คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 121 ความสัมพันธ์ของพวกเราสองคน

จินเฟยเหยาอยู่บนเกาะซ่างเซียนจนกระทั่งฟ้าสว่าง จึงเดินส่ายอาดๆ มาถึงท่าเรือ เรียกเรือปลาทองมาลำหนึ่ง ให้ไปส่งนางที่เกาะเสี่ยวสือ

คนที่ขับเรือลำนี้เป็นชายชรา ยุ่งวุ่นวายอยู่ทั้งคืน จิตใจอ่อนเพลียเป็นอย่างยิ่ง ส่งเสร็จก็เตรียมตัวกลับบ้าน เขาหาวเป็นบางครั้ง พลอยทำให้จินเฟยเหยาที่จิตใจปลอดโปร่งมาตลอดหาวตามไปหลายวัน

เกาะเสี่ยวสืออยู่ห่างไกล เรือปลาทองลากไปมาระหว่างแต่ละเกาะ ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว จินเฟยเหยาเพิ่งมาถึงเกาะเสี่ยวสือซึ่งเป็นเขตพื้นที่ของตนเอง นางจ่ายศิลาวิญญาณแล้วก้าวขึ้นเกาะเสี่ยวสือ

“คนหลอกลวง” จินเฟยเหยายืนอยู่บนเกาะเสี่ยวสือ ด่าทออย่างรุนแรง

ทิวทัศน์ของเกาะเสี่ยวสือไม่เหมือนกับที่เห็นในตึกซ่างเซียน บนเกาะโล้นเลี่ยน แม้แต่หญ้าสักต้นก็ยังไม่มี ในภาพเสมือนจริงตอนเลือกเกาะที่ตึกซ่างเซียน เห็นได้ชัดว่าเป็นสถานที่มีพุ่มไม้และต้นไม้เล็กน้อย โดยเฉพาะข้างทะเลสาบมีวัชพืชขึ้นเป็นจำนวนมาก

ทว่าตอนนี้ บนเกาะเสี่ยวสือนอกจากดินสีเหลืองก็ไม่มีอะไรสักอย่าง สระน้ำเต็มไปด้วยดินโคลนตั้งอยู่กลางเกาะ ไม่ทำให้คนคิดอยากจะชมทิวทัศน์ที่นี่เลยสักนิด ไม่มีทิวทัศน์อะไรทั้งสิ้น ต้องเอาตึกหลิงหลงออกมาตั้ง จินเฟยเหยาคิดจะซื้อของสิ่งนี้มาลอง เพียงแต่น่าเสียดายที่พื้นที่ในตึกซ่างเซียนไม่กว้างใหญ่พอ ทำให้นางทดลองใช้ตึกหลิงหลงไม่ได้ ตอนนี้มาถึงเขตพื้นที่ของตนเอง คิดจะวางที่ใดก็วางได้

จินเฟยเหยานำตึกหลิงหลงที่เป็นศาลาเล็กๆ ออกมาก่อน ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป ตึกหลิงหลงก็เหินขึ้นกลางอากาศ ขยายใหญ่ขึ้นหลายร้อยเท่า พริบตากลางอากาศก็ปรากฏศาลาอันงดงามหลังหนึ่ง นางปลดปล่อยการรับรู้เข้าไปในศาลา ควบคุมศาลาให้เคลื่อนไปยังสถานที่ซึ่งคิดจะวาง หลังเล็งตำแหน่งดีแล้ว นางก็ค่อยๆ จัดวางศาลาข้างทะเลสาบ ท่าเรือไม้เล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับศาลาสายนั้นก็ร่อนลงบนสระน้ำอย่างมั่นคงปลอดภัย

น้ำในสระอยู่ด้านล่างท่าเรือพอดี แนบกับท่าเรือ กลับไม่ได้ท่วมสะพานไม้ เพียงทำให้สระน้ำงดงาม ประโยชน์ของศาลานี้ก็ปรากฏออกมา

จัดวางศาลาเสร็จ จินเฟยเหยาก็ใช้วิธีเดียวกันอีก นำตึกเล็กๆ ออกมาจัดวางไม่ไกลจากศาลา เพิ่งจัดวางตึกเล็กๆ เสร็จ พวกพั่งจื่อก็พุ่งเข้าไปในตึก เลือกห้องที่ตนเองถูกใจ จินเฟยเหยาชี้ห้องเลี้ยงสัตว์ชั้นล่าง ให้พวกมันทยอยเข้าไป นี่จึงเป็นสถานที่ซึ่งสัตว์ภูติอาศัย ทว่ากลับทำให้สัตว์ภูติสามตัวกลอกตาอย่างเหยียดหยาม

คนสร้างตึกหลิงหลงใส่ใจเกินไปแล้ว ราวกับรู้ว่าการขายห้องว่างให้แก่ผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดาจนเกินไป ดังนั้นภายในตึกหลิงหลงที่ขยายใหญ่ มีเครื่องเรือนครบครัน แม้แต่หม้อ ชาม ตะเกียบ เครื่องนอน และผ้าม่านก็เตรียมไว้พร้อมสรรพ เปิดออกก็สามารถเข้าอยู่อาศัยได้ทันที นอกจากอาหาร ก็ไม่ต้องซื้อสิ่งของอื่นๆ เพิ่มอีก

โยนอาหารที่ซื้อบนเกาะซ่างเซียนไปไว้ในห้องครัว เรื่องทำอาหารมอบให้เป็นหน้าที่ของต้านิว ส่วนจินเฟยเหยาไปทำเรื่องที่สำคัญกว่านั้น

นางนำถุงเมล็ดพืชออกจากกำไล หลับตาสาดไปทั่วทั้งเกาะเสี่ยวสือ สาดพลางใช้เวทชักนำวารีดึงน้ำมารดบนพื้นดิน ทำให้ดินบนเกาะเสี่ยวสือทั้งหมดเป็นดินโคลน พั่งจื่อและต้านิวไม่ยอมออกมาเหยียบดินโคลน ทั้งหมดหลบอยู่ในห้องมองจินเฟยเหยาทรมานสังขาร

หว่านเมล็ดพืชเสร็จสิ้น น้ำก็รดพอแล้ว จินเฟยเหยาเริ่มโยนของอีกถุงหนึ่งออกมาบนพื้น นั่นเป็นปุ๋ยเหมือนตอนเลี้ยงแพะฉางหลิงในอดีตสามารถเร่งการเจริญเติบโตของพืชได้ ตามที่เจ้าของร้านแนะนำ ไม่เกินสามวันบนเกาะเสี่ยวสือจะเต็มไปด้วยหญ้าเขียวขจี

กางวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจ นอกจากท่าเรือบนเกาะ ทั้งเกาะถูกโอบล้อมด้วยการป้องกัน ปลอดภัยอย่างที่สุด แขวนป้ายหยกของซื่อเต้าจิงไว้พร้อมศิลาวิญญาณซื้อซื่อเต้าจิงสิบปีจำนวนสองร้อยสี่สิบฉบับใส่ไว้ในกระเป๋าเก็บของและแขวนป้ายหยกไว้ด้วยกัน เพียงแค่รอคนของซื่อเต้าจิงมานำไป

ใช้เวลาครึ่งวัน ก็ทำเรื่องพื้นฐานทั่วเกาะเสร็จเรียบร้อย ต่อมาจินเฟยเหยาต้องทำธุระแล้ว จินเฟยเหยามาถึงห้องหลอมยามิใช่เพื่อหลอมสร้างยา ทว่าเห็นที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในตึก นางคิดจะตรวจสอบไข่มุกที่มีอักษร ‘พาน’ เม็ดนั้นที่นี่

