คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 116 กระเพาะไร้ก้นบึ้ง

ข้าวสวยที่เหลือ ผัดผัก ปลานึ่ง และน้ำแกงที่ต้มจากพืชน้ำไม่ทราบชื่อ จินเฟยเหยามองกับข้าวสองอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง และข้าวสวยหนึ่งถ้วยบนโต๊ะเบื้องหน้า แล้วเงยหน้าขึ้นมองสองสามีภรรยาชรา สองสามีภรรยาชราเช็ดมือแบบมือไม้อ่อน มองนางอย่างระมัดระวัง หวังว่าอาหารหยาบๆ เหล่านี้จะไม่ทำให้ท่านเซียนมีโทสะเกินไป

“เฮ้อ…” จินเฟยเหยาถอนใจเบาๆ ชี้ข้าวสวยแล้วเอ่ยว่า”ที่นี่มีเพียงข้าวสวยชามเดียว?”

สองสามีภรรยาส่ายศีรษะ “ท่านเซียน ยังมีเหลืออีกหน่อย อยู่ในหม้อ”

“นำมาขึ้นโต๊ะทั้งหมด ข้าเห็นว่าผักและพืชน้ำของพวกเจ้ายังมีอีกหน่อย ยังมีปลาเค็มที่แขวนไว้เหล่านั้นเอามาต้มให้หมด ข้างนอกขายปลามิใช่หรือ เจ้าไปซื้อปลาของพวกเขามาให้หมด ไม่ว่าต้มหรือผัดก็ทำมาทั้งหมด เอาอย่างนี้ข้าจะให้ศิลาวิญญาณพวกเจ้าก่อน ไปซื้อพวกแป้งบะหมี่อะไรมาหน่อย ขอเพียงกินได้ก็ซื้อให้ข้าทั้งหมด เร็วหน่อยนะ” จินเฟยเหยาชี้ไปที่เรือหาปลาที่ท่าเรือพลางเอ่ย

จากนั้นนางก็เอียงกายไปถามเสี่ยวหมาง ว่าอาหารมื้อหนึ่งต้องจ่ายกี่ศิลาวิญญาณ เสี่ยวหมางถูกท่าทางห้าวหาญของนางทำให้ตกใจกลัว หลังจากตะลึงงันจึงเอ่ยว่า “อาหารเหล่านี้ราคาไม่เท่าไร กับข้าวสองอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่างราคาเพียงเจ็ดแปดเศษศิลาวิญญาณ”

“ถูกปานนี้เชียว ใกล้เคียงกับสถานที่ที่ข้าอยู่ก่อนหน้านี้” จินเฟยเหยานึกว่าที่นี่นั่งรถลากปลาต้องจ่ายห้าสิบศิลาวิญญาณชั้นล่าง เกรงว่าค่าใช้จ่ายในการกินข้าวมื้อหนึ่งคงแพง คิดไม่ถึงว่าจะใกล้เคียงกับราคาในโลกหนานซาน

เสี่ยวหมางหมดวาจาอยู่บ้าง อาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่คนธรรมดากิน อีกทั้ง แม้แต่คนธรรมดาที่มีเงินก็กินดีกว่านี้หลายสิบเท่า นี่คืออาหารที่บรรดาชาวประมงที่ยากจนที่สุดกิน ปลาหาได้ทั่วไป พืชน้ำลงไปเก็บในทะเลสาบมาก็พอ ผักสามารถปลูกหลังบ้านตนเองบนเกาะได้ สิ่งเดียวที่แพงคือข้าวสวย

จินเฟยเหยาคำนวณตามราคานี้ ศิลาวิญญาณชั้นล่างสิบก้อนสามารถกรอกพวกพั่งจื่อจนอิ่ม จินเฟยเหยาล้วงศิลาวิญญาณสิบก้อนโยนให้สามีภรรยาชรา สั่งให้พวกเขารีบไปทำอาหาร จากนั้นก็เห็นสองสามีภรรยาชราทำงานง่วนอย่างดีอกดีใจ

