ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything – ตอนที่ 94: โอกาสในการรีดไถมาถึงแล้ว

ตอนนี้เฉินเฉินประหลาดใจเล็กน้อย
 
เขาไม่ได้ประหลาดใจที่ผู้สืบทอดสำนักอู๋ซินฉงเย่กำลังท้าประลองกับเย่หวู่เชิงแต่เขาประหลาดใจเกี่ยวกับหยวนฉิงเทียนแห่งสำนักวายุซ่อนเร้น
 
เขาคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดของ 18 สำนักที่ระบบตรวจจับได้ เขามีหน้าตาธรรมดาและสวมชุดฝึกสีดำ ที่ภายนอกเขาดูไม่ได้ต่างจากคนธรรมดาเลยและไม่ค่อยมีตัวตนด้วย
 
บทบาทของเขาใน 18 สำนักดูเหมือนจะช่วยเน้นย้ำตัวตนของเขา
 
เขาก็เป็นแค่เบี้ยตัวนึง
 
18 สำนักคงไม่ปล่อยให้ยอดฝีมือท้าประลองคนอื่นหรอก
 
ซึ่งมันเป็นเพราะคนที่อยู่อันดับหนึ่งนั้นไม่สามารถท้าประลองใครได้และทำได้แค่ถูกท้าเท่านั้น
 
แต่ว่าตั้งแต่แรกแล้วใครจะไปกล้าท้าอันดับหนึ่งหล่ะ?
 
พวกเขาต้องทำตามคำสั่งของสำนักอู๋ซินและถ้าพวกเขาถือวิสาสะท้าทายคนอื่น พวกเขาก็จะตกเป็นเป้าของฉงเย่
 
ดังนั้น หลังจากที่หยวนฉิงเทียนนั่งตำแหน่งที่หนึ่งที่เขาเลือก มันก็หมายความว่าเขาจะต้องนั่งอยู่ตรงนั้นไปอีกสองวัน เขาคงจะได้รับอนุญาตให้ลงมาหลังจากที่ฉงเย่จัดการกับคนอื่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว
 
‘นี่ก็หมายความว่าผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดใน 18 สำนักจะต้องนั่งเป็นมาสคอตโชว์ไปสองวันหรอ?’
 
‘เสียดายพรสวรรค์ชะมัด!’
 
เฉินเฉินงุนงงอย่างถึงที่สุดและเขาก็ไม่เข้าใจแผนการของสำนักอู๋ซินเลย
 
ในตอนนี้ เย่หวู่เชิงได้เดินไปที่สังเวียนแล้ว เนื่องจากความจริงที่ว่าเขาสวมชุดเกราะทั้งตัว ฝีเท้าของเขาจึงหนักหน่วงและเสียงที่เกิดขึ้นในทุกก้าวเดินก็ดูเหมือนกับกำลังกระทุ้งหัวใจของพวกเขาและทำให้พวกเขารู้สึกถูกกดดัน
 
ในอีกด้านนึง ฉงเย่ได้บินตรงไปที่กลางสังเวียน และดูมีท่าทีผ่อนคลาย
 
ในขณะที่มองฉงเย่ที่อยู่ไม่ไกลนัก หน้ากากเหล็กของเย่หวู่เชิงก็สั่นเล็กน้อย
 
“ข้ารู้ว่าข้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่สำนักพยัคฆ์ขาวจะไม่มีวันยอมแพ้ก่อนที่จะได้ต่อสู้”
 
“หึ”
 
ฉงเย่เย้ยหยันอย่างไร้อารมณ์
 
พวกเขาทั้งสองยืนอยู่ในสังเวียนและกำลังจ้องหน้ากัน ในจังหวะต่อมา ออร่าที่รุนแรงและเต็มไปด้วยจิตสังหารก็แผ่ออกมาจากร่างกายของเย่หวู่เชิงอย่างกระทันหัน
 