หลังจากได้ยินเรื่องของตระกูลพาน นางก็สงสัยมาตลอดว่ามุกเม็ดนี้เป็นสิ่งของที่ผู้บำเพ็ญเซียนตระกูลพานทิ้งไว้ อย่างไรก็ถือเป็นตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนอันดับต้นๆ สิ่งของที่ใช้น่าจะมิใช่ของธรรมดา ดังนั้นจึงคิดจะตรวจสอบดู เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องคาดไม่ถึงจนทำลายทั้งเกาะ นางจึงมาในห้องหลอมยาที่มีวงเวทป้องกันระเบิด

จินเฟยเหยานั่งขัดสมาธิในห้องหลอมยา ถ่ายเทพลังวิญญาณลงในมุกเม็ดนี้ มุกเริ่มเปล่งแสงตามพลังวิญญาณที่ถ่ายเทลงไป ลำแสงสายหนึ่งยิงขึ้นกลางอากาศ ด้านในปรากฏเงาร่างหนึ่ง เงาร่างคนยิ่งมายิ่งชัดเจน ผู้บำเพ็ญเซียนอายุสี่สิบกว่าคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าจินเฟยเหยา

เขามองไปรอบด้าน จากนั้นเอ่ยกับจินเฟยเหยาที่ตกตะลึงว่า “ที่นี่คือที่ใด แล้วเจ้าเป็นใคร”

จินเฟยเหยาไม่ได้ตอบคำถามเขาทว่ายื่นมือไปคลำผู้บำเพ็ญเซียนที่ลอยอยู่กลางอากาศ มือทะลุร่างของเขาไปตามที่คาด เป็นภาพเสมือนจริงๆ นี่คือคำสั่งเสียที่ผู้บำเพ็ญเซียนทิ้งไว้ก่อนตายสินะ

“เจ้าทำอะไร ไร้มารยาทเกินไปแล้ว” ภาพเสมือนของผู้บำเพ็ญเซียนพลันตวาดลั่น ทำให้นางตกอกตกใจ

“เจ้าไม่ใช่คำสั่งเสียก่อนตายหรือ?” จินเฟยเหยาถามอย่างสงสัย

ภาพเสมือนถอนใจยาว “นี่เป็นการรับรู้ที่ข้าทิ้งไว้ ถึงจะเป็นการฝากฝังสั่งเสีย ทว่าข้าก็ยังเป็นตัวจริง เจ้านึกว่าข้าไม่รู้อะไรเลยหรือ?”

จินเฟยเหยายิ้มแย้มเอ่ยว่า “ข้านึกว่าผู้อาวุโสเป็นเพียงความคิดตามคำสั่งเสีย คิดไม่ถึงว่าจะกลายมาจากการรับรู้”

ภาพเสมือนไม่ได้ต่อคำพูดของนาง กลับเอ่ยถามอีกว่า “ที่นี่คือสถานที่ใด?”

“ที่นี่คือเกาะเสี่ยวสือที่ข้าอาศัยอยู่ในเมืองวั่นเซียนสุ่ย ผู้อาวุโสมีธุระใด? มีคำสั่งเสียใดจะฝากฝัง” จินเฟยเหยามองออกแต่แรกว่าพลังการบำเพ็ญเพียรของภาพเสมือนนี้อย่างน้อยต้องเป็นชั้นหลอมรวม เพียงแต่ไม่เข้าใจ คนแบบนี้จะตายในปากสัตว์ยักษ์ภายในทางน้ำได้อย่างไร

จริงเสียด้วย ได้ยินคำพูดของจินเฟยเหยา ภาพเสมือนราวกับนึกได้ว่าตนเองตายอย่างไร จึงมีสีหน้าไม่ยินยอม เขายังมีธุระต้องจัดการจึงถามว่า “เจ้าหามุกเก็บการรับรู้เม็ดนี้พบได้อย่างไร ปีนี้เป็นปีใด?”

“ข้าพบมันในซากศพสัตว์ขนาดยักษ์ภายในทางน้ำแห่งหนึ่ง เห็นว่ามันมีปราณวิญญาณจึงนำกลับมา” เอ่ยจบนางก็ครุ่นคิด เอ่ยอย่างไม่แน่ใจ “เรื่องปี เมื่อวานข้าอ่านซื่อเต้าจิง ในนั้นเขียนไว้ว่าปีเทียนเหอจื่อ”

ภาพเสมือนเงียบงัน ผ่านไปนานจึงพึมพำกับตนเอง “หกร้อยปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าผ่านมาหกร้อยปีแล้ว”

หกร้อยปี? เจ้าหมอนี่ตายมานานจริงๆ ถ้าถามว่าเขาตายในซากสัตว์ยักษ์ได้อย่างไร เขาจะมีโทสะหรือไม่ จินเฟยเหยามองภาพเสมือนที่ทั้งส่ายศีรษะทั้งทอดถอนใจ ในใจอดสงสัยไม่ได้ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเช่นนางก็หนีออกมาได้สำเร็จ เขาที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นหลอมรวมจะตายได้อย่างไร

ภาพเสมือนราวกับไม่คิดจะถามว่าจินเฟยเหยาหนีออกมาได้อย่างไร บางทีอีกฝ่ายเป็นคนที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำกว่า เขาจึงไม่คิดจะหาความไม่พอใจให้ตนเอง จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เมืองวั่นเซียนสุ่ยมีตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนตระกูลหนึ่ง แซ่พาน เจ้ารู้หรือไม่ว่าสภาพในตอนนี้เป็นอย่างไร?”

“แซ่พานหรือ รู้สิ ได้ยินว่าหัวหน้าตระกูลคนก่อนตกต่ำ จึงเปลี่ยนหัวหน้าตระกูลคนใหม่ เมื่อวานข้าได้พบกับบุตรชายโทนของตระกูลพาน เผด็จการอย่างยิ่ง เลี้ยงอนุภรรยาไว้สิบกว่าคน เป็นคนที่พฤติกรรมเหมือนสุนัข” จินเฟยเหยาเอ่ยพลางหัวเราะหึหึ

ภาพเสมือนตกตะลึงอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนหัวหน้าตระกูลแล้ว หรือว่าคนสายตระกูลของเขาจะไม่ใช่หัวหน้าตระกูลอีก เขารีบถามต่อ “หัวหน้าตระกูลในตอนนี้เป็นสายตระกูลใด ชื่อว่าอะไร คนของสายตระกูลก่อนตอนนี้มีสภาพอย่างไรบ้าง?”

เห็นท่าทางร้อนใจของเขา จินเฟยเหยาก็ผงกศีรษะเอ่ยหนักแน่น “ไม่รู้”

“หา? เช่นนั้นเจ้าไปสอบถามดูหน่อย” ภาพเสมือนตะลึงงัน เอ่ยขึ้นอีกทันที

จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างไม่ยินยอม “ผู้อาวุโส ข้ายังต้องฝึกบำเพ็ญ ยังต้องหลอมยาอีก ยุ่งมากจริงๆ และข้าก็เพิ่งมาเมืองวั่นเซียนสุ่ย ไม่ค่อยรู้จักสถานที่ใดเลยสักนิด เรื่องส่วนตัวในตระกูลผู้อื่น ข้าจะไปสอบถามได้อย่างไร”

ภาพเสมือนเข้าใจ สตรีผู้นี้ต้องการผลประโยชน์ อย่างไรเสียเดิมทีเขาก็เป็นคนที่มีผลประโยชน์ให้คนที่พบมุกเก็บการรับรู้อยู่ จึงเอ่ยโดยไม่ลังเล “สหายเซียนน้อยเคยได้ยินชื่อศิลาน้ำแข็งหรือไม่?”

“ไม่เคยได้ยิน” จินเฟยเหยาตอบตามความสัตย์

ภาพเสมือนจนวาจา แม้แต่ศิลาน้ำแข็งก็ยังไม่รู้จัก ได้แต่เอ่ยอธิบายอีก “ศิลาน้ำแข็งคือน้ำที่หนาวเย็นนับหมื่นปีผนึกตัวเป็นผลึก ได้มายากเย็น เป็นวัสดุชั้นยอดในการหลอมสร้างอาวุธเวทแก่นชีวิต อาวุธเวทที่หลอมจากศิลานี้ สามารถเปลี่ยนร่างเป็นรูปลักษณ์ใดๆ ก็ได้ มากมายจนทำให้คนคิดไม่ถึง แค่ชิ้นเท่ากำปั้น สามารถประมูลได้ราคาสูงลิบลิ่วในการประมูล แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ขึ้นไปก็อยากครอบครอง”

ในที่สุดก็เอ่ยถึงประเด็นหลัก จินเฟยเหยามีกำลังใจขึ้นมา มองภาพเสมือนของผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ด้วยใบหน้าสงบนิ่ง มีเพียงยิ่งแสดงสีหน้าไม่ใส่ใจจึงสามารถตักตวงผลประโยชน์ได้มากขึ้น

“อ้อ มีค่าขนาดนั้นเลยหรือ?” จินเฟยเหยาแสดงสีหน้าไม่เห็นด้วย

เห็นนางไม่รู้จักของดี ภาพเสมือนก็มีโทสะแทบตาย ถ้าผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นได้ยินชื่อศิลาน้ำแข็ง คงสองตาเปล่งประกายไปนานแล้ว ไม่เกรงคนละโมบกลัวเพียงคนเห็นสมบัติเป็นก้อนหิน

ทว่าเพื่อเป้าหมายของตนเอง เขายังเอ่ยอย่างอดทน “ล้ำค่าอย่างยิ่งจริงๆ เจ้าสามารถลองสอบถามได้ ดูว่าข้าหลอกเจ้าหรือไม่ ตอนนั้นข้าได้มาชิ้นหนึ่งโดยบังเอิญ ถ้าเจ้าช่วยข้าตามหาทายาทของสายตระกูลคนโตแห่งตระกูลพานจนพบ อีกทั้งยังส่งข้าถึงมือพวกเขา ข้าจะมอบศิลาน้ำแข็งชิ้นนี้ให้แก่เจ้า”

“ขนาดใหญ่เพียงใด?” จินเฟยเหยากระพริบตา

ถ้ายามนี้เขาไม่ได้เหลือเพียงภาพเสมือนการรับรู้สายใยเดียว แต่เป็นร่างจริง เขาต้องลงมือฟาดตบจินเฟยเหยาให้ตายแน่ อยู่ใต้หลังคาบ้านผู้อื่น จำต้องยอมก้มศีรษะ เขาสะกดโทสะในใจเอาไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ขนาดเท่ากำปั้น”

“เล็กแค่นี้…” จินเฟยเหยาพึมพำเบาๆ

“เจ้าต้องการใหญ่สักเพียงใด ศิลาน้ำแข็งที่นำออกมาประมูลครั้งที่แล้วมีขนาดใหญ่เพียงนิ้วก้อย ก็ทำให้ทั้งงานประมูลแทบพลิกฟ้าคว่ำดินแล้ว ถ้าเจ้ายังไม่พอใจ อยากจะหาก็หา ไม่ยินดีไปก็ช่างเถอะ เดิมทียังมีสิ่งของอื่นๆ อีก ตอนนี้ข้าจะไม่ให้อะไรเจ้าสักอย่าง ทายาทตระกูลพานอะไรนั่น ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ตาย ไม่ถูกสิ ข้าก็ตายไปนานแล้ว ใครจะสนใจเรื่องพวกนี้” ภาพเสมือนเดือดดาลแล้ว คำรามใส่จินเฟยเหยา ร่างเริ่มพร่าพรายเตรียมกลับเข้าไปอยู่ในมุกเก็บการรับรู้

จินเฟยเหยาเห็นเช่นนี้รีบตะโกนเสียงดัง “ผู้อาวุโส ผู้เยาว์จะไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้ พวกเรามีความสัมพันธ์อะไรกัน จึงพูดจาทำร้ายความรู้สึกแบบนี้”

พวกเรามีความสัมพันธ์บ้าบออะไร ภาพเสมือนหยุดร่าง ด่าทอในใจอย่างรุนแรง

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset