“อา!” ไป๋เจี่ยนจู๋มองดวงไฟสีฟ้าแหวกนภาไปอย่างตื่นเต้นยินดี ในใจดีใจอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ตกตะลึงอย่างรุนแรง เบิกตามองจินเฟยเหยาทะลุหัตถ์ซวีคงหลบหนีไปกลางอากาศ ส่วนศิษย์ด้านหลังท่านเซียนหยวนหยางสี่คนหยิบของวิเศษออกมาแล้วไล่ตามไปทันที
“ข้าจะไปดูหน่อย” ไป๋เจี่ยนจู๋มีสีหน้าไม่ชัดแจ้ง ทิ้งคำพูดไว้ให้บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องประโยคหนึ่ง ก็หยิบหมื่นลูกข่างออกมาไล่ตามไป จินเฟยเหยาเป็นเหยื่อของเขา หากจะสังหารก็ต้องให้เขาเป็นคนสังหาร ไม่อาจให้ตนเองเหลือเสียใจเอาไว้
มองไป๋เจี่ยนจู๋ไล่ตามไป เฟิงอวิ๋นจู๋ก็หันหน้ามามองโม่อวี่จู๋แล้วเอ่ยอย่างกังวล “ศิษย์พี่ใหญ่ เจ้านี่คงไม่ได้คิดจะไปช่วยสตรีผู้นั้นหรอกนะ”
“ศิษย์น้องไป๋ไม่ใช่คนเช่นนั้น เขารู้สภาพของพวกเราตอนนี้ดี น่าจะแค่ไปดู อีกอย่างเขาไม่ใช่คนลุ่มหลงนารี ไม่แตกคอกับโลกเซียวไท่เพราะสตรีคนเดียวหรอก สำนักสำคัญกว่าสตรี เขารู้ดี” โม่อวี่จู๋ส่ายศีรษะ ไม่ค่อยเชื่อว่าศิษย์น้องไป๋ที่ไม่สนใจสตรีมาตลอดจะทำเรื่องเช่นนี้
จินเฟยเหยาใช้เวทหนีไฟนรกหนีออกจากหัตถ์ซวีคง หลบหนีไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิตมาตลอดโดยไม่แยกแยะทิศทาง พลังวิญญาณกำลังแห้งขอด ทั้งหมดถูกเวทหนีไฟนรกกลืนกิน ขอเพียงใช้พลังวิญญาณหมด เวทหนีไฟนรกก็ต้องหยุดลง ตอนนี้นางไม่กล้าใช้พลังวิญญาณจนเกลี้ยง นอกจากควบคุมทิศทางการบิน ยามนี้จินเฟยเหยาไม่ทำอะไรทั้งสิ้น แค่รักษาพลังวิญญาณไม่ให้ขาดช่วงก็พอ
นางโยนยาเสริมพลังเม็ดหนึ่งเข้าปากอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบศิลาวิญญาณชั้นกลางก้อนหนึ่งออกมาวางในฝ่ามือ ดูดซับพลังวิญญาณบนนั้น ศิลาวิญญาณชั้นกลางก้อนนี้ได้มาจากไป๋เจี่ยนจู๋ ทั้งหมดมีเพียงห้าก้อน ต้องใช้อย่างประหยัดหน่อย
พลังวิญญาณที่ดูดซับจากศิลาวิญญาณชั้นกลางพอดีกับการใช้งานของไฟนรก ยาเสริมพลังยังเหลือมากมาย ทว่าศิลาวิญญาณชั้นกลางมีเพียงห้าก้อน ใช้หมดก็ไม่มีแล้ว จินเฟยเหยาไม่กล้าใช้เปะปะ เห็นพลังวิญญาณของศิลาวิญญาณชั้นกลางพอเหมาะพอดี ตอนนี้ยังมียาเสริมพลังอยู่ พลังวิญญาณที่เกินออกมาไม่อาจเพิ่มเข้าไป จะให้เสียเปล่าไม่ได้ นางจึงเก็บศิลาวิญญาณชั้นกลาง และคว้าศิลาวิญญาณชั้นล่างสองก้อนออกมาวางในมือ
ตามการคาดเดาของนาง ในเมื่อมียาเสริมพลังคอยเสริมพลังวิญญาณ ขณะเดียวกันก็ดูดซับศิลาวิญญาณชั้นล่างสองก้อน น่าจะใช้ได้เท่ากันพอดี ผู้ใดจะรู้ว่าพลังวิญญาณที่เสริมของศิลาวิญญาณชั้นล่างสองก้อนในมือจะด้อยกว่าศิลาวิญญาณชั้นกลางลิบลับ ไม่ถึงแม้แต่หนึ่งในสิบส่วน
“มิน่าเล่าจึงไม่มีใครใช้ศิลาวิญญาณชั้นกลางแลกเปลี่ยนกับศิลาวิญญาณชั้นล่าง คิดไม่ถึงว่าปริมาณพลังวิญญาณ.จะด้อยกว่ากันมากถึงปานนี้ ปกติยามฝึกบำเพ็ญไม่ได้ตระหนัก ตอนเสริมพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้จึงแสดงประสิทธิผลออกมา” ยามนี้จินเฟยเหยาจึงมีความรู้เรื่องศิลาวิญญาณชั้นกลางแบบก้าวกระโดด อย่างอื่นนางมีไม่มาก แต่กลับมีศิลาวิญญาณชั้นล่างกองเป็นภูเขา ในเมื่อสองก้อนไม่พอใช้ ข้าจะเอามาอีกสิบก้อน นางล้วงในกระเป๋าเก็บของ แต่ละมือคว้าศิลาวิญญาณชั้นล่างห้าก้อน ดูดซับพลังปราณในนั้นอย่างเต็มกำลัง
ปกติฝึกดูดซับพลังวิญญาณในศิลาวิญญาณ เพื่อให้ดูดซับได้อย่างสมบูรณ์ ล้วนต้องค่อยๆ ดูดทีละนิด ตอนนี้เพื่อเสริมพลิงวิญญาณล้วนๆ วางลงไปกำมือหนึ่ง ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ศิลาวิญญาณสิบก้อนก็กลายเป็นเถ้าธุลี
“ทำผิดไปหรือไม่ ปริมาณพลังวิญญาณของศิลาวิญญาณชั้นล่างมีเพียงแค่นี้เอง?” เถ้าธุลีกำมือหนึ่งทำให้จินเหยามองอย่างตะลึงงัน แค่หนึ่งเค่อก็ใช้ศิลาวิญญาณสิบก้อนหมดเกลี้ยง โชคดีที่นางมีทรัพย์สมบัติมาก ยามนี้หนีเอาชีวิตรอดสำคัญกว่า จึงรีบหยิบศิลาวิญญาณชั้นล่างออกมาอีกสิบก้อนอย่างรวดเร็ว เสริมพลังวิญญาณที่ใช้หมดไป นางมองไปด้านหลัง ศิษย์สี่คนของท่านเซียนหยวนหยางกำลังไล่ตามด้านหลังมาไม่ยอมเลิกรา ส่วนด้านหลังยังมีแสงสีเขียวคุ้นตาสายหนึ่งไล่ตามมาเช่นกัน
“เจ้าโง่ไป๋เจี่ยนจู๋ เป็นวิญญาณแค้นที่ไม่สลายหายไปจริงๆ ข้าเปลี่ยนโฉมหน้าเจ้าก็รู้ เจ้าไม่มีอะไรทำเลยจับตาดูข้าทั้งวันหรือ?” เห็นแสงสีเขียวสายนี้ จินเฟยเหยาก็มีโทสะอย่างยิ่ง นี่มันเวลาใดแล้ว ไป๋เจี่ยนจู๋ยังมาร่วมความครึกครื้นที่นี่อีก
ที่จินเฟยเหยาใช้คือเวทมนตร์หลบหนี แต่สิ่งที่คนทั้งห้าใช้ไล่ตามนางคือของวิเศษ ถึงแม้จะเห็นจินเฟยเหยาที่มีสีฟ้าด้านหน้า ถึงรวมไป๋เจี่ยนจู๋เข้าไปด้วยก็ไม่อาจย่นระยะห่างให้เข้ามาใกล้ได้ ทั้งยังมีสัญญาณว่าจะยืดระยะห่างออกไปอย่างช้าๆ ผู้บำเพ็ญเซียนที่เฝ้าอยู่รอบด้านตลอดเส้นทาง เห็นแค่แสงสีฟ้าบินผ่านเหนือศีรษะหรือด้านข้างไปอย่างรวดเร็ว พริบตาก็เห็นเพียงเงา จากนั้นก็จะมีคนห้าคนวาบผ่านไป ไม่ทันได้ถามอะไรทั้งสิ้น ก็หายไปไม่เหลือแม้แต่เงาเช่นเดียวกัน
ผู้บำเพ็ญเซียนสี่คนที่ไล่ตามเห็นจินเฟยเหยาหนีเร็วขึ้นทุกที ได้แต่ถ่ายทอดเสียงปรึกษาหารือกัน “ศิษย์พี่ ทำอย่างไรดี พวกเราไล่ตามนางไม่ทัน”