เมื่อสัมผัสได้ถึงออร่าจิตสังหารนี้ ผู้อาวุโสแก่นทองคำที่เป็นกรรมการก็ได้รับผลกระทบและถอยหลังไปสองก้าว
 
“นี่เจ้าตั้งใจจะใส่พลังทั้งหมดตั้งแต่เริ่มเลยรึไง?” ฉงเย่ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
 
เย่หวู่เชิงไม่ตอบ ชุดเกราะเต็มตัวของเขาสั่นไหวด้วยแสงจากพลังปราณ หลังจากนั้นเสือขาวตัวใหญ่ที่มีลำตัวยาวเกือบ 10 เมตรและสูงสี่เมตรก็ปรากฎขึ้นข้างหลังเขา
 
เงาเสือขาวตัวนี้คำรามแล้วทะยานขึ้นไปบนฟ้าในขณะที่แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นกระจายไปทุกทิศทาง
 
ผู้สืบทอดของ 36 สำนักที่กำลังนั่งอยู่บนแท่นสูง ต่างก็พากันหน้าซีดในตอนที่พวกเขาถูกครอบงำด้วยแรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นเพราะในความคิดของพวกเขา มันไม่ใช่เสือขาวแต่เป็นทะเลแห่งซากศพและเลือด!
 
คงมีแค่พระเจ้าที่รู้ว่าเย่หวู่เชิงฆ่าพวกสำนักปีศาจไปมากแค่ไหนจึงได้รับตำแหน่งที่สี่ในกลุ่มยอดฝีมือ!
 
“ฆ่า!”
 
เมื่อเห็นว่าเสือขาวก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เย่หวู่เชิงก็คำราม แล้วประเคนหมัดใส่ฉงเย่ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เงาเสือขาวตัวใหญ่ยักษ์ก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง!
 
ในตอนนี้ ฉงเย่กำลังหลับตาอยู่ เขาสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด และพึมพำอะไรบางอย่างที่ไม่ปะติดปะต่อกันใต้ลมจมูกของเขา
 
ในวินาทีต่อมา คลื่นความหนาวเย็นที่ดูมืดมนก็ปกคลุมทั้งสังเวียน และเงาเสือขาวก็สลายไปอย่างกระทันหันในขณะที่พลังปราณในหมัดของเย่หวู่เชิงหายไปในทันที
 
ก่อนที่ฝูงชนจะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ฉงเย่ก็ไปถึงตัวเย่หวู่เชิงแล้วด้วยความผิดหวังเล็กน้อยในดวงตาของเขา
 
“เย่หวู่เชิง หัวใจของเจ้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจและเจ้าก็ดูเหมือนถูกอะไรบางอย่างครอบงำอยู่ ถ้าขืนเจ้ายังเป็นแบบนี้ เจ้าก็ไม่มีวันเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้หรอก”
 
หลังจากที่พูดจบ ฉงเย่ก็กระแทกฝ่ามือใส่ร่างกายของเย่หวู่เชิง
 
ผัวะ!
 
ด้วยเสียงระเบิดดังสนั่น เย่หวู่เชิงก็กระเด็นออกไปเหมือนกระสุนปืนใหญ่และกระแทกเข้ากับรั้วของสนามประลองที่อยู่ไกลๆ
 
รั้วนั้นพังลงในทันทีและชุดเกราะของเย่หวู่เชิงก็ถูกย้อมด้วยสีแดงของเลือดอย่างรวดเร็ว
 
“ไม่ต้องห่วง เขาไม่ตายหรอก”
 
ฉงเย่พูดออกมาอย่างเรียบเฉยก่อนที่จะบินไปทางวัง
 
แน่นอนว่าเขาจะไม่นั่งที่ของเย่หวู่เชิง
 
การนั่งตรงนั้นก็เหมือนกับการเหยียดหยามเขา
 
หลังจากที่ฉงเย่ไปแล้ว สนามประลองก็ตกอยู่ในความเงียบ
 
เย่หวู่เชิงที่อยู่อันดับสามในกลุ่มยอดฝีมือพ่ายแพ้แล้ว นี่คือพลังของราชาองค์ใหม่แห่งรัฐจินที่อยู่อันดับหนึ่ง
 