ภรรยารีบล้างวัตถุดิบที่พร้อมทำอาหาร ต้มข้าวที่เหลือ จากนั้นไปนำปลาเค็มที่ตากอยู่ข้างนอกลงมา ส่วนชายชรารีบวิ่งไปยังเรือหาปลาที่ท่าเรือ ซื้อปลาและกุ้งทั้งหมดบนเรือที่ยังไม่ได้ขาย

เอะอะอยู่ครู่หนึ่ง บนโต๊ะของจินเฟยเหยาก็เต็มไปด้วยจานใหญ่น้อย ตรงกลางยังมีอ่างทองแดงบรรจุปลาต้มพริก เห็นอาหารหนึ่งโต๊ะจัดวางเสร็จแล้ว การรับรู้ของจินเฟยเหยาก็เข้าไปเรียกในอ่างมายาจิ่งเทียน พั่งจื่อ ต้านิว และเนี่ยนซีพลันปรากฏตัวขึ้นในในร้านอาหาร

คนเหล่านี้เคยเห็นท่านเซียนทุกวัน ดังนั้นจึงไม่รู้สึกประหลาดใจกับการที่กบสองตัวและแม่นางน้อยผู้งดงามปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน เพียงแต่ตกตะลึงว่าท่านเซียนผู้นี้เลี้ยงสัตว์ภูติให้กินข้าว สำหรับเนี่ยนซีพวกเขาเพียงทอดถอนใจในความงามของนาง ไม่ได้คิดมาก

พั่งจื่อเกือบมีโทสะแทบตาย คิดไม่ถึงว่าจินเฟยเหยาที่อยู่ด้านนอกจะไม่บอกตนเองสักคำ สิ่งเดียวที่ทำให้มันพึงพอใจคือนางยังจำได้ว่าต้องให้พวกมันกินอาหาร ไม่ได้คิดจะให้พวกมันอดตายทั้งเป็น

เนี่ยนซีทนหิวไม่ได้มากที่สุด ยามนี้ไม่ร้องตะโกนว่าซีเอ๋อร์แล้ว รีบนั่งลงหน้าโต๊ะ คว้าตะเกียบคีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่ง แล้วกลืนกินเนื้อปลาลงไปโดยไม่ถ่มก้าง

พั่งจื่อก็ไม่สนใจจะมีโทสะ ยืนหน้าโต๊ะใช้ลิ้นตวัดอาหารบนโต๊ะไปอย่างรวดเร็วราวกับฝูงงูร่ายรำ ต้านิวสูญเสียความอ่อนโยนในยามปกติ อ้าปากกว้างกลืนกินอาหารเบื้องหน้าแม้แต่จานชามทั้งหมดเข้าปากราวกับพยัคฆ์ดุร้าย จากนั้นก็คายจานชามว่างเปล่ากลับคืนบนโต๊ะ

“เถ้าแก่ รีบเอาอาหารมาตั้ง มีเท่าไรก็ยกมาเท่านั้น ถ้าไม่ไหวจริงๆ ให้เรือประมงรีบไปซื้อที่อื่น ขอเพียงเป็นของกิน จะอะไรก็ได้ทั้งนั้น” อาหารหนึ่งโต๊ะ เพียงพริบตาก็หายไปจากบนโต๊ะครึ่งหนึ่ง จินเฟยเหยากระโดดออกไปหนึ่งจั้งกว่า พุ่งไปตะโกนบอกสามีภรรยาชราที่ถูกพวกพั่งจื่อกินจนทำให้ตกตะลึง

ยามนี้สามีภรรยาชราจึงได้สติคืนมา นี่เป็นลูกค้ารายใหญ่ กินอาหารมื้อนี้แล้วคงไม่ต้องทำงานไปทั้งปี ชายชราพลันมีความห้าวหาญพุ่งทะยาน วิ่งไปกระโดดขึ้นเรือเล็กที่เร็วที่สุดในจำนวนนั้นบนท่าเรือ ใช้เงินก้อนโตให้เขารีบไปเกาะที่ใกล้ที่สุด