ที่นางใช้คือเวทหลบหนี ใช้พลังวิญญาณหมดคือปัญหาใหญ่ พวกเรากระตุ้นของวิเศษให้ถึงขีดจำกัดสูงสุด น่าจะตามได้ไม่พลัดหลง”
“พูดได้ถูกต้อง ต่อให้นางเสริมพลังวิญญาณได้ ก็มีเพียงยาเสริมพลังและศิลาวิญญาณ สิ่งของเหล่านี้มีจำกัด ต้องมีเวลาที่ใช้หมด”
“เอาแบบนี้ ข้าจะส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงให้ผู้บำเพ็ญเซียนที่อยู่ด้านหน้า ให้พวกเขาสกัดข้างหน้า ต่อให้ขัดขวางนางไม่ได้ ก็ทำให้ความเร็วของนางช้าลงได้”
“ได้ จัดการตามนี้ เพียงแต่คนของหอซวีชิงทางด้านหลังจะทำอย่างไรดี?”
“คนที่ทรยศโลกหนานซานเช่นนี้ คนโลกหนานซานไม่ชอบเขา ก็เกรงว่าเขากับสตรีผู้นี้จะเป็นคนรักเก่า จึงคิดลงมือช่วยเหลือ ขอเพียงเขาไม่ลงมือ พวกเราก็ไม่ต้องสนใจเขา”
“แบบนี้ไม่ดีนะ ถ้าเขาลอบโจมตีพวกเราจะทำอย่างไร ไล่ตามก็ต้องใช้พลังวิญญาณ เจ้าคนของหอซวีชิงกลุ่มนี้ร้ายกาจเป็นพิเศษ พวกเราต้องระวังไว้หน่อย”
“เช่นนั้นข้าจะถ่ายทอดเสียงไปถามถึงเจตนาของเขา ถ้าไล่ไปได้จะดีที่สุด”
คนทั้งสี่ทางด้านนี้หารือกันเสร็จ คนหนึ่งรับหน้าที่ส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงถึงผู้บำเพ็ญเซียนที่อยู่ด้านหน้า อีกคนก็ไปซักถามไป๋เจี่ยนจู๋ทันที
“สหายเซียนหอซวีชิงท่านนี้ เจ้าตามพวกเรามาตลอด ไม่ทราบว่ามีธุระใด? ถ้าคิดจะช่วยเหลือพวกเรา เช่นนั้นก็ขอขอบคุณล่วงหน้า แค่คู่ต่อสู้ขั้นสร้างฐานช่วงต้น พวกเราจัดการได้แน่” เห็นแก่ความสามารถของไป๋เจี่ยนจู่ เขายังเอ่ยถามก่อนอย่างเกรงอกเกรงใจ
ไป๋เจี่ยนจู๋คิดไม่ถึงว่าสี่คนนี้จะถ่ายทอดเสียงมาหาเขา คิดนิดหนึ่งจึงเอ่ยตอบว่า “ข้ากับคนผู้นี้มีบุญคุณความแค้นต่อกัน หากไม่สังหารนางก็มิอาจคลายโทสะ พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่ช่วยนางหรอก ข้ารู้จุดยืนของสำนักข้าดี จะไม่กระทบถึงเรื่องของพวกเจ้าหรอก รออีกเดี๋ยวไล่ตามนางทัน ข้าหวังว่าทุกท่านจะให้ข้าลงมือก่อน ข้าอยากสังหารนางด้วยตนเอง”
“เอ่อ…” ผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่คนนี้ ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ไป๋เจี่ยนจู๋พูดเป็นจริงหรือเท็จ จึงลังเลอยู่บ้าง
“อาศัยคำว่าสำนักประโยคเดียว พวกเราก็หันมาสังหารผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานได้ ถ้าตอนนี้ข้าไปช่วยผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซาน จะมีประโยชน์อันใดต่อข้า ตอนข้าไล่ตามออกมาก็มีหลายคนมองเห็น พวกเจ้ายังกังวลใจอะไรอีก” ไป๋เจี่ยนจู๋เอ่ยอย่างเย็นชา
คิดๆ ดูก็ใช่ คนของหอชิงซวีสังหารผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานจำนวนมากมาย ถ้าครั้งนี้สังหารแม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ ยืนอยู่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ จะมีประโยชน์อันใด ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นก็รับคำ แค่บอกว่าถ้าไป๋เจี่ยนจู๋จับตัวไม่ได้ พวกเขาจะลงมือเอง
ได้ยินคำพูดนี้ ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่เอ่ยตอบ กลับส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา
ทางนี้หารือเรื่องรับมือจินเฟยเหยา ด้านหน้าก็มีผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ขึ้นมาขัดขวาง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงปลายคนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า มือถือไม้บรรทัดหยกมังกร ยืนรับหน้าอย่างดุดัน รอจินเฟยเหยามาจะโจมตีนางสักที คิดจะใช้ไม้บรรทัดหยกมังกรในมือฟาดตบจินเฟยเหยาเหมือนตบแมลงวัน
เห็นด้านหน้ามีคนขัดขวาง สีหน้าจินเฟยเหยาก็เคร่งขรึม ใยสีดำในไฟนรกปรากฏขึ้นอีกครั้ง รวมตัวขึ้นใหม่ข้างหน้า ปริมาณการใช้พลังวิญญาณก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ศิลาวิญญาณชั้นล่างสิบก้อนในมือก็ใช้ปราณวิญญาณจนหมดในไม่กี่อึดใจกลายเป็นก้อนสีเทา จินเฟยเหยารีบนำศิลาวิญญาณชั้นล่างออกมาเปลี่ยนใหม่ อุดรอยรั่วนี้
นางไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย พุ่งเข้าปะทะกับผู้บำเพ็ญเซียนที่ขวางทางคนนั้น ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นคำรามลั่น ไม้บรรทัดหยกมังกรในมือขยายใหญ่ขึ้นหลายสิบเท่า ปราณวิญญาณพุ่งทะลัก แสงสีขาวบีบคั้นผู้คน ฟาดตบไปทางจินเฟยเหยา
“พุ่งสิ! ชนเขาให้ตาย” มือจินเฟยเหยากำศิลาวิญญาณ พุ่งขึ้นไปพลางตะโกนดังลั่น
ไม่รู้ว่าไม้บรรทัดหยกมังกรฟาดลงบนไฟนรกหรือไฟนรกพุ่งชนไม้บรรทัดหยกมังกร เห็นไม้บรรทัดหยกมังกรแช่แข็งอยู่ในผลึกน้ำแข็ง ถูกไฟนรกชนเบาๆ ก็แตกสลายเป็นชิ้นๆ ส่วนไฟนรกยังไม่หยุด พุ่งชนไม้บรรทัดหยกมังกรแล้วก็พุ่งมาถึงเบื้องหน้าร่างของผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้น ไม่มีแม้แต่เสียงร้องอุทานตกใจ ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นก็ถูกแช่แข็งเป็นผลึกน้ำแข็งและถูกจินเฟยเหยาพุ่งชนจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ในพริบตา ส่วนจินเฟยเหยาพุ่งตัวผ่านผลึกน้ำแข็งที่ส่องประกายจับใจคนไปอย่างรวดเร็ว หนีไปไกลโดยไม่ลดความเร็วลงเลยสักนิด
ผู้บำเพ็ญเซียนทางด้านหลังตกใจอย่างยิ่ง รีบไล่ตามไปอย่างเต็มที่ทันที คนหนึ่งในนั้นยังเกือบจะถูกผลึกน้ำแข็งก้อนหนึ่งกระแทกเข้า เขายื่นมือไปคว้าไว้ จึงพบว่านี่เป็นลูกนัยน์ตาของผู้บำเพ็ญเซียนที่ตายไปแล้วคนนั้นที่ยังห่อหุ้มอยู่ในผลึกน้ำแข็ง ยังมีชีวิตอยู่
“ถุย” เขาส่งเสียงถุยอย่างโชคร้ายยิ่ง รีบโยนดวงตาข้างนี้ทิ้งไป
การชนของจินเฟยเหยาครั้งนี้ ทั้งรวดเร็วและแม่นยำ ถ้ามีคนมากมายล้อมไว้ ต้องไม่มีคนรนหาที่ตายไปสกัดข้างหน้านางแน่ น่าเสียดายที่ผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ส่วนมากกระจายไปรอบด้าน หลังได้ยินยันต์ถ่ายทอดเสียงก็รีบเร่งรุดมา ไม่ได้เห็นนางชนผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งแตกเป็นเสี่ยงๆ ดังนั้นจึงมักจะมีผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ ยืนรอนางอยู่เบื้องหน้าด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม ชนตายไปคนแล้วคนเล่า จินเฟยเหยาใช้พลังวิญญาณไปอย่างรวดเร็ว
“มารดาไม่ชนพวกเจ้า หรือยังจะหลบหลีกไม่ได้!” จินเฟยเหยาด่าทออย่างโกรธเคือง ชนผู้บำเพ็ญเซียนแตกไปคนหนึ่ง ภายในห้าอึดใจใช้ศิลาวิญญาณไปสิบก้อน ต่อให้สิ่งที่นางมีคือศิลาวิญญาณ แต่ว่าการล้วงศิลาวิญญาณออกมาดูดพลังต้องใช้เวลาหนึ่งอึดใจ หนึ่งอึดใจนี้ต้องใช้พลังวิญญาณไปมากมาย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต้องมีเวลาที่เสริมพลังวิญญาณไม่ทัน และเวทหนีไฟนรกหยุดชะงักกลางคันแน่
นางกลับอยากให้เวลาดูดซับศิลาวิญญาณของมือสองข้างมีเกินมาหนึ่งอึดใจ ทว่าตอนนี้ดูดซับศิลาวิญญาณสิบก้อนพร้อมกัน และบวกกับยาเสริมพลัง ถึงเสริมพลังได้พอดีกับที่ใช้ไป จึงไม่กล้าเปลี่ยนง่ายๆ ส่วนศิลาวิญญาณชั้นกลางเหลือไว้ช่วยชีวิตเถอะ นางไม่กล้าใช้สะเปะสะปะ
เห็นเบื้องหน้ามีผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งมาสกัดข้างหน้าอีก จินเฟยเหยาก็ไม่พุ่งชน ทว่าบินอ้อมไปทางด้านข้าง การอ้อมนี้ทำให้ความเร็วลดลง ผู้บำเพ็ญเซียนที่ไล่ตามนางมาด้านหลังจึงฉวยโอกาสย่นระยะห่างเข้ามาเล็กน้อย
ตามจำนวนผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ที่มาขัดขวางมากขึ้น คนส่วนมากเข้าร่วมในขบวนไล่ตามนาง ยามนี้ด้านหลังจินเฟยเหยามีผู้บำเพ็ญเซียนหลายสิบคนไล่ตาม ของวิเศษบินได้นานาชนิดส่องแสงกระพริบ ทำให้ทั่วท้องนภางดงามสุดเปรียบปาน น่ามองอย่างยิ่งจริงๆ