คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 129 บ้านในน้ำ

พวกพานอี้สามคนแทบบ้าไปแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน นางไม่เอ่ยอะไรสักคำ ก็สังหารผู้บำเพ็ญเซียนสองคนทิ้งอย่างโหดเหี้ยม อีกฝ่ายยังไม่แสดงออกว่าคิดร้ายกับพวกเขาเลย คนผู้นี้นี่อย่างไรนะ หรือว่าไม่กลัวผลกรรมตามสนอง?

ทันใดนั้นทั้งสามคนก็ตระหนักได้ ถ้าเข้าถ้ำเซียนแล้วนางเกิดเจตนาสังหารขึ้นมาจะทำอย่างไร อย่างไรเสียก็ให้สิ่งของนางเพียงสองชิ้น ส่วนสิ่งของในถ้ำเซียนทั้งหมดมีมากมายกว่านั้น ต่อให้มีความคิดว่าไม่อยากให้นางไป แต่ถ้าไม่มีจินเฟยเหยาคอยลงแรง พวกเขาคงเปิดดวงตาวงเวทไม่ได้ อีกทั้งยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่พานอี้จำเป็นต้องให้นางเข้าไป

พานอี้มีสีหน้าน่าเกลียด เนื่องจากเขามีเหตุผลที่ต้องพาจินเฟยเหยาเข้าไป ส่วนพานจั๋วหวาและพานอี้อันหวาดกลัวไปโดยสิ้นเชิง คนที่สังหารคนโดยไม่พูดอะไรแบบนี้ อารมณ์เปลี่ยนแปลงได้ง่าย อันตรายเกินไปจริงๆ

บรรยากาศซึ่งเดิมทีไม่เลวนัก พานอี้ไม่พูดอะไร พวกพานจั๋วหวาสองคนยิ่งไม่กล้าเอ่ยวาจามองจินเฟยเหยาอยู่แบบนี้ไม่กล้าขยับตัว

“ทำไมพวกเจ้าถึงยืนนิ่งไม่ขยับล่ะ? รีบไปหาดวงตาวงเวทสิ” จินเฟยเหยามองพวกเขาสามคนอย่างสงสัย ไม่เข้าใจว่าพวกเขาสามคนตะลึงงันอะไร

“ใช่ ยังต้องหาดวงตาวงเวท ทุกคนรีบหน่อย” พานอี้ได้สติคืนมา ยามนี้ไม่ใช่เวลามาสับสนเรื่องนี้ ต่อมา พวกเขาก็ไปค้นหาดวงตาวงเวทที่พานหยวนเอ่ยถึงตรงกำแพงหินข้างทะเลสาบ

พานหยวนใช้การรับรู้มากเกินไป หลังจากบอกวิธีทำลายวงเวทและเรื่องสำคัญบางอย่างก็หดตัวอยู่ในการรับรู้ไม่กล้าออกมา ได้แต่ปล่อยพวกจินเฟยเหยาทำลายวงเวทให้สำเร็จเอง ช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้

“หาพบแล้ว อยู่ตรงนี้” ได้ยินพานอี้ร้องเสียงดัง ทุกคนรีบวิ่งไป นี่เป็นเพียงก้อนหินธรรมดาก้อนหนึ่งโผล่ออกมาจากบนกำแพงหิน ลักษณะเหมือนเต่านิดหน่อย

พานอี้ชี้เต่าตัวนั้นแล้วเอ่ยว่า “เต่าหินตัวนี้คือดวงตาวงเวท ขอเพียงพวกเราโจมตีทำลายหินก้อนนี้ได้ การป้องกันทั้งหมดก็จะเปิดออก ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะเห็นถ้ำเซียน”

“ก็ได้ เช่นนั้นพวกเราเริ่มลงมือเลย จะได้ไม่วิกาลยาวนานฝันยุ่งเหยิง[1]” จินเฟยเหยาม้วนแขนเสื้อขึ้น กำหมัดต่อยเต่าหินตัวนี้