ส่วนคู่ชีวิตของเขา ยามนี้ม้วนแขนเสื้อขึ้น ทั้งล้างทั้งผัดอย่างแคล่วคล่องว่องไว ทางนี้เพิ่งกินหมด นางก็ยกปลาต้มพริกที่ต้มแล้วขึ้นตั้งโต๊ะ จินเฟยเหยาเห็นอย่างชัดเจน นางตื่นเต้นจนลืมใส่เกลือ ส่วนพวกพั่งจื่อไหนเลยจะลิ้มรู้รสชาติ ถึงเป็นปลาต้มน้ำเปล่าก็กวาดจนเกลี้ยงราวกับลมพายุพัดเศษเมฆ

เสี่ยวหมางถูกฉากนี้ทำให้ตกใจแทบแย่ อดถอยออกมานอกร้านไม่ได้ นางหวาดกลัวอย่างยิ่ง กบสองตัวนี้หลังจากกินอาหารบนโต๊ะหมดแล้ว จะเห็นตนเองเป็นขนมกินจนเกลี้ยงหรือไม่

จินเฟยเหยาฉุดลากนางมาทางด้านข้าง ปล่อยให้พวกพั่งจื่อสามตัวกรอกท้องอยู่ในนั้น นางฉวยโอกาสนี้สอบถามเสี่ยวหมางเรื่องสภาพในเมืองวั่นเซียนสุ่ย เสี่ยวหมางเอียงศีรษะมองจอมตะกละสามตัวด้านในพลางตอบคำถามจินเฟยเหยา ทั้งสองคนหนึ่งถามหนึ่งตอบ ดูกลมเกลียวอยู่บ้าง

จินเฟยเหยาตั้งใจจดจำเรื่องที่นางพูด เมืองวั่นเซียนสุ่ยและเมืองลั่วเซียนแตกต่างกัน ที่นี่ไม่มีสำนักสาขาของสำนักเซียน ได้ยินว่าเมืองวั่นเซียนสุ่ยไม่อนุญาต ทว่ากลับมีตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมาก ตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนบางตระกูลอยู่ที่นี่มาเกินหนึ่งพันปีแล้ว ส่วนร้านค้าบนเกาะย่านการค้าเหล่านั้น แทบทั้งหมดล้วนเป็นร้านที่ตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนเปิดกิจการ ต่อให้ไม่ได้ไปเปิดร้านเอง พวกเขาก็เป็นคนสร้างร้านค้าขึ้น เพียงแต่ให้ผู้อื่นเช่า

เสี่ยวหมางทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ได้ดี บอกสถานที่ซึ่งผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นไปเป็นประจำแก่นาง ร้านก็ค่อนข้างยุติธรรม

ส่วนจินเฟยเหยาได้รู้เรื่องหนึ่ง มุกเข้าเมืองก็คือไข่มุกขนาดเท่าเล็บนิ้วมือที่เสี่ยวหมางแขวนไว้บนร่าง ของคนธรรมดามีขนาดเพียงเท่านี้ เป็นเพียงไข่มุกเล็กๆ ธรรมดาที่เพิ่มพลังวิญญาณทำเป็นตราประทับ ขอเพียงเป็นคนธรรมดาของเมืองวั่นเซียนสุ่ย ตั้งแต่สามขวบเป็นต้นมาก็จะสวมมุกแสดงฐานะชนิดนี้ไว้บนร่าง

ถ้าไม่มีมุกชนิดนี้ คนธรรมดาอาจจะเข้าเมืองไม่ได้ ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนก็ต้องสวมมุกชนิดนี้ เพียงแต่ไข่มุกของผู้บำเพ็ญเซียนไม่เหมือนกับของคนธรรมดา มีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย เป็นประเภทที่ล้ำค่ากว่ามาก ส่วนเสี่ยวหมางกลับนึกว่า จินเฟยเหยาไม่มีมุกเข้าเมืองแบบนี้เพราะนางเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ดังนั้นสามารถเลื่อนวันแล้วค่อยไปทำได้