ในสองวันกับอีกครึ่งวัน ฉงเย่สามารถท้าประลองได้อีกห้าคน ไม่รวมคนไม่สำคัญอย่างหยวนฉิงเทียน ยังมีคนอีกสี่คนจาก 36 สำนักที่ต้องสู้กับฉงเย่
 
แล้วสี่คนที่ว่านี้จะเป็นใครบ้างหล่ะ?
 
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจของผู้สืบทอดสิบอันดับแรกของ 36 สำนักก็ตกอยู่ในความหนักอึ้ง
 
“พี่ใหญ่เฉินเฉิน ความแข็งแกร่งที่พี่แสดงก่อนหน้านี้มันน่าประทับใจมากจริงๆค่ะ ข้าคิดว่าท่านจะต้องตกเป็นเป้าหมายของฉงเย่แน่ ๆเลย!”
 
โยวหลานชินพูดด้วยสีหน้ากังวล
 
“ก็คงจะใช่ ข้าจะไปทำอะไรได้หล่ะ? อย่างมากที่สุด ข้าก็แค่ได้รับบาดเจ็บหนัก และพวกเราก็จะกลับบ้านกันทั้งคู่” เฉินเฉินตอบอย่างไม่สนใจ
 
โยวหลานชินมองเย่หวู่เชิงที่โชกไปด้วยเลือดและพึมพำออกมาด้วยความกลัวในดวงตาของเธอ “อะไรกันคะ… นี่พี่ไม่กลัวความเจ็บปวดหรอ?”
 
เฉินเฉินพูดไม่ออกเล็กน้อย
 
‘เซียนหญิงคนนี้กลัวความเจ็บปวดหรอ?’
 
อย่างไรก็ตาม พอมาคิดดูดีๆ เขาก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างน่ากลัวเหมือนกัน
 

 
เมื่อเย่หวู่เชิงแพ้ไปแล้ว ขวัญกำลังใจของผู้สืบทอดก็เพิ่มขึ้น
 
หลังจากนั้นในทันที เซียนหญิงแห่งสำนักซวนปิ่งก็ท้าทายเซียวฮวง เซียนหญิงแห่งสำนักวิหคสีชาด เพื่อที่จะถอดถอนเธอออกจากตำแหน่งที่สี่
 
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้นั้นโหดร้ายและน่าเศร้าเป็นอย่างมากซึ่งจบลงที่ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บหนัก
 
ตอนนี้การต่อสู้จัดอันดับกำลังอยู่ในช่วงคูลดาวน์
 
หลังจากช่วงเช้าของวันแรก 15 จาก 36 สำนักได้ถูกแทนที่ด้วย 18 สำนัก
 
มีแค่ฉีปู่ฝานและหมากอีกสองคนที่ยังไม่ได้ลุย
 
ในช่วงบ่ายนั้น 36 สำนักเองก็เริ่มตอบโต้
 
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายการตอบโต้ของพวกเขาคือพวกที่อ่อนแอกว่าใน 36 สำนัก ซึ่งยอมศิโรราบให้สำนักอู๋ซินไปตั้งนานแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ไร้ความสามารถขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่มีใครท้าประลองพวกเขา
 
ดังนั้น ในช่วงบ่าย คนกลุ่มนี้จึงตกเป็นเป้าหมายให้อีกฝ่ายระบายความโกรธ แต่ว่าพวกเขานั้นรู้ถึงความสามารถตัวเองดีก็เลยยอมรับความพ่ายแพ้โดยที่ไม่ได้ต่อสู้ด้วยซ้ำ
 
เมื่อเห็นว่าดวงอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว ฉงเย่ก็ขึ้นสังเวียนอีกครั้งและท้าประลองกับหลินจิน ผู้สืบทอดสำนักมังกรมรกต
 
และก็เป็นอีกครั้งนึง เขาจัดการหลินจินได้ด้วยการโจมตีเดียวและทำให้เขาได้รับบาดเจ็บร้ายแรงก่อนที่จะจากไปโดยที่แทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย
 
จากนั้นการต่อสู้จัดอันดับในวันแรกก็จบลงไปทั้งแบบนี้
 
รายชื่อของ 36 สำนักดั้งเดิมของรัฐจินได้ถูกเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ และสิบอันดับแรกของรัฐจินก็ไม่มีใครรักษาตำแหน่งดั้งเดิมของพวกเขาเอาไว้ได้เลย
 
อย่างไรก็ตาม นั่นยังไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายที่สุด
 
เรื่องที่เลวร้ายที่สุดก็คือนอกจากฉงเย่แล้ว ผู้สืบทอดคนอื่นของ 10 อันดับแรกต่างก็ได้รับบาดเจ็บหนักกันหมดและไม่สามารถต่อสู้ได้อีก
 
ถ้าพวกเขาไม่พบวิธีการพิเศษ พวกเขาก็คงจะถูกตัดออกจาก 36 สำนักในที่สุด
 
เมื่อเทียบกันแล้ว เฉินเฉินและโยวหลานชินนั้นดูเหมือนจะกลายเป็นตัวเต็งที่สุดในกลุ่มสิบห้าอันดับแรกของสำนัก เพราะพวกเขาแค่สลับตำแหน่งกันและไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงเลย
 
“พี่ใหญ่เฉินเฉิน ข้าจะนวดหลังให้นะคะ!”
 
ในระหว่างทางกลับ โยวหลานชินทำดีกับเขาอย่างมากและเธอก็ไม่ต่างไปจากเด็กสาวธรรมดาคนนึง
 
“เห้อ ข้าไม่ได้พยายามจะวิจารณ์เจ้าหรอกนะแต่เจ้าขี้ขลาดเกินไปสำหรับเซียนหญิง ดูอย่างเซียวฮวงสิ เธออาจจะเจอวิชาที่แพ้ทางแต่เธอก็มีความกล้าที่จะสู้ และในท้ายที่สุด เธอก็จัดการเซียนหญิงของสำนักซวนปิ่งได้อย่างสาหัสด้วย”
 
เฉินเฉินเดินในขณะที่กำลังสั่งสอนโยวหลานชิน
 
“พี่ใหญ่เฉินเฉิน ก็ข้ายังมีท่านอยู่ไม่ใช่หรอคะ? ถ้าสถานการณ์บังคับให้ข้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ข้าเองก็กล้าที่จะต่อสู้จนตัวตายเหมือนกันค่ะ!” โยวหลานชินกำหมัดเล็กๆของเธอแน่นและสาบาน
 
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ เสียงตะโกนก็ดังมาจากข้างถนนไกลๆอย่างกระทันหัน
 
“ข้าจะจ่ายเพิ่มให้ 30% จากราคาเดิมขอซื้อสมบัติสวรรค์ด้วย!”
 
ในทันทีที่คนๆนั้นพูด อีกคนก็พูดขึ้นมาแบบเดียวกัน
 
“ข้าให้สองเท่าเลยสำหรับสมบัติสวรรค์ในการรักษา!”
 
“สี่เท่า!”
 

 
“ขอเพิ่มเป็นสิบเท่า!”
 
เฉินเฉินตกตะลึง
 
‘ซื้อสมบัติสวรรค์ในการรักษาด้วยราคาสิบเท่าหรอ… นี่พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายขนาดนั้นเลย?’
 
อย่างไรก็ตาม เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน
 
พวกที่กำลังแข่งราคากันอยู่น่าจะเป็นศิษย์ที่ติดตามผู้สืบทอดมาสินะ
 
พวกเขาจะไม่กังวลเกี่ยวกับการต่อสู้จัดอันดับได้ยังไงหล่ะ?
 
สมบัติสวรรค์ที่ช่วยเร่งการรักษานั้นไม่ใช่พืชพันธุ์ทั่วๆไปที่สามารถพบได้ทุกที่และเป็นของขาดแคลนในเมืองหลวง ถ้าถูกคนอื่นซื้อไป พวกเขาก็อาจจะตายและถูกเตะออกจาก 36 สำนักได้!
 
พวกเขาต้องซื้อสมบัติพวกนี้แม้ว่าจะต้องยอมหมดตัวก็ตาม!
 
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เฉินเฉินก็ตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย มันเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตสำหรับเขา!
 
หลังจากที่ลังเลอยู่ชั่วครู่ เฉินเฉินก็หยิบเห็ดหลินจือม่วงออกมาจากแหวนเก็บของของเขาแล้วส่งมันให้โยวหลานชิน
 
“เอาเจ้านี่ไปขายให้ข้าหน่อยสิ”
 
โยวหลานชินมองเห็ดหลินจือม่วงด้วยความรู้สึกเจ็บแสบ “พวกเรามีสมบัติสวรรค์ที่เอาไว้รักษาแทบจะไม่พออยู่แล้ว ท่านพี่ยอมขายมันให้คนอื่นได้ยังไงคะ?”
 
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เธอเห็นความมุ่งมั่นของเฉินเฉิน เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมทำตามและเดินไปหาคนกลุ่มนั้นพร้อมกับเห็ดหลินจือม่วง
 
“ข้ามีเห็ดหลินจือม่วงอยู่ชิ้นนึง ข้าไม่รู้ว่ามันมีอายุเท่าไหร่…”
 
ก่อนที่โยวหลานชินจะพูดจบ กลุ่มคนก็แห่กันมาล้อมเธอ!
 
“ข้าให้หินวิญญาณ 400 ก้อนเลย!”
 
“800 ก้อน!”
 
“1,000 ก้อน!”

I Can Track Everything ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง

I Can Track Everything ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง

Type: Author:
โดย เรื่อง ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything “นักเดินทาง ระบบของท่านได้มาถึงแล้ว ยินดีด้วยสำหรับการได้รับระบบการตรวจสอบที่ทรงอำนาจ!” เฉินเฉินที่กำลังนั่งเบื่อหน่ายอยู่ตรงทางเข้าของหมู่บ้านหิน เพียงแค่เขากำลังรู้สึกหดหู่ เสียงก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา เมื่อได้ยินเสียงนี้ เฉินเฉินรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาก เขากระโดดขึ้นจากก้อนหินที่อยู่เบื้องหน้าหมู่บ้านทันที “ระบบ? พึ่งจะเพิ่มเข้ามาช้าขนาดนี้เนี่ยนะ?” “ระบบตรวจสอบในปัจจุบันคือระดับหนึ่งค่ะ เจ้าของสามารถที่จะตรวจจับทุกสิ่งทุกอย่างได้ในระยะสิบเมตร!” เมื่อเสียงในหัวของเขาดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉินเฉินรู้สึกตื้นตันจนร้องไห้ออกมาได้เลย ด้วยเหตุนี้นี่เอง ประวัติศาสตร์ที่เขาเรียนรู้มาตอนมหาลัยมันไร้ประโยชน์และเขายังไม่สามารถกลายเป็นคนดังโดยการเขียนบทกลอนได้อีก เขาไม่ได้เก่งวิชาฟิสิกส์และเคมีสักเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถที่จะคิดค้นหรือประดิษฐ์เทคโนโลยีได้ มีสิ่งเดียวที่เขาทำแล้วมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนอื่น อย่างเอ้อหยาที่อยู่ใกล้บ้านเขา นั่นคือการที่เขาทำสมุดบัญชีขึ้นมา แต่ไม่คาดคิดเลย วันนี้….ระบบมันก็ได้มาถึงแล้ว! เขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องตรวจสอบหรืออะไรสักอย่าง ตราบเท่าที่มันเป็นระบบ มันก็คงเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน เขาไม่ได้ทำอะไรมากว่าสิบปี แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่ามันจะเป็นระบบอะไร ขอแค่มันเป็นระบบก็พอ! การเป็นคนมันจะต้องเป็นคนกตัญญู ยังไงมันก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่มีระบบ! ‘อะไรก็ตามในระยะสิบเมตร….มันมีข้อจำกัดจำนวนในการใช้ไหม?’ เฉินเฉินถามขึ้นในหัวตัวเอง “มันไม่มีข้อจำกัดในการใช้ค่ะ ระบบจะแจ้งภารกิจลับให้กับเจ้าของ เพื่อการอัพเกรดความสำเร็จลับ รวมทั้งยังให้รางวัลกับเจ้าของเป็นครั้งคราวด้วยค่ะ ดังนั้นได้โปรดขยันขันแข็งด้วยค่ะ!” หลังจากนั้นเสียงได้จางหายไปจากในหัวของเขา เฉินเฉินนั่งคิดอยู่เป็นเวลานาน เขามองออกไปยังทางเข้าหมู่บ้านที่โดดเดี่ยวนั่น แล้วรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย ชาวบ้านทั้งหมดของหมู่บ้านหินต่างเป็นชาวนากันทั้งหมด ทุกคนต่างยากจน ดังนั้นเขาจะตรวจสอบอะไรได้กัน? ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านเหมือนจะมีเพชรนิลจิลดาที่มีราคาอยู่ แต่เขาจะต้องไปขโมยมัน หลังจากที่เขาตรวจพบงั้นเหรอ? เขาคงจะโดนกระทืบจนตาย ถ้าเขาทำมันอย่างแน่นอน แต่เขาไม่ได้รีบร้อนอะไร ตั้งแต่ที่มันเป็นระบบ มันก็มีความหมายในตัวของมันเอง เขาจะพัฒนาตัวเองอย่างเชื่องช้า เป้าหมายหลักของเขาในตอนนี้คือการกลับไปยังบ้านก่อน ดังนั้นเขาจะได้ไปลองใช้ระบบได้อย่างสบายใจ เมื่อเขาตัดสินใจได้แล้ว เฉินเฉินเดินกลับบ้าน ครอบครัวของเขาเป็นคนธรรมดาทั่วไปในหมู่บ้านหินและครอบครัวของเขาต่างเป็นชาวนากัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้จน ครอบครัวของเขาก็อบอุ่นมากและเป็นครอบครัวที่มีความสุข เมื่อเขากลับมายังบ้าน พ่อแม่ของเขายังคงทำไร่นาอยู่ด้านนอกและยังไม่ได้กลับบ้าน เขาพูดขึ้นมาในหัวตัวเอง ‘ตรวจเงินในบ้านสิ’ “อยู่ในลิ้นชักที่ห่างออกไป 3 เมตรค่ะ ภายในลิ้นชักมีเงินจำนวน 120 ตำลึงทองแดง” นี่คือสถานที่ที่ครอบครัวของเขาเก็บเงินไว้ เฉินเฉินรู้มันดี เพราะว่าพ่อแม่ของเขาไม่ได้ปิดบังอะไรกับเขาไว้ “ใต้เตียงที่อยู่ห่างออกไป 4 เมตร ยังมีอีกสี่สิบตำลึงทองแดงค่ะ” อะไรนะ?! เฉินเฉินไม่รู้เกี่ยวกับเงินนี้เลยสักนิด มันเป็นห้องนอนของพ่อแม่เขา ซึ่งอยู่ห่างออกไปสี่เมตร มันอาจจะเป็นเงินเก็บของพ่อของเขา เฉินเฉินคิดและสรุปได้ว่ามันน่าจะเป็นไปได้ ดังนั้นเขาจึงเดินไปที่ห้องด้านข้างและก้มมองลงใต้เตียง หลังจากคว้านดูสักพักหนึ่ง เขาพบกับกระเป๋าหนังเล็กที่มีเงินอยู่สี่สิบตำลึง ‘มีเงินอยู่ด้านในจริงด้วย’ เฉินเฉินคิดกับตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็เก็บกระเป๋าหนังกลับไปยังที่เดิม ระบบยังคงพูดอย่างต่อเนื่องขึ้นมาในหัวของเขา “ก้าวไปด้านหน้าห้าก้าวและขุดลงไปใต้ดินสิบเมตร มันมีเหรียญทองแดงขึ้นสนิมอยู่” เมื่อได้ยินการแจ้งเตือน เฉินเฉินรีบหยิบพลั่วมาขุดอย่างกระตือรือร้น มันไม่ได้ใช้เวลานานสักเท่าไหร่สำหรับการหาเหรียญทองแดงขึ้นสนิม หลังจากครุ่นคิดมาเป็นเวลานาน เขาจำได้ลางๆว่าเขาเคยทำเงินหายตอนยังเด็ก มันเป็นเงินที่เขาได้มาตอนปีใหม่ และเขาอารมณ์เสียที่เงินหายเป็นเวลานานเลย ‘ตั้งแต่ที่ฉันมีระบบนี่แล้ว บางทีฉันอาจจะไปยังมณฑลใกล้ๆ เพื่อไปเก็บเงินจากพื้นมาอาศัยอยู่ต่อ…’ เฉินเฉินอดที่จะคิดออกมาไม่ได้ แต่เขาแทบจะตบหน้าตัวเองทันที หลังจากที่มีความคิดแบบนี้โผล่ขึ้นมา เมื่อเป็นนักเดินทางย้อนเวลาที่มีระบบแบบนี้แล้วแท้ๆ ทำไมความคิดของเขาถึงน่าสมเพศขนาดนี้กัน? นี่มันเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากสำหรับนักเดินทางที่ย้อนเวลากลับมาแบบนี้! ในเวลาเดียวกัน เสียงก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา “รางวัลความสำเร็จ – เสร็จสมบูรณ์ : ใช้ระบบเป็นครั้งแรก รางวัลที่ได้รับ : โอกาสในการตรวจสอบทุกสิ่งทุกอย่างภายในมณฑลเสฉวนหนึ่งครั้งค่ะ” เมื่อเขาได้ยิน เฉินเฉินอดที่จะคิดเรื่องเดินไปหาเงินต่ออีกครั้งไม่ได้ ทั่วทั้งมณฑลเสฉวนคงจะมีเงินจำนวนมากอย่างแน่นอน… “เฮ้อออ! ทำไมฉันถึงเอาแต่อยากจะไปเก็บเงินกัน? ฉันมาที่โลกเซียนแห่งนี้ แน่นอนละว่าฉันมาเพื่อที่จะบ่มเพาะตนกลายเป็นเซียน!” เฉินเฉินตัดสินใจได้และไม่ได้ใช้รางวัลนี้ในทันที ใครจะไปรู้กันว่าเขาจะได้โอกาสตรวจสอบพื้นที่ขนาดกว้างแบบนี้อีกครั้งกัน? มันเป็นรางวัลที่ยอดเยี่ยม เขาไม่ต้องการที่จะเสียมันไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขาจะรอจนกระทั่งเขาคุ้นเคยกับระบบ ก่อนที่จะตัดสินใจใช้มัน Traveling through the Xianxia world, Chen Chen got the strongest tracking system and was able to track everything ever since. Chen Chen, “System, I am short of money.” “Two meters away, your father has hidden some money under the bed. Five meters away, there is a rusty copper coin buried half a meter underground.” “There is a piece of silver in the grass ahead.” Chen Chen, “System, I need some luck.” “The sh*t in front of the pigsty is actually not ordinary.” “Go to Black Peak cliff twenty miles away to jump off the cliff.” “Somewhere hidden there is a fairy cave mansion. Please explore by yourself.”

Options

not work with dark mode
Reset