ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – ตอนที่ 91: ไม่มีข้อยกเว้น

“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องห่วง ถ้าข้าไม่ประสบความสำเร็จคนอื่นก็คงจะไม่หรอก”
 
เฉินเฉินหัวเราะดังลั่นและเดินกลับไปที่ห้องของเขา
 
ในทันทีที่เขาเข้าไปในห้อง เหรียญสื่อสารก็สว่างขึ้นมา ซึ่งเฉินเฉินก็ได้หยิบมันออกมาดู และในตอนนั้นเองเขาก็ได้รับข้อความจากอาจารย์ของเขาเซี่ยวอู่โยว และมันก็มีแค่ประโยคสั้นๆเพียงประโยคเดียว
 
“ศิษย์เอ๋ย ข้าได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นกลางของก่อกำเนิดวิญญาณสำเร็จแล้ว”
 
ประโยคนั้นสั้นแต่มีความหมายที่พิเศษอยู่
 
ถ้าเขาอยู่ขั้นต้นของก่อกำเนิดวิญญาณ สำนักอู๋ซินก็คงจะฆ่าเขาได้ไม่ยาก แต่ตอนนี้เขาอยู่ขั้นกลางของก่อกำเนิดวิญญาณแล้ว มันคงจะทำแบบนั้นได้ยากขึ้น
 
ถ้าเซี่ยวอู่โยวเป็นคนที่เหี้ยมโหดจริงๆและยอมสละสำนักเทียนหยุนเพื่อสร้างปัญหาให้สำนักอู๋ซิน สำนักอู๋ซินก็คงจะได้ปวดหัวกันครั้งใหญ่เหมือนกัน
 
สรุปสั้นๆเลยก็คือ มันเป็นสถานะฝึกตนที่สูงพอที่จะคุกคามสำนักอู๋ซิน
 
ดังนั้น หลังจากที่อ่านข้อความแล้ว เฉินเฉินจึงเผยรอยยิ้มออกมาจากใจของเขา ‘ท่านอาจารย์ไม่ได้ปล่อยให้สมบัติสวรรค์พวกนั้นต้องสูญเปล่าเลยสินะ’
 

 
ในขณะที่เวลาผ่านพ้นไป ท้องฟ้าก็ค่อยๆสว่างขึ้น
 
อาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองในประเทศได้มารวมตัวกันด้วยความตั้งใจของตัวเองที่ลานกว้างของเมืองหลวง
 
ทุกคนต่างให้ความสนใจกับการแข่งขันต่อสู้จัดอันดับของ 36 สำนักเพราะมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐจิน
 
ในวันนี้ เรื่องอื่นๆในเมืองหลวงดูไม่มีความสำคัญเลย เพราะสายตาทั้งหมดได้จับจ้องมาที่การต่อสู้จัดอันดับ
 
ในช่วงเวลานี้ แท่นสูง 36 แท่งได้ถูกสร้างขึ้นรอบเวทีประลองของเมืองหลวง ข้างหลังแท่นสูงแต่ละแท่นนั้น มีธงที่มีชื่อของแต่ละสำนักเขียนเอาไว้อยู่
 
สำนักได้ถูกจัดเรียงรอบเวทีประลอง จากสำนักอู๋ซินซึ่งอยู่ที่หนึ่ง ไปจนถึงสำนักดาบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่ที่ 36 ภาพของงานนั้นทั้งยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยความขลัง
 
“ข้าขอเรียกผู้สืบทอดของทั้ง 36 สำนักขึ้นมาบนเวที!”
 
ในช่วงเวลากลางวัน ผู้อาวุโสแก่นทองคำคนนึงที่ยืนอยู่กลางเวทีประลองได้ตะโกนออกมาดังลั่น เสียงของเขากระจายไปทั่วทั้งพื้นที่รอบตัวเขาในรัศมีหนึ่งพันเมตร และทำให้หัวใจและวิญญาณของผู้คนสั่นคลอนเหมือนกับระฆังยักษ์
 
เมื่อได้ยินเสียงนี้ คนกลุ่มนึงก็ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเข้าสนามประลอง ซึ่งก็คือผู้สืบทอดของ 36 สำนัก
 
เมื่อได้เห็นบรรยากาศอันยิ่งใหญ่ เหล่าผู้สืบทอดก็รู้สึกสลดอย่างมากในขณะที่พวกเขามีสีหน้าหดหู่ การต่อสู้ในครั้งนี้เกี่ยวพันถึงอันดับของสำนัก พวกเขาถูกพิจารณาให้แบกรับการต่อสู้เพื่ออนาคตของสำนักของพวกเขาและพวกเขาก็รู้สึกกดดันอย่างสุดขีด
 
ครู่ต่อมา ผู้สืบทอดของแต่ละสำนักก็ได้กลับไปที่แท่นสูงของสำนักตัวเองที่ถูกจัดไว้ตามอันดับและมองลงมาที่สังเวียนขนาดยักษ์ที่อยู่กลางสนามประลอง
 
เฉินเฉินเอนตัวพิงที่นั่งซึ่งเป็นของสำนักเทียนหยุนและวิเคราะห์ผู้สืบทอดคนอื่นๆ
 
ผู้สืบทอดบางคนนั้นดูสงบในขณะที่บางคนดูอยู่ไม่สุข อย่างเช่นโยวหลานชินของสำนักโยวฉุยที่มองมาทางเขาอย่างวิงวอนด้วยความหมดหนทางเป็นพักๆ
 
เนื่องจากเธออยู่ข้างนอก พี่ใหญ่ที่ไม่น่าไว้ใจของเธอจึงอาจจะเป็นแค่คนเดียวที่เธอสามารถพึ่งพาได้
 
“ไม่ต้องห่วง”
 
เฉินเฉินยิ้มแล้วส่งสัญญาณให้เป็นการตอบกลับ
 
เขาได้เห็นความจริงใจของโยวหลานชินในช่วงไม่กี่วันมานี้และแน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมกลับคำพูด
 
ในตอนที่โยวหลานชินเห็นสัญญาณของเฉินเฉิน เธอก็โล่งใจขึ้นมาเล็กน้อยและเริ่มมองผู้สืบทอดของสำนักอื่น
 
“ผู้สืบทอดของอีก 18 สำนัก โปรดขึ้นมาบนเวที!”
 
เสียงของผู้อาวุโสแก่นทองคำดังขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้ฟังดูนุ่มนวลกว่าเดิมมาก
 
เมื่อเทียบกับผู้สืบทอดของ 36 สำนักที่นั่งอยู่บนแท่นและมองลงมาจากด้านบน ฝั่งของ 18 สำนักนั้นไม่มีทางเลือกนอกจากนั่งข้างล่างและรวมตัวกันด้วยลักษณะที่ไม่สมเกียรติ
 
แต่ไม่ว่ายังไง กลิ่นอายของผู้สืบทอดทั้ง 18 สำนักนั้นก็เย็นยะเยือกเหมือนกับน้ำแข็งและสีหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่
 
ในขณะที่พวกเขาเดินมาด้วยกัน พวกเขาได้ปล่อยกลิ่นอายคุกคามตรงเข้าไปในดินแดนของ 36 สำนัก
 
ในขณะที่จ้องมอง
 
ในขณะที่จ้องมองผู้คนทั้ง 18 คนที่เดินผ่านไป เฉินเฉินก็ถามระบบ “นอกจากข้า ใครแข็งแกร่งที่สุดในรัศมี 30 เมตร?”
 
“คนชุดดำที่อยู่เฉียงไปทางซ้ายข้างใต้ท่าน 10 เมตร”
 
คำตอบของระบบนั้นสั้นและกระชับ
 
เฉินเฉินมองไปตามคำชี้แนะของระบบและเห็นคนชุดดำอยู่ที่ท้ายสุดของกลุ่ม
 
และนี่ก็ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย
 
เหตุผลก็เพราะว่าคนๆนั้นอยู่แค่ขั้นสุดท้ายของสร้างรากฐานเท่านั้น และไม่ได้อยู่อันดับสูงในกลุ่มยอดฝีมือด้วย เขาน่าจะมีระดับพอๆกับโยวหลานชิน
 
อย่างไรก็ตาม ระบบคงไม่โกหก ดังนั้นคงอธิบายได้แค่ว่าคนๆนั้นซ่อนความแข็งแกร่งของตัวเองเอาไว้
 
ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ปกปิดความสามารถเอาไว้ไม่ใช่น้อย!
 
ความแข็งแกร่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถตัดสินได้ง่ายๆ มันเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัยที่รวมทั้งอุปกรณ์ ระดับการฝึกตน ประสบการณ์ต่อสู้ และปัจจัยอื่นๆ
 
อย่างไรก็ตาม ระบบไม่ได้พูดถึงมัน พูดอีกนัยนึงก็คือ คนๆนั้นแข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน และแม้กระทั่งฉีปู่ฝานที่อยู่อันดับหนึ่งจาก 18 ก็ไม่สามารถเทียบเคียงกับเขาได้
 
นี่มันช่างน่าสนใจจริงๆ
 
ฉีปู่ฝานอยู่อันดับสามในกลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์ และก้าวข้ามเย่หวู่เชิงไปแล้ว ดังนั้นเขาแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้มีความผิดพลาดบางอย่างในการจัดอันดับยอดฝีมือ เขาก็คงจะสูสีกับเย่หวู่เชิงอย่างแน่นอน หรือไม่ก็ด้อยกว่าแค่เล็กน้อย
 
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ยังถูกคนชุดดำเอาชนะได้ สรุปแล้วความแข็งแกร่งของชายชุดดำคนนี้คืออะไรกันแน่นะ?
 
ก่อนที่เฉินเฉินจะคิดเกี่ยวกับมัน ผู้สืบทอดชุดดำก็หันหลังมามองทางเฉินเฉินก่อนที่จะหันกลับไปอีกครั้ง
 
เฉินเฉินเห็นแค่หน้าตาที่ดูธรรมดามากๆ แต่เขาไม่ได้ลดการป้องกันลงเลย สีหน้าของเขานั้นดูจริงจังและดูเคร่งขรึมมากขึ้นแทน
 
“คนๆนี้เฉียบแหลมแต่ทำไมเขาถึงปกปิดความแข็งแกร่งเอาไว้นะ?”
 
เฉินเฉินเต็มไปด้วยความสับสน
 
น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รวมตัวเองไปด้วยในตอนที่ใช้ระบบกับกลุ่มคนที่อยู่ห่างจากเขาไป 30 เมตร ไม่อย่างนั้น เฉินเฉินก็คงจะรู้แล้วว่าเขาแข็งแกร่งกว่าผู้สืบทอดที่ว่านี้รึเปล่า
 
“พวกเจ้าทุกคนมีอะไรจะพูดก่อนเริ่มการต่อสู้จัดอันดับของ 36 สำนักรึเปล่า?”
 
หลังจากที่ผู้สืบทอดของ 18 สำนักนั่งประจำที่แล้ว ผู้อาวุโสแก่นทองคำที่อยู่ตรงกลางสนามประลองก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
 
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบในตอนที่ได้ยินคำพูดของเขา
 
‘มีอะไรต้องพูดอีกหล่ะ? พวกเขาก็แค่จะแสดงความสามารถของพวกเขาออกมาหลังจากนี้’
 
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เองเฉินเฉินก็พูดขึ้นมาอย่างกระทันหัน
 
“ข้ามีเรื่องบางอย่างจะพูด!”
 
หลังจากที่เขาพูดแบบนั้น ผู้สืบทอดทุกคนก็หันไปมองเขา
 
“สำนักโยวฉุยและสำนักเทียนหยุนเป็นพันธมิตรกัน ใครก็ตามที่กล้าท้าประลองกับสำนักโยวฉุยควรพิจารณาถึงผลที่จะตามมาเอาไว้ด้วย!”
 
“มีแค่นี้แหล่ะ เชิญพวกเจ้าพูดกันต่อได้”
 
หลังจากที่พูดออกไปแบบนั้น  เฉินเฉินก็กลับมานั่งพิงเก้าอี้อีกครั้ง เขาหลับตาและไม่สนใจสายตาแปลกๆทั้งหลายที่จ้องมาทางเขา
 
ในตอนนี้ ผู้สืบทอดกว่า 50 คนได้จ้องมาทางเฉินเฉินที่อยู่บนแท่น
 
แม้ว่าพวกเขาจะแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน แต่ก็ไม่มีใครที่กล้าท้าทายเท่าเฉินเฉิน!
 
‘ผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนทำแบบนี้หมายความว่ายังไงกันแน่?’
 
‘นี่เขากำลังขู่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ใช่ไหม?’
 
‘เขาอยู่อันดับเจ็ดในกลุ่มยอดฝีมือ เขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหนนะ?’
 
มีแค่โยวหลานชินที่มองเฉินเฉินด้วยความชื่นชม เธอคิดว่าเฉินเฉินจะปกป้องเธอ แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะทำอะไรที่มันโจ่งแจ้งขนาดนี้!
 
แม้ว่าวิธีการของเขาจะเถรตรง แต่เธอก็ชอบมันมาก
 
ใครจะไปคิดหล่ะว่าพี่ใหญ่เฉินเฉินของเธอ ที่ใช้เวลาทุกวันอยู่ในหอโสเภณีจะเป็นคนที่เชื่อถือได้ขนาดนี้ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญเช่นนี้!?
 
“หึหึ เจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วสินะ? ถ้าอย่างนั้น เริ่มการต่อสู้จัดอันดับอย่างเป็นทางการได้”
 
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้อาวุโสแก่นทองคำก็ยิ้มเหมือนกัน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรอีก เขาก็ประกาศเริ่มการประลอง
 
ความตึงเครียดปะทุขึ้นในสนามประลองในทันที!
 
คนใหญ่คนโตที่อยู่รอบสนามประลองเองก็เงียบลงเหมือนกัน ทุกคนต่างก็สงสัยว่าใครจะสู้ในการประลองแรก
 
จาก 36 สำนักไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย ในขณะที่พวกเขาทุกคนนั่งอยู่บนแท่นสูงอย่างสงบสุข
 
ผู้สืบทอดของ 18 สำนักที่อยู่ด้านล่างกำลังกวาดตามองกลับไปกลับมาระหว่างแทนสูงต่างๆด้วยความเย็นชาในดวงตาของพวกเขา
 
ในตอนนี้เอง หนึ่งในพวกเขาก็ลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มคุกคาม
 
“ข้าจูตี่จากสำนักโฮ่วตู่ ขอท้าประลองกับโยวหลานชิน ผู้สืบทอดของสำนักโยวฉุย!”
 
ในทันทีที่เขาพูดออกมาแบบนั้น ทุกคนก็หันไปมองเฉินเฉิน
 
‘ผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนพึ่งจะเตือนไปแท้ๆก็มีคนมาท้าประลองกับเธอแล้วหรอ นี่กะไม่ไว้หน้ากันเลยสินะ!’
 
สีหน้าของโยวหลานชินหม่นหมองในขณะที่เธอหันไปมองเฉินเฉินอย่างเก้ ๆกังๆด้วยท่าทีใสซื่อ
 
เธอคิดว่าเธอคงไม่ต้องเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งแรกเนื่องจากเฉินเฉินได้ประกาศออกมาแบบนั้นแล้ว
 
เฉินเฉินไม่สนใจเธอและมองลงไปที่จูตี่ของสำนักโฮ่วตู่ ครู่ต่อมา เขาก็หัวเราะคิกคัก
 
เมื่อถูกเฉินเฉินจ้อง จูตี่ก็รู้สึกกลัวเล็กน้อยและเขาก็หันไปมองฉีปู่ฝาน
 
ฉีปู่ฝานจ้องเขาแล้วพูดอย่างเย็นชา “มีพวกเราอยู่เจ้าจะต้องกลัวอะไรอีก?”
 
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ จูตี่ก็เรียกความมั่นใจกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วกระโดดไปที่กลางสังเวียน และชี้นิ้วไปทางโยวหลานชิน
 
“ผู้สืบทอดของสำนักโยวฉุย ลงมาซะ ข้าไม่ชินกับการเงยหน้ามองคนอื่นซักเท่าไหร่!”
 
โยวหลานชินยืนอยู่บนแท่นด้วยความฟุ้งซ่าน
 
“พี่ใหญ่ ข้าควรทำยังไงดี?”
 
แม้ว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอด แต่เธอก็ยังเห็นโลกมาไม่มากนัก ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้เลย
 
“ไปเถอะ ถ้าเจ้าเอาชนะไม่ได้ก็ยอมแพ้ซะ แค่อย่าทำให้ตัวเองเจ็บตัวก็พอ”
 
หลังจากให้คำแนะนำ เฉินเฉินก็ยังคงนิ่งสงบ อย่างไรก็ตาม ความดุดันได้สะท้อนผ่านดวงตาของเขา

I Can Track Everything ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง

I Can Track Everything ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง

Type: Author:
โดย เรื่อง ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything “นักเดินทาง ระบบของท่านได้มาถึงแล้ว ยินดีด้วยสำหรับการได้รับระบบการตรวจสอบที่ทรงอำนาจ!” เฉินเฉินที่กำลังนั่งเบื่อหน่ายอยู่ตรงทางเข้าของหมู่บ้านหิน เพียงแค่เขากำลังรู้สึกหดหู่ เสียงก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา เมื่อได้ยินเสียงนี้ เฉินเฉินรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาก เขากระโดดขึ้นจากก้อนหินที่อยู่เบื้องหน้าหมู่บ้านทันที “ระบบ? พึ่งจะเพิ่มเข้ามาช้าขนาดนี้เนี่ยนะ?” “ระบบตรวจสอบในปัจจุบันคือระดับหนึ่งค่ะ เจ้าของสามารถที่จะตรวจจับทุกสิ่งทุกอย่างได้ในระยะสิบเมตร!” เมื่อเสียงในหัวของเขาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉินเฉินรู้สึกตื้นตันจนร้องไห้ออกมาได้เลย ด้วยเหตุนี้นี่เอง ประวัติศาสตร์ที่เขาเรียนรู้มาตอนมหาลัยมันไร้ประโยชน์และเขายังไม่สามารถกลายเป็นคนดังโดยการเขียนบทกลอนได้อีก เขาไม่ได้เก่งวิชาฟิสิกส์และเคมีสักเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถที่จะคิดค้นหรือประดิษฐ์เทคโนโลยีได้ มีสิ่งเดียวที่เขาทำแล้วมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนอื่น อย่างเอ้อหยาที่อยู่ใกล้บ้านเขา นั่นคือการที่เขาทำสมุดบัญชีขึ้นมา แต่ไม่คาดคิดเลย วันนี้….ระบบมันก็ได้มาถึงแล้ว! เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องตรวจสอบหรืออะไรสักอย่าง ตราบเท่าที่มันเป็นระบบ มันก็คงเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน เขาไม่ได้ทำอะไรมากว่าสิบปี แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่ามันจะเป็นระบบอะไร ขอแค่มันเป็นระบบก็พอ! การเป็นคนมันจะต้องเป็นคนกตัญญู ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่มีระบบ! ‘อะไรก็ตามในระยะสิบเมตร….มันมีข้อจำกัดจำนวนในการใช้ไหม?’ เฉินเฉินถามขึ้นในหัวตัวเอง “มันไม่มีข้อจำกัดในการใช้ค่ะ ระบบจะแจ้งภารกิจลับให้กับเจ้าของ เพื่อการอัพเกรดความสำเร็จลับ รวมทั้งยังให้รางวัลกับเจ้าของเป็นครั้งคราวด้วยค่ะ ดังนั้นได้โปรดขยันขันแข็งด้วยค่ะ!” หลังจากนั้นเสียงได้จางหายไปจากในหัวของเขา เฉินเฉินนั่งคิดอยู่เป็นเวลานาน เขามองออกไปยังทางเข้าหมู่บ้านที่โดดเดี่ยวนั่น แล้วรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย ชาวบ้านทั้งหมดของหมู่บ้านหินต่างเป็นชาวนากันทั้งหมด ทุกคนต่างยากจน ดังนั้นเขาจะตรวจสอบอะไรได้กัน? ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านเหมือนจะมีเพชรนิลจิลดาที่มีราคาอยู่ แต่เขาจะต้องไปขโมยมัน หลังจากที่เขาตรวจพบงั้นเหรอ? เขาคงจะโดนกระทืบจนตาย ถ้าเขาทำมันอย่างแน่นอน แต่เขาไม่ได้รีบร้อนอะไร ตั้งแต่ที่มันเป็นระบบ มันก็มีความหมายในตัวของมันเอง เขาจะพัฒนาตัวเองอย่างเชื่องช้า เป้าหมายหลักของเขาในตอนนี้คือการกลับไปยังบ้านก่อน ดังนั้นเขาจะได้ไปลองใช้ระบบได้อย่างสบายใจ เมื่อเขาตัดสินใจได้แล้ว เฉินเฉินเดินกลับบ้าน ครอบครัวของเขาเป็นคนธรรมดาทั่วไปในหมู่บ้านหินและครอบครัวของเขาต่างเป็นชาวนากัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้จน ครอบครัวของเขาก็อบอุ่นมากและเป็นครอบครัวที่มีความสุข เมื่อเขากลับมายังบ้าน พ่อแม่ของเขายังคงทำไร่นาอยู่ด้านนอกและยังไม่ได้กลับบ้าน เขาพูดขึ้นมาในหัวตัวเอง ‘ตรวจเงินในบ้านสิ’ “อยู่ในลิ้นชักที่ห่างออกไป 3 เมตรค่ะ ภายในลิ้นชักมีเงินจำนวน 120 ตำลึงทองแดง” นี่คือสถานที่ที่ครอบครัวของเขาเก็บเงินไว้ เฉินเฉินรู้มันดี เพราะว่าพ่อแม่ของเขาไม่ได้ปิดบังอะไรกับเขาไว้ “ใต้เตียงที่อยู่ห่างออกไป 4 เมตร ยังมีอีกสี่สิบตำลึงทองแดงค่ะ” อะไรนะ?! เฉินเฉินไม่รู้เกี่ยวกับเงินนี้เลยสักนิด มันเป็นห้องนอนของพ่อแม่เขา ซึ่งอยู่ห่างออกไปสี่เมตร มันอาจจะเป็นเงินเก็บของพ่อของเขา เฉินเฉินคิดและสรุปได้ว่ามันน่าจะเป็นไปได้ ดังนั้นเขาจึงเดินไปที่ห้องด้านข้างและก้มมองลงใต้เตียง หลังจากคว้านดูสักพักหนึ่ง เขาพบกับกระเป๋าหนังเล็กที่มีเงินอยู่สี่สิบตำลึง ‘มีเงินอยู่ด้านในจริงด้วย’ เฉินเฉินคิดกับตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็เก็บกระเป๋าหนังกลับไปยังที่เดิม ระบบยังคงพูดอย่างต่อเนื่องขึ้นมาในหัวของเขา “ก้าวไปด้านหน้าห้าก้าวและขุดลงไปใต้ดินสิบเมตร มันมีเหรียญทองแดงขึ้นสนิมอยู่” เมื่อได้ยินการแจ้งเตือน เฉินเฉินรีบหยิบพลั่วมาขุดอย่างกระตือรือร้น มันไม่ได้ใช้เวลานานสักเท่าไหร่สำหรับการหาเหรียญทองแดงขึ้นสนิม หลังจากครุ่นคิดมาเป็นเวลานาน เขาจำได้ลางๆว่าเขาเคยทำเงินหายตอนยังเด็ก มันเป็นเงินที่เขาได้มาตอนปีใหม่ และเขาอารมณ์เสียที่เงินหายเป็นเวลานานเลย ‘ตั้งแต่ที่ฉันมีระบบนี่แล้ว บางทีฉันอาจจะไปยังมณฑลใกล้ๆ เพื่อไปเก็บเงินจากพื้นมาอาศัยอยู่ต่อ…’ เฉินเฉินอดที่จะคิดออกมาไม่ได้ แต่เขาแทบจะตบหน้าตัวเองทันที หลังจากที่มีความคิดแบบนี้โผล่ขึ้นมา เมื่อเป็นนักเดินทางย้อนเวลาที่มีระบบแบบนี้แล้วแท้ๆ ทำไมความคิดของเขาถึงน่าสมเพศขนาดนี้กัน? นี่มันเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากสำหรับนักเดินทางที่ย้อนเวลากลับมาแบบนี้! ในเวลาเดียวกัน เสียงก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา “รางวัลความสำเร็จ – เสร็จสมบูรณ์ : ใช้ระบบเป็นครั้งแรก รางวัลที่ได้รับ : โอกาสในการตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างภายในมณฑลเสฉวนหนึ่งครั้งค่ะ” เมื่อเขาได้ยิน เฉินเฉินอดที่จะคิดเรื่องเดินไปหาเงินต่ออีกครั้งไม่ได้ ทั่วทั้งมณฑลเสฉวนคงจะมีเงินจำนวนมากอย่างแน่นอน… “เฮ้อออ! ทำไมฉันถึงเอาแต่อยากจะไปเก็บเงินกัน? ฉันมาที่โลกเซียนแห่งนี้ แน่นอนละว่าฉันมาเพื่อที่จะบ่มเพาะตนกลายเป็นเซียน!” เฉินเฉินตัดสินใจได้และไม่ได้ใช้รางวัลนี้ในทันที ใครจะไปรู้กันว่าเขาจะได้โอกาสตรวจสอบพื้นที่ขนาดกว้างแบบนี้อีกครั้งกัน? มันเป็นรางวัลที่ยอดเยี่ยม เขาไม่ต้องการที่จะเสียมันไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขาจะรอจนกระทั่งเขาคุ้นเคยกับระบบ ก่อนที่จะตัดสินใจใช้มัน Traveling through the Xianxia world, Chen Chen got the strongest tracking system and was able to track everything ever since. Chen Chen, “System, I am short of money.” “Two meters away, your father has hidden some money under the bed. Five meters away, there is a rusty copper coin buried half a meter underground.” “There is a piece of silver in the grass ahead.” Chen Chen, “System, I need some luck.” “The sh*t in front of the pigsty is actually not ordinary.” “Go to Black Peak cliff twenty miles away to jump off the cliff.” “Somewhere hidden there is a fairy cave mansion. Please explore by yourself.”

Options

not work with dark mode
Reset