ที่จริงเนื่องจากเกาะซ่างเซียนไม่ได้อยู่ริมเมืองวั่นเซียนสุ่ย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้ผู้บำเพ็ญเซียนทำมุกเข้าเมืองก่อนจึงเข้าเมืองได้ ทว่าให้เวลาแก่ผู้บำเพ็ญเซียนสามวัน หลังจากสามวันถ้ายังไม่ได้ทำมุกเข้าเมือง ต้องถูกการป้องกันใช้เสาน้ำโจมตีออกไปนอกการป้องกัน จากนั้นจำกัดเฉพาะเขาให้เข้ามาสามวันติดต่อกันไม่ได้

จินเฟยเหยาอดขมวดคิ้วคาดเดาไม่ได้ ถ้าพลังการบำเพ็ญเพียรยิ่งสูงมุกยิ่งเม็ดใหญ่ มุกของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่มิใหญ่เท่ากำปั้นหรือ ทั้งยังต้องแขวนไว้บนเอว มิน่าขำแทบตายหรือ

ระหว่างที่พูดคุยกัน ชายชราก็นั่งเรือกลับมาแล้ว ในเรือบรรทุกข้าวถุงใหญ่หลายถุง ยังมีปลา ผัก กองเต็มเรือน้อย เสี่ยวหมางรู้ว่าโดยรอบมีเพียงเกาะเซี่ยชีแห่งนี้ที่เป็นสถานที่ทำการค้าขาย เขาบรรทุกของกลับมาเร็วปานนี้ ต้องไม่ได้ไปซื้อมาจากเกาะที่ค้าขายแน่ เกรงว่าไปในหมู่บ้าน ซื้อกลับมาจากครอบครัวชาวประมง

ชายชรากระโดดลงจากเรือ เรียกให้ชาวประมงยกของเข้ามาในร้านอาหาร แล้วช่วยภรรยาลงมือทำอาหารทันที ทำอาหารได้ไม่เร็วเท่ากิน พั่งจื่อใช้มือผลักชายชราออก กลืนผักและข้าวสารดิบๆ ลงท้อง แม้แต่ปลาดิบก็ยังไม่ละเว้น ครั้งนี้สามีภรรยาชราได้สติคืนมา กบตัวนี้กินคนได้จริงๆ สินะ

พั่งจื่อกลืนสิ่งของเหล่านี้ลงท้องทั้งหมด แล้วค้นหาไปรอบด้านอีกรอบ ชาวประมงที่มุงดูตกใจจนค่อยๆ ถอยไปหมู่บ้านชาวประมง เกรงว่าเจ้านี่จะเริ่มกินคน

“เอาละ น่าจะอิ่มสองส่วนแล้วกระมัง รอเสร็จเรื่องแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าไปเหมาร้านอาหารขนาดใหญ่ ให้พวกเจ้ากินจนอิ่ม ถ้าเจ้ากินปลาทองสามตัวนี้ ข้าจะให้เจ้าลากรถแทน” เห็นพั่งจื่อยังค้นหาของกินไปทั่ว ทั้งยังเบนสายตาไปมองรถลากปลาทองของเสี่ยวหมาง จินเฟยเหยาก็เดินไปชกมันอย่างแรงหนึ่งหมัด

ได้ยินว่าอีกสักครู่ยังมีอาหารอีก พั่งจื่อจึงหยุดลง ส่วนต้านิวและเนี่ยนซีมองนางอย่างน่าสงสาร วุ่นวายอยู่นาน เจ้าสองตัวนี้ก็ยังกินไม่อิ่ม แผนการจะใช้ของราคาถูกยัดให้เจ้าพวกนี้อิ่มคว้าน้ำเหลว

มองพั่งจื่อทำเกาะเซี่ยชีจนเละเทะ จินเฟยเหยาก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง จึงเพิ่มให้สามีภรรยาชราอีกสิบศิลาวิญญาณ นางเกรงจะถูกคนเห็นว่ามั่งมีจะนำเคราะห์มาสู่สามีภรรยาชรา จึงแอบมอบให้ทั้งสองคน จากนั้นลากเนี่ยนซีขึ้นเรือปลาทอง ทั้งสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสบายอุรา

ส่วนพั่งจื่อและต้านิวก็คิดจะกระโดดขึ้นเรือปลาทอง ถูกเสี่ยวหมางรีบห้ามไว้ “ท่านเซียน สองท่านนี้ร่างกายใหญ่โตเกินไป เกรงว่าเรือจะรับน้ำหนักไม่ไหว จมลงทันที”

ไม่รู้ว่าพั่งจื่อและต้านิวคิดจะให้ร่างกายใหญ่ขึ้นเพื่อที่ท้องสามารถบรรจุอาหารได้มากขึ้นหรือไม่ จึงกลับคืนสู่ขนาดเดิมแต่แรก จินเฟยเหยาเบ้ปากด่าทอพวกมันสองตัว “ตัวโตขนาดนี้ทำไม ยังไม่รีบหดร่างให้เล็กอีก ไม่ดูเสียบ้างว่าเรือทั้งลำยังไม่พอรองรับก้นของพวกเจ้าสองตัวเลย ถ้าไม่หดตัวเล็กก็ห้ามขึ้นเรือ พวกเจ้าสองตัวว่ายในน้ำไปเถอะ”

หลังถูกจินเฟยเหยาด่าทอ กบสองตัวก็หดตัวเล็กลง ต้านิวเปลี่ยนเป็นมีขนาดสูงเพียงสองฝ่ามือ ส่วนพั่งจื่อสูงสามฉื่อกว่า มันหดตัวเล็กถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว จากนั้นพวกมันก็กระโดดลงบนรถลากปลาทองเบาๆ นั่งบนพรมอันงดงาม

“เสี่ยวหมาง ตอนนี้พวกเราไปเกาะซ่างเซียนเถอะ” จินเฟยเหยายิ้มให้เสี่ยวหมาง

เสี่ยวหมางถอนหายใจในใจ กระโดดขึ้นรถลากปลาทองให้ปลาทองไปยังเกาะซ่างเซียน ทว่าในขณะนี้เอง จินเฟยเหยาที่อยู่ด้านหลังนางก็เอ่ยถามอีกว่า “เสี่ยวหมาง ถ้าผ่านเกาะที่มีอาหารเลิศรสอะไร เจ้าก็หยุดหน่อยนะ”

“หา?” เสี่ยวหมางตกใจจนเกือบจะร่วงรถลากปลาทอง กินตั้งเยอะขนาดนี้ ทำไมยังจะกินอีก ถ้ากินแบบนี้ต่อไป เมื่อใดจะถึงเกาะซ่างเซียน

จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างเฉื่อยชา “พวกมันกินอิ่มแค่สองส่วน ถ้าพวกเราไม่หยุด ข้าขึ้นไปซื้ออาหารมาก็ได้ นั่งกินบนเกาะ สู้นั่งกินในเรือไม่ได้กินพลางเดินทางพลาง ก็ได้รสชาติไปอีกแบบ”

“ได้ ผ่านไปด้านหน้าอีกสามสิบกว่าเกาะ มีเกาะใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาหารเลิศรสแห่งหนึ่ง บนนั้นมีร้านอาหารและของกินเล่นนานาชนิด ต้องมีสิ่งที่ท่านเซียนชอบกินแน่” เสี่ยวหมางโล่งอก ไม่ใช่กินอาหารบนเกาะอีกก็พอ อยู่บนเกาะเซี่ยชีเกือบสองชั่วยาม รอจนถึงเกาะซ่างเซียน นางทำมุกเข้าเมืองเสร็จสิ้น ค่อยส่งนางไปเกาะที่เช่าอยู่อาศัย วันนี้เกรงว่ามารับลูกค้ารอบที่สองไม่ทันแล้ว

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset