีกด้วย ซึ่งปกติแล้วคนอื่นจะมองไม่เห็นหรอก ถ้าเธอบอกว่าถูกบังคับให้ขายไป มันจะไม่มีใครเชื่อเธอ สุดท้ายแล้วเธอไม่สามารถที่จะเปิดโชว์หน้าอกให้คนอย่างเฉินเฉินดูได้หรอก
 
ด้วยเหตุนี้นี่เอง เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของอาจารย์ เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหัวลงด้วยความเขินอาย
 
เมื่อเจ้าสำนักวิหคสีชาดเห็นมัน เธอก็ใจเสียทันที
 
‘ข้าไม่ได้คาดคิดเลยสักนิด! ลูกศิษย์ของข้านั้นเกี่ยวข้องกับผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนอย่างลับๆแบบนี้!”
 
‘เธอยังมอบของขวัญเป็นตัวแทนแห่งความรักอีก!’
 
‘นี่มันบ้าเกินไปแล้ว…’
 
‘เฮ้ แต่เหมือนเจ้าเด็กนี่ก็ดูยอดเยี่ยมเหมือนกันนะ!’
 
เจ้าสำนักวิหคสีชาดต้องการที่จะด่าออกมาก็จริง แต่ยามที่เธอเห็นความใจเย็นและสุขุมของเฉินเฉินแล้ว เธอก็คิดว่าเขาไม่ได้ธรรมดาทั่วไปเช่นเดียวกัน
 
เขายังมีใบหน้าที่หล่อเหลาและคมคายอีกยามที่เขาพูดออกมา เขาไม่ได้ดูหวาดเกรงเลยสักนิด ยามที่เขาเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับก่อกำเนิดวิญญาณ เขายังไม่ได้แสดงความกลัวออกมาเลยสักนิด
 
ยิ่งไปกว่านี้แล้ว เขายังมีพรสวรรค์อย่างน่าเหลือเชื่อและเขาได้ก้าวเข้ามาอยู่ขั้นแก่นทองคำด้วยอายุที่น้อยขนาดนี้
 
ถึงแม้ว่าเย่หวู่เชิงจะอยู่ขั้นแก่นทองคำเช่นเดียวกัน เขาก็ซ่อนตัวอยู่ภายใต้เกราะมานานหลายปีและกลายเป็นพวกเสียสติไปแล้ว เขาไม่ได้เป็นคนที่ดีพอที่จะเป็นคู่ชีวิต
 
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เจ้าสำนักวิหคสีชาดก็ยิ้มออกมาและพูดอย่างใจเย็น “ข้าคิดว่าการทำให้สำนักเทียนหยุนเป็นผู้นำก็ดีเหมือนกันนะ สุดท้ายแล้วเจ้าสำนักเย่ก็ยังเด็กเกินไปและยังคงเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขาที่จะรับภาระอันหนักหนาเช่นนี้”
 
หื้อ?!
 
เจ้าสำนักเต่าดำที่อยู่ด้านข้างรีบหันมามองเธออย่างสับสน เมื่อเซี่ยวอู่โยวบินออกไปก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างพูดคุยกันและตกลงว่าจะไม่ให้สำนักเทียนหยุนเป็นผู้นำ แต่เธอกลับเปลี่ยนความคิดเนี่ยนะ
 
‘ผู้หญิงคนนี้มันเชื่อถือไม่ได้เสียจริง’
 
เย่หวู่เชิงประหลาดใจเช่นเดียวกัน ‘ข้าพูดช้าไปเลยถูกทรยศแบบนี้เนี่ยนะ?’
 
เจ้าสำนักวิหคสีชาดเมินพวกเขาไปและจ้องไปที่เฉินเฉินด้วยรอยยิ้มกว้าง
 
ในช่วงเวลาเช่นนี้แล้ว เธอรู้ดีว่าใครกันเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเธอมากที่สุด
 
หลังจากที่สบตากับเจ้าสำนักวิหคสีชาด เฉินเฉินอดที่จะตัวสั่นไม่ได้ ก่อนที่เขาจะรีบลุกขึ้นยืนและทำสีหน้าจริงจัง
 
เขาไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่เขารู้สึกกังวล
 

 
การเปลี่ยนแปลงไปของเจ้าสำนักวิหคสีชาดทำให้เย่หวู่เชิงได้พลิกสถานการณ์ไป สองจากสี่สำนักได้สนับสนุเซี่ยวอู่โยวและพวกเขาต่างอยู่บนเส้นเดียวกัน ดังนั้นพวกเขาจะแข่งขันกับเซี่ยวอู่โยวได้อย่างไรกัน ซึ่งเขานั้นอยู่ในขั้นก่อกำเนิดวิญญาณระดับกลางอีก?
 
นอกจากนี้แล้ว เฉินเฉินยังมีตราของสำนักพยัคฆ์ขาวอยู่อีก
 
เจ้าสำนักเต่าดำก็ยอมแพ้ด้วยเช่นกัน เขาเงยหน้าขึ้นไปมองฟ้าอย่างเหม่อลอย เหมือนว่าเขาต้องการที่จะไม่ต้องการเสนอความคิดเห็น
 
เมื่อตระหนักได้ว่าอาจารย์ของเขากำลังมองไปยังด้านนอก ซวนฮงก็รีบทำตามโดยทันที เขาพึ่งจะพบว่ามันไม่มีอะไรสักอย่างอยู่ด้านนอกเลย
 
เมื่อเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เย่หวู่เชิงหายใจเข้าลึก เขาลุกขึ้นยืนและมองไปยังเฉินเฉินที่นั่งอยู่ไม่ไกลออกไป
 
“เฉินเฉิน ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่าเจ้าจะกลายเป็นเจ้าสำนักเทียนหยุนในอนาคตหรือไม่?”
 
เฉินเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เซี่ยวอู่โยวที่นั่งอยู่ข้างเขาพูดขัดขึ้นมาแทน “แน่นอนว่าเขาจะขึ้นมาเป็นเจ้าสำนัก เมื่อเขาก้าวมาอยู่ในขั้นก่อกำเนิดวิญญาณ ข้าจะลงจากตำแหน่งและปล่อยให้เขากลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักเทียนหยุน”
 
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว เซี่ยวอู่โยวก็พยักหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าที่จริงจัง
 
“เยี่ยมมาก ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว เฉินเฉิน เจ้าและข้าจะต้องประลองกัน ถ้าเจ้าเอาชนะข้าได้ สำนักพยัคฆ์ขาวจะยอมสละตำแหน่งนี้ให้เอง แต่ถ้าเจ้าพ่ายแพ้แล้ว สี่สำนักควรที่จะอยู่ภายใต้การนำของสำนักพยัคฆ์ขาวจะดีกว่า”
 
“มันไม่ใช่ว่าข้านั้นจะกลับคำพูด แต่เพราะเรื่องนี้มันสำคัญมาก หลังจากการต่อสู้กันก่อนหน้านี้ สำนักพยัคฆ์ขาวได้รับการสูญเสียอันหนักหนา ถ้าข้าไม่ได้ต่อสู้กับเจ้าแล้ว ข้าจะทำให้ผู้อาวุโสและบรรพบุรุษของสำนักพยัคฆ์ขาวเสื่อมเสียชื่อเสียงไปได้”
 
“แน่นอนว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ คำสั่งของสำนักพยัคฆ์ขาวยังคงอยู่ ข้าจะให้เจ้าสั่งข้าทำอะไรก็ได้หนึ่งอย่างในอนาคต”
 
ทันทีที่เย่หวู่เชิงพูดจบ เจ้าสำนักวิหคสีชาดพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจก่อนที่เฉินเฉินจะได้พูดอะไร
 
“เจ้าสำนักเย่ ท่านกำลังพูดจาไร้สาระอยู่ ทันทีที่ท่านก้าวขึ้นมาสู่ขั้นแก่นทองคำ ท่านได้ขัดเกลาเกราะโซ่วิญญาณพยัคฆ์ขาวที่สวมใส่อยู่จนกลายเป็นสมบัติธรรมะและได้เก็บกลับเข้าไปในร่าง เฉินเฉินยังไม่มีเวลาสร้างสมบัติธรรมะของตัวเองเลย ท่านไม่คิดว่ามันเป็นการรังแกเขา โดยการท้าประลองคนที่ยังไม่มีสมบัติประจำตัวหรืออย่างไร?”
 
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอแล้ว หน้าของเย่หวู่เชิงตึงขึ้นทันที
 
‘ทำไมเจ้าสำนักวิหคสีชาดถึงเอาแต่พูดจายั่วยุข้าเสียจริง?’
 
เฉินเฉินยังคงสับสนเล็กน้อย ‘ข้าเป็นคนที่เกี่ยวข้อง แต่ข้ายังไม่มีข้อโต้แย้งอะไรเลยสักนิด ทำไมท่านถึงพูดแย้งแทนทำไมกันนี่ย? ข้าไม่ใช่ลูกเขยท่านสักหน่อย!’
 
เขาถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนและพูดขึ้น “ได้ ข้ายอมรับการท้าประลองนี้”
 
เย่หวู่เชิงโล่งอกที่ได้ยิน โชคยังดีที่เฉินเฉินตกลง ไม่อย่างงั้นแล้วเขาคงจะทำให้ตัวเองอับอายเป็นอย่างมาก
 
“ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว มาทำให้เรื่องนี้จบให้เร็วกว่าเดิมกันเถอะ”
 

 
หลายชั่วขณะต่อมา กลุ่มคนได้มาถึงสนามประลองของสำนักพยัคฆ์ขาว
 
ด้านบนสังเวียน เฉินเฉินและเย่หวู่เชิงต่างยืนเผชิญหน้ากันและไม่ได้พูดอะไรกันออกมาสักคำ
 
เกราะโซ่วิญญาณพยัคฆ์ขาวบนตัวของร่างเย่หวู่เชิงลอยออกมาจากร่างของเขา
 
เฉินเฉินรู้สึกอายเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเข้าไปบนสังเวียน เจ้าสำนักวิหคสีชาดได้มอบของมาให้เขาหลายอย่าง ในเวลานี้เขาได้สวมชุดคลุมขนฟีนิกส์และถือดาบยาวไฟลุกอยู่ในมือ เขาดูเหมือนกับผู้หญิงที่แต่งตัวราวกับหัวหน้าใหญ่
 
เมื่อเห็นว่าเฉินเฉินอยู่บนสังเวียนแล้ว เจ้าสำนักวิหคสีชาดก็พึงพอใจมากและเธอก็หันไปมองเซี่ยวอู่โยวที่นั่งอยู่ข้างเธอ เธอยิ้มกว้างออกมา
 
“ศิษย์น้องเซี่ยว พวกเราจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ”
 
เซี่ยวอู่โยวประหลาดใจกับคำพูดของเธอ ถึงแม้ว่าเขาจะพึ่งเลื่อนขึ้นมายังขั้นก่อกำเนิดวิญญาณก็ตามและได้พัฒนาออร่าของเขาทรงพลังยิ่งกว่าแต่ก่อนก็ตามที เขายังคงมีใจให้กับโยวหลัวฉุยเพียงแค่คนเดียว
 
‘เจ้าสำนักวิหคสีชาดพูดนั้นหมายถึงอะไรกัน? เธอกำลังจะทำอะไรกับข้ากัน?’
 
‘เจ้ากำลังคิดว่าข้าทำอะไรก็ได้ เนื่องจากเจ้าสนับสนุนสำนักเทียนหยุนให้กลายเป็นผู้นำของสี่สำนักหรืออย่างไร?’
 
‘เวรเอ้ย! ข้าไม่สนใจมันแล้ว!’
 
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาก็เดินห่างออกไปไกลจากเจ้าสำนักวิหคสีชาดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโอหัง
 
ด้านบนสังเวียน เย่หวู่เชิงมองไปที่เฉินเฉินด้วยท่าทางพิลึกพิลั่น “เฉินเฉิน ความเป็นจริงแล้ว เมื่อเจ้าได้ถูกเลือกให้ไปอยู่ในห้องสวรรค์แทนที่สำนักพยัคฆ์ขาวบนยานเหาะของสำนักอู๋ซิ่น ข้าต้องการที่จะต่อสู้กับเจ้ามาก ยังไงก็ตาม ข้าตัดสินใจที่จะเก็บกักมันไว้ เพื่อคนโดยรวม”
 
“ในตอนหลัง ยามที่ข้าได้มาถึงเมืองหลวง ข้าได้เห็นความแข็งแกร่งของเจ้าแล้วมันทำให้ข้ารู้ดีว่าข้าไม่ใช่คู่มือของเจ้าเลยสักนิด ด้วยเหตุนี้ข้าจึงได้เก็บความอยากที่จะสู้กับเจ้าเอาไว้”
 
“ในตอนนี้ เมื่อข้ามาถึงขั้นแก่นทองคำและหลุดพ้นจากพันธนาการของเกราะโซ่วิญญาณพยัคฆ์และมันกลายเป็นตัวช่วยตัวสำคัญของข้าแบบนี้แล้ว”
 
“มันก็ถึงเวลาที่ข้าเข้าใจถึงเจตนารมที่ดีของอาจารย์ที่บอกให้ข้าใส่ชุดเกราะนี้ลงไป ดังนั้นเพื่อที่จะทำตามคำปรารถนาของอาจารย์และแผนการของข้า ข้าจะต่อสู้กับเจ้าเอง เฉินเฉิน อย่าโทษที่ข้าได้รังแกเจ้าละ!”
 
เมื่อได้ยินคำพูดยาวๆของเขาแล้ว เฉินเฉินยิ้มออกมา “เย่หวู่เชิง โจมตีมาได้แล้ว มันมีประโยชน์อะไรกับการพูดมากขนาดนี้?”

I Can Track Everything ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง

I Can Track Everything ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง

我能追踪万物
Score 6.6
Status: Ongoing Type: Author: Native Language: Chinese
โดย เรื่อง ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything “นักเดินทาง ระบบของท่านได้มาถึงแล้ว ยินดีด้วยสำหรับการได้รับระบบการตรวจสอบที่ทรงอำนาจ!” เฉินเฉินที่กำลังนั่งเบื่อหน่ายอยู่ตรงทางเข้าของหมู่บ้านหิน เพียงแค่เขากำลังรู้สึกหดหู่ เสียงก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา เมื่อได้ยินเสียงนี้ เฉินเฉินรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาก เขากระโดดขึ้นจากก้อนหินที่อยู่เบื้องหน้าหมู่บ้านทันที “ระบบ? พึ่งจะเพิ่มเข้ามาช้าขนาดนี้เนี่ยนะ?” “ระบบตรวจสอบในปัจจุบันคือระดับหนึ่งค่ะ เจ้าของสามารถที่จะตรวจจับทุกสิ่งทุกอย่างได้ในระยะสิบเมตร!” เมื่อเสียงในหัวของเขาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉินเฉินรู้สึกตื้นตันจนร้องไห้ออกมาได้เลย ด้วยเหตุนี้นี่เอง ประวัติศาสตร์ที่เขาเรียนรู้มาตอนมหาลัยมันไร้ประโยชน์และเขายังไม่สามารถกลายเป็นคนดังโดยการเขียนบทกลอนได้อีก เขาไม่ได้เก่งวิชาฟิสิกส์และเคมีสักเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถที่จะคิดค้นหรือประดิษฐ์เทคโนโลยีได้ มีสิ่งเดียวที่เขาทำแล้วมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนอื่น อย่างเอ้อหยาที่อยู่ใกล้บ้านเขา นั่นคือการที่เขาทำสมุดบัญชีขึ้นมา แต่ไม่คาดคิดเลย วันนี้….ระบบมันก็ได้มาถึงแล้ว! เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องตรวจสอบหรืออะไรสักอย่าง ตราบเท่าที่มันเป็นระบบ มันก็คงเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน เขาไม่ได้ทำอะไรมากว่าสิบปี แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่ามันจะเป็นระบบอะไร ขอแค่มันเป็นระบบก็พอ! การเป็นคนมันจะต้องเป็นคนกตัญญู ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่มีระบบ! ‘อะไรก็ตามในระยะสิบเมตร….มันมีข้อจำกัดจำนวนในการใช้ไหม?’ เฉินเฉินถามขึ้นในหัวตัวเอง “มันไม่มีข้อจำกัดในการใช้ค่ะ ระบบจะแจ้งภารกิจลับให้กับเจ้าของ เพื่อการอัพเกรดความสำเร็จลับ รวมทั้งยังให้รางวัลกับเจ้าของเป็นครั้งคราวด้วยค่ะ ดังนั้นได้โปรดขยันขันแข็งด้วยค่ะ!” หลังจากนั้นเสียงได้จางหายไปจากในหัวของเขา เฉินเฉินนั่งคิดอยู่เป็นเวลานาน เขามองออกไปยังทางเข้าหมู่บ้านที่โดดเดี่ยวนั่น แล้วรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย ชาวบ้านทั้งหมดของหมู่บ้านหินต่างเป็นชาวนากันทั้งหมด ทุกคนต่างยากจน ดังนั้นเขาจะตรวจสอบอะไรได้กัน? ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านเหมือนจะมีเพชรนิลจิลดาที่มีราคาอยู่ แต่เขาจะต้องไปขโมยมัน หลังจากที่เขาตรวจพบงั้นเหรอ? เขาคงจะโดนกระทืบจนตาย ถ้าเขาทำมันอย่างแน่นอน แต่เขาไม่ได้รีบร้อนอะไร ตั้งแต่ที่มันเป็นระบบ มันก็มีความหมายในตัวของมันเอง เขาจะพัฒนาตัวเองอย่างเชื่องช้า เป้าหมายหลักของเขาในตอนนี้คือการกลับไปยังบ้านก่อน ดังนั้นเขาจะได้ไปลองใช้ระบบได้อย่างสบายใจ เมื่อเขาตัดสินใจได้แล้ว เฉินเฉินเดินกลับบ้าน ครอบครัวของเขาเป็นคนธรรมดาทั่วไปในหมู่บ้านหินและครอบครัวของเขาต่างเป็นชาวนากัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้จน ครอบครัวของเขาก็อบอุ่นมากและเป็นครอบครัวที่มีความสุข เมื่อเขากลับมายังบ้าน พ่อแม่ของเขายังคงทำไร่นาอยู่ด้านนอกและยังไม่ได้กลับบ้าน เขาพูดขึ้นมาในหัวตัวเอง ‘ตรวจเงินในบ้านสิ’ “อยู่ในลิ้นชักที่ห่างออกไป 3 เมตรค่ะ ภายในลิ้นชักมีเงินจำนวน 120 ตำลึงทองแดง” นี่คือสถานที่ที่ครอบครัวของเขาเก็บเงินไว้ เฉินเฉินรู้มันดี เพราะว่าพ่อแม่ของเขาไม่ได้ปิดบังอะไรกับเขาไว้ “ใต้เตียงที่อยู่ห่างออกไป 4 เมตร ยังมีอีกสี่สิบตำลึงทองแดงค่ะ” อะไรนะ?! เฉินเฉินไม่รู้เกี่ยวกับเงินนี้เลยสักนิด มันเป็นห้องนอนของพ่อแม่เขา ซึ่งอยู่ห่างออกไปสี่เมตร มันอาจจะเป็นเงินเก็บของพ่อของเขา เฉินเฉินคิดและสรุปได้ว่ามันน่าจะเป็นไปได้ ดังนั้นเขาจึงเดินไปที่ห้องด้านข้างและก้มมองลงใต้เตียง หลังจากคว้านดูสักพักหนึ่ง เขาพบกับกระเป๋าหนังเล็กที่มีเงินอยู่สี่สิบตำลึง ‘มีเงินอยู่ด้านในจริงด้วย’ เฉินเฉินคิดกับตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็เก็บกระเป๋าหนังกลับไปยังที่เดิม ระบบยังคงพูดอย่างต่อเนื่องขึ้นมาในหัวของเขา “ก้าวไปด้านหน้าห้าก้าวและขุดลงไปใต้ดินสิบเมตร มันมีเหรียญทองแดงขึ้นสนิมอยู่” เมื่อได้ยินการแจ้งเตือน เฉินเฉินรีบหยิบพลั่วมาขุดอย่างกระตือรือร้น มันไม่ได้ใช้เวลานานสักเท่าไหร่สำหรับการหาเหรียญทองแดงขึ้นสนิม หลังจากครุ่นคิดมาเป็นเวลานาน เขาจำได้ลางๆว่าเขาเคยทำเงินหายตอนยังเด็ก มันเป็นเงินที่เขาได้มาตอนปีใหม่ และเขาอารมณ์เสียที่เงินหายเป็นเวลานานเลย ‘ตั้งแต่ที่ฉันมีระบบนี่แล้ว บางทีฉันอาจจะไปยังมณฑลใกล้ๆ เพื่อไปเก็บเงินจากพื้นมาอาศัยอยู่ต่อ…’ เฉินเฉินอดที่จะคิดออกมาไม่ได้ แต่เขาแทบจะตบหน้าตัวเองทันที หลังจากที่มีความคิดแบบนี้โผล่ขึ้นมา เมื่อเป็นนักเดินทางย้อนเวลาที่มีระบบแบบนี้แล้วแท้ๆ ทำไมความคิดของเขาถึงน่าสมเพศขนาดนี้กัน? นี่มันเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากสำหรับนักเดินทางที่ย้อนเวลากลับมาแบบนี้! ในเวลาเดียวกัน เสียงก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา “รางวัลความสำเร็จ – เสร็จสมบูรณ์ : ใช้ระบบเป็นครั้งแรก รางวัลที่ได้รับ : โอกาสในการตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างภายในมณฑลเสฉวนหนึ่งครั้งค่ะ” เมื่อเขาได้ยิน เฉินเฉินอดที่จะคิดเรื่องเดินไปหาเงินต่ออีกครั้งไม่ได้ ทั่วทั้งมณฑลเสฉวนคงจะมีเงินจำนวนมากอย่างแน่นอน… “เฮ้อออ! ทำไมฉันถึงเอาแต่อยากจะไปเก็บเงินกัน? ฉันมาที่โลกเซียนแห่งนี้ แน่นอนละว่าฉันมาเพื่อที่จะบ่มเพาะตนกลายเป็นเซียน!” เฉินเฉินตัดสินใจได้และไม่ได้ใช้รางวัลนี้ในทันที ใครจะไปรู้กันว่าเขาจะได้โอกาสตรวจสอบพื้นที่ขนาดกว้างแบบนี้อีกครั้งกัน? มันเป็นรางวัลที่ยอดเยี่ยม เขาไม่ต้องการที่จะเสียมันไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขาจะรอจนกระทั่งเขาคุ้นเคยกับระบบ ก่อนที่จะตัดสินใจใช้มัน Traveling through the Xianxia world, Chen Chen got the strongest tracking system and was able to track everything ever since. Chen Chen, “System, I am short of money.” “Two meters away, your father has hidden some money under the bed. Five meters away, there is a rusty copper coin buried half a meter underground.” “There is a piece of silver in the grass ahead.” Chen Chen, “System, I need some luck.” “The sh*t in front of the pigsty is actually not ordinary.” “Go to Black Peak cliff twenty miles away to jump off the cliff.” “Somewhere hidden there is a fairy cave mansion. Please explore by yourself.”

Options

not work with dark mode
Reset