นางเพียงคิดจะทดลองดูว่าเต่าตัวนี้ใช่ดวงตาวงเวทหรือไม่ ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้ไฟนรกอาศัยเพียงกำปั้นชกไป เต่าหินถูกนางชกอย่างแรง ทว่ากระทั่งเศษหินก็ไม่ร่วงลงมาสักชิ้น ไม่ใช่หินธรรมดาจริงๆ ด้วย

แต่หมัดของจินเฟยเหยากลับทำให้การป้องกันตนเองทำงาน น้ำทะเลด้านหลังพวกนางพลันปั่นป่วนขึ้นมา นางขมวดคิ้วถามว่า “พานอี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

“ข้าไม่รู้ บรรพชนเพียงบอกว่าให้พยายามโจมตีทำลายเต่าหินให้แตก เนื่องจากการป้องกันจะหาวิธีป้องกันตนเอง ลากถ่วงเวลานานไปจะไม่ดี” พานอี้มองน้ำทะเลที่ราวกับถูกลมงวงช้างกวาดม้วนขึ้น ไม่รู้ว่าจะปรากฏสิ่งใด

“จริงๆ เลย พวกเจ้าสามคนต้านทานการโจมตีไว้ ข้าจะจัดการกับเต่าหินตัวนี้เอง” จินเฟยเหยาไม่สนใจว่าน้ำทะเลเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร โยนให้พานอี้ปู่หลานสามคนจัดการ ส่วนตนเองตั้งใจต่อกรกับเต่าหินตัวนี้

ถ้าอาศัยแรงกำปั้นล้วนๆ ไม่อาจโจมตีทำลายมันได้ เช่นนั้นก็ต้องใช้กำลังของไฟนรก จินเฟยเหยาไม่พูดพร่ำทำเพลง จุดไฟนรกบนกำปั้นขึ้นแล้วต่อยเต่าหิน บนตัวเต่าหินมีเสียงดังเปรี๊ยะ ก้อนหินขนาดเท่าฝ่ามือร่วงลงมาชิ้นหนึ่ง ได้ผล ทว่ายามนี้พานอี้หันหน้ามาตะโกนเสียงดังว่า “บรรพชนผู้ล่วงลับบอกว่าต้องโจมตีเต่าหินทั้งหมดให้แตก การป้องกันจึงเปิดออกทั้งหมด”

“รู้แล้ว พวกเจ้าตั้งใจป้องกันไป” จินเฟยเหยาตอบรับคำหนึ่ง ร่ายรำสองหมัดต่อยไปที่เต่าหินตัวนี้ดังเพี๊ยะพะ เห็นเงาตกค้างสีฟ้าร่ายรำ เศษหินแตกกระเด็นออกมาอย่างต่อเนื่อง ปริมาณของเต่าหินค่อยๆ ลดลง

ส่วนพวกพานอี้ปู่หลานสามคนกลับพบปัญหาใหญ่ น้ำทะเลกลางเกาะเหล่านั้นหลังจากพุ่งขึ้นมาก็กลายร่างเป็นยักษ์สูงห้าหกจั้ง ยักษ์ยื่นมือมาสะบัดหนึ่งครา บอลน้ำขนาดใหญ่ลูกหนึ่งก็บดขยี้มาโจมตีคนทั้งสามซึ่งถือของวิเศษป้องกันจนล้มคว่ำ จากนั้นอ้าปากพ่นอีกครา บอลน้ำขนาดเท่ากำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนก็ลอยออกมาบดขยี้คนทั้งสามราวกับลูกดอก โจมตีจนพวกเขาต้องกุมศีรษะหลบหนีหัวซุกหัวซุน

ยังเป็นขิงแก่ที่เผ็ดร้อน ก่อนอื่นพานอี้เรียกอาวุธเวทแก่นชีวิตออกมา คือมุกขนาดเท่ากำปั้นที่เขาบอกว่าไม่สะดวกจะใช้เหาะเหิน ไม่ทราบว่าทำจากวัสดุอะไรนอกจากปราณวิญญาณเปี่ยมล้นแล้ว ก็ไม่เห็นมีความสามารถใด

สิ่งของแบบนี้นำออกมาเหาะเหินเล็กไปจริงๆ สุ่มหยิบกระบี่สั้นออกมาเล่มหนึ่งยังมีสถานที่ให้ยืนมากกว่ามันอีก

พานอี้ถือมุกอาคมทำให้มันลอยไปปะทะยักษ์น้ำทะเล ไม่มีเทคนิคเลยสักนิด ใช้แค่บินไปบินมาไปบดขยี้อย่างเดียว ที่น่าเสียดายคือมุกอาคมโจมตียักษ์ก็ทะลุร่างของมันไปเป็นรูขนาดใหญ่ ก็จะถูกน้ำทะเลเสริมจนเต็มอีกครั้งในพริบตา ทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์โดยแท้

พานจั๋วหวาและพานอี้อันยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง นอกจากใช้อาวุธเวทป้องกันตนเองแล้วก็ช่วยอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลย ขณะจินเฟยเหยาโจมตีเต่าหิน หันศีรษะแวะไปดูพวกเขาแวบหนึ่ง รู้สึกเหมือนตนเองพาเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งมา ช่วยอะไรไม่ได้เลยสักนิดเดียว

เดิมทีพั่งจื่อยืนอยู่ด้านข้าง เห็นจินเฟยเหยาฟาดตบเต่าหินตัวนั้นก็รู้สึกน่าสนุก จึงยื่นฝ่ามือไปฟาดตบเต่าหินตัวนั้นหลายครั้ง หลังจากฟาดตบจนเศษหินขนาดเท่าเล็บมือร่วงลงมาหลายชิ้น มันก็ไม่ทำอีก เดินไปดูพวกพานอี้สามคนสู้กับยักษ์น้ำทะเลทางด้านข้างแทน เห็นพวกเขาสามคนถูกกระทำจนเหมือนไก่ตกน้ำ มันก็รู้สึกว่าคนโง่ในโลกนี้ไร้ขีดจำกัด งี่เง่าจริงๆ

“สหายเซียนจิน เร็วหน่อย พวกเราใกล้จะยันไม่ไหวแล้ว…” บอลน้ำลูกใหญ่บดขยี้มาอีกครั้ง พานอี้ยังเอ่ยไม่จบก็ถูกน้ำทะเลสาดเปียกทั่วร่างทั้งยังกลืนไปหลายอึก

“เสร็จแล้ว!” จินเฟยเหยาคำรามลั่น รวบรวมไฟนรกสีดำไว้กลางหมัดแล้วบดขยี้ไปตรงก้นเต่าหินที่เหลืออยู่ เสียงดังตูม ยักษ์ในน้ำทะเลกลางเกาะพลันสูญเสียพลังวิญญาณ น้ำทะเลทั้งหมดกระแทกกลับลงไปตามก้นเต่าหินที่ถูกต่อยแตก น้ำปริมาณมหาศาลสาดกระเซ็นไปทางด้านข้างทำให้จินเฟยเหยาเปียกปอนจนเป็นไก่ตกน้ำ

พวกพานอี้สามคนเปียกปอนไปทั่วร่างนานแล้ว ถึงน้ำทะเลสาดมาอีกระลอกก็ไม่เป็นไร “เพ้ย ทำอะไรเนี่ย” จินเฟยเหยาปาดเช็ดน้ำทะเลบนใบหน้า ส่งเสียงด่าทอคำหนึ่ง

น้ำทะเลตรงกลางเกาะเริ่มหมุนวนราวกับด้านล่างมีบางอย่างกำลังดูดพวกมัน ขอบเขตยิ่งมายิ่งเล็กลง น้ำทะเลหายไปรวดเร็วขึ้นทุกที ครู่หนึ่งน้ำทะเลก็หายไปจนหมด เผยให้เห็นถ้ำเซียนที่จมอยู่ใต้น้ำทะเลมาตลอด

น้ำทะเลทั้งหมดถอยร่นออกไป น้ำทะเลตรงรอยแหว่งถูกสิ่งของโปร่งใสบางอย่างกั้นไว้ราวกับปาฏิหาริย์ มีเพียงด้านบนที่ยังมีน้ำทะเลไหลลงด้านล่างราวกับน้ำตกเล็กๆ

สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าพวกเขาคือพื้นหญ้าสีเขียวขจีราวกับพรม กระท่อมเล็กๆ หลังหนึ่งอยู่บนพื้นหญ้าใช้รั้วไม้ล้อมรอบ ส่วนน้ำทะเลที่ไหลลงมาก็ไหลไปตามพื้นหญ้าทว่าไม่ท่วมพื้นหญ้า

กลางบ้านมีเตาหลอมยาสูงหนึ่งคนกว่าใบหนึ่ง ถึงแม้ไม่มีไฟเผาทว่ายังรู้สึกได้ว่าเตาหลอมยานี้ยังร้อนอยู่ ส่วนสองฟากของเตาหลอมยามีมนุษย์ไม้สองตัวที่เต็มไปด้วยตะไคร่กำลังนั่งยองๆ กอดเข่าราวกับกำลังเฝ้าเตาหลอมยา

“ที่นี่แหละ นี่คือถ้ำเซียนของบรรพชนผู้ล่วงลับ” พานอี้ตื่นเต้นอย่างยิ่ง ภายในถ้ำเซียนยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่มีผู้ใดเคยเข้ามา

นอกจากจินเฟยเหยา ทั้งสามคนล้วนรู้สึกตื่นเต้นเดินไปข้างรั้วไม้พร้อมกัน เห็นประตูไม้เล็กๆ เบื้องหน้า พานอี้ก็บอกจินเฟยเหยาด้วยรอยยิ้มแฉ่ง “สหายเซียนจิน สองตัวด้านในน่าจะเป็นหุ่นไม้ที่บรรพชนผู้ล่วงลับเอ่ยถึง พวกเราจัดการคนละตัว กำจัดพวกมันทิ้งเสียก็สามารถได้สิ่งของด้านในแล้ว”

“ได้ เจ้าตัวซ้าย ข้าเลือกตัวขวา” จินเฟยเหยาพยักหน้า

พานอี้ผลักประตูสวนเดินเข้าไป จินเฟยเหยาติดตามอยู่ด้านหลัง พานจั๋วหวาสองพี่น้องที่ไร้ประโยชน์ และพั่งจื่อล้วนยืนอยู่ตรงประตูสวน รอให้พวกเขาจัดการหุ่นไม้ก่อนจึงค่อยเข้าไปในสวน

พวกเขาเพิ่งเหยียบย่างเข้าไปในสวน ก็เห็นหุ่นไม้ที่นั่งยองๆ อยู่นิ่งๆ พลันขยับเขยื้อน ยืนขึ้นอย่างแข็งทื่อ ตอนนั่งยองๆ สูงเพียงหนึ่งคนกว่า ความสูงขณะยืนขึ้นน่าดูชมจริงๆ สูงเกือบเท่าสามตัวคน หุ่นไม้ทั้งสองตัวไม่ได้ขยับมานานเกินไป พอเคลื่อนไหวขึ้นมาก็แข็งทื่อจนขยับแทบไม่ไหว ได้ยินเสียงกลไกติดขัดดังกึกๆ

“ลุยเลย” จินเฟยเหยาตะโกน แล้วพุ่งเข้าใส่หุ่นเชิดตัวด้านขวา เตะขามันหนึ่งครั้ง

“สหายเซียนจิน หุ่นเชิดเหล่านี้มีการป้องกันแข็งแกร่งยิ่งไม่เกรงกลัวอาคม” พานอี้เห็นนางพุ่งออกไป รีบตะโกนเตือนเสียงดัง

ทว่าเขาบอกช้าไป ได้ยินเสียงตุ้บ ขาของหุ่นเชิดถูกจินเฟยเหยาเตะลอยไปข้างหนึ่ง หุ่นเชิดสูญเสียการทรงตัว ยังไม่ทันลงมือก็กระแทกกับพื้น จากนั้นจินเฟยเหยาก็กระโดดขึ้นไปยกหมัดชกราวกับสายฟ้าแลบ

ขณะที่สิ้นเสียงพานอี้ หุ่นไม้ก็ถูกจัดการกลายเป็นเศษไม้กองหนึ่งจนไม่มีอันตรายแล้ว ส่วนจินเฟยเหยายืนอยู่บนเศษไม้ ได้ยินเขาพูดไม่ชัดจึงเอ่ยถามว่า “สหายเซียนพาน เมื่อครู่เจ้าตะโกนว่าอะไรนะ ข้าได้ยินไม่ชัด”

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ได้ยินไม่ชัดก็ช่างเถอะ” พานอี้ยังจะพูดอะไรได้ ผู้อื่นจัดการหุ่นไม้เสร็จในพริบตา ตนเองยังไม่ได้ลงมือกับหุ่นไม้เลย

เขาเรียกมุกอาคมออกมา ให้ลอยอยู่กลางอากาศกระแทกหุ่นไม้ จัดการคนเขาทำไม่ไหว ถ้าแม้แต่จัดการหุ่นไม้ยังมือไม้ปั่นป่วนอีก มิสู้หาเชือกสักเส้นผูกคอตายดีกว่า

จินเฟยเหยาจัดการหุ่นไม้เสร็จอย่างว่องไว ก็เอ่ยอย่างสงสัย “เหตุใดมาตรฐานของหุ่นไม้สองตัวนี้จึงย่ำแย่นัก ไม่เหมือนสิ่งเฝ้าบ้านของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่เลยสักนิด เหมือนเฝ้าบ้านให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณมากกว่า”

“พวกเราทำลายดวงตาวงเวทเข้ามา ถ้าบุกฝ่าอย่างหักโหม พลังการบำเพ็ญเพียรของหุ่นไม้เหล่านี้จะเทียบเท่าขั้นหลอมรวม พวกเราสองคนจะสังหารได้อย่างไร” พานอี้อธิบายนาง เพื่อไม่ให้นางนึกว่าตนเองมีความสามารถมาก

จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรเสียก็บุกฝ่าเข้ามาเหมือนกัน ข้าจะไม่ใช้หุ่นเชิดเฝ้าบ้านแบบนี้ ถ้าผู้อื่นหาดวงตาวงเวทพบ มิใช่ปล่อยให้คนเข้ามาตามใจชอบหรือ”

พานอี้คร้านจะพูดมากกับนาง ตอนนี้เขามีเรื่องสำคัญต้องจัดการ ไม่คิดจะก่อเรื่องกวนใจ เขาชี้ไปที่เตาหลอมยาพลางเอ่ย “สหายเซียนจิน ไม้เลี้ยงจิตอยู่ในนั้น พวกเราสามคนผลักฝาเตาหลอมยาเปิดออก แล้วเจ้านำสิ่งของด้านในออกมา”

“ข้ามีเรี่ยวแรงมากให้ข้าผลักเถอะ” งานใช้แรงแบบนี้ จินเฟยเหยาลำบากเพียงยกมือเท่านั้น คนที่แขนขาอ่อนแรงไม่เคยฝึกบำเพ็ญร่างกายอย่างเขาจะผลักไหวได้อย่างไร

พานอี้รีบเอ่ยว่า “เตาหลอมยาใบนี้ไม่ใช่สิ่งของธรรมดา ผลักให้ขยับเขยื้อนได้ยาก พวกเราสามคนช่วยกันผลักดีกว่า บรรพชนผู้ล่วงลับเคยอธิบายวิธีเปิดเตาหลอมยาแล้ว อย่างไรเสียพวกเราก็บังคับเปิดออกไม่ใช่เจ้านายของมัน”

ได้ยินคำพูดของเขามีเหตุผล จินเฟยเหยาก็พยักหน้ารับ “ก็ได้ พวกเจ้าผลัก ข้าไปเอาสิ่งของ”

………………………………………….

[1] วิกาลยาวนานฝันยุ่งเหยิง หมายถึง ยิ่งผ่านไปนานอุปสรรคก็ยิ่งมาก

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset