คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 130 ชิงอะไร

พวกพานอี้สามคนเดินไปถึงหน้าเตาหลอมยา พานจั๋วหวาสองพี่น้องทำตามที่พานอี้กำชับ วางมือไว้ตรงตำแหน่งนูนออกมาบนเตาหลอมยา ทว่าเตาหลอมยาสูงกว่า ทั้งสองคนที่บินไม่ได้จึงใช้กำลังไม่ได้ พวกเขาได้แต่ย้ายหินบางก้อนมาหนุนใต้เท้า ให้ยืนสูงกว่าเตาหลอมยานิดหน่อย

จากนั้นคนทั้งสามก็ออกแรงพร้อมกัน ค่อยๆ ถ่ายเทพลังวิญญาณลงบนฝาเตาหลอมยา ฝาเริ่มคลาย คนทั้งสามผลักเปิดฝาเตาหลอมยาอย่างช้าๆ

จินเฟยเหยายืนมองอยู่ด้านข้าง ไม่ได้เข้าไปทันที ใครจะรู้ว่าด้านในจะมีสัตว์ปิศาจบินออกมาหรือไม่

ฝาเตาหลอมยาถูกเปิดออกเป็นช่องตามเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง ในขณะนี้เองแสงสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเตาหลอมยาแหวกท้องนภาไป

“ยาวิญญาณหนีไปแล้ว” พานอี้ตะโกนเสียงดัง คาดว่าคงรู้แต่แรกว่าด้านในมียาวิญญาณ แต่คิดไม่ถึงว่าของสิ่งนี้มีปัญญาญาณ หลบหนีเองได้

พอจินเฟยเหยาได้ฟังก็เหินร่างขึ้น โยนขวดแก้วบรรจุยาสร้างฐานออกไป คิดจะใช้สิ่งนี้ขัดขวางยาที่มีปัญญาญาณเม็ดนี้ ทว่าในขณะนี้เอง ด้านข้างพลันปรากฏเงาตกค้างสายหนึ่งราวกับสายฟ้าแลบ ยาที่ลอยอยู่กลางนภาก็หายไป

ทุกคนมองไปตามเงาตกค้าง เป็นสถานที่ซึ่งพั่งจื่อยืนอยู่พอดี เห็นปากมันมีเสียงดังอึก มีบางอย่างถูกมันกิน

“อา!” พานอี้เสียดายแทบตาย ยาปราณฟ้าดินห้าธาตุเม็ดนี้สามารถเพิ่มโอกาสเจี๋ยตันได้ นั่นเป็นยาขั้นหกนะ เดิมทีเขาคิดจะนำยาปราณฟ้าดินห้าธาตุไป ดังนั้นจึงไม่ได้บอกจินเฟยเหยาล่วงหน้า ตอนนี้ดียิ่งนัก ให้กบอ้วนตัวหนึ่งกินไปแล้ว

อารมณ์ของเขาในยามนี้ย่ำแย่สุดขีด อยากจับกบมาผ่าท้องนำยาปราณวิญญาณฟ้าดินห้าธาตุออกมายิ่งนัก ทว่าจินเฟยเหยากำลังยืนมองเขาอยู่ข้างๆ เขาแค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ได้แต่อดทนไว้ชั่วคราว

ดูเหมือนจะเป็นยาวิญญาณชั้นยอดบางอย่าง จินเฟยเหยามองพั่งจื่ออย่างอิจฉา อดเอ่ยไม่ได้ “เจ้านี่จริงๆ เลย นี่เป็นสิ่งของของผู้อื่น เจ้ารีบคายออกมา ถ้าเจ้าจะกิน กลับไปข้าจะทำเนื้อย่างให้”

ฉากหน้าบอกให้คายออกมาคืนผู้อื่น ทว่านางกลับแอบถ่ายทอดเสียงให้พั่งจื่อ “รีบกินลงไป ข้าช่วยพวกเขาจัดการไปสองคน ได้รับค่าตอบแทนนิดหน่อยก็เป็นเรื่องสมควร จริงสิ ถ้าเจ้ากินไม่ได้จริงๆ หลังกลับไปเจ้าค่อยคายออกมาให้ข้า ข้ารู้ว่าเจ้ามีเทคนิคนี้”

พั่งจื่อกลอกตาใส่นางอย่างเหยียดหยาม พอเห็นมันก็รู้ว่าเป็นของดี คนโง่งมจึงคายออกมาให้นาง ไม่ว่าจะใช้ทำอะไร อย่างไรเสียมันก็กินแน่นอน

“สหายเซียนพาน ยาเม็ดนั้นถูกมันกินไปแล้ว ทำอย่างไรดี? ด้วยคุณสมบัติของยา พอเข้าปากก็ละลายทันที คายออกมาก็เหลือเพียงเศษอาหารในกระเพาะ ทว่านี่คือยาอะไร คิดไม่ถึงว่าจะมีปัญญาญาณ” จินเฟยเหยามองพานอี้อย่างลำบากใจ

พานอี้มีความทุกข์ก็บอกออกมาไม่ได้ สะกดโทสะในใจเอาไว้ เอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “กินแล้วก็กินไปเถอะ นั่นเป็นยาปราณฟ้าดินห้าธาตุขั้นหก”

“ขั้นหก ล้ำค่าถึงปานนี้เชียว พั่งจื่อเจ้าโชคดีจริงๆ สหายเซียนพานไม่เสียทีที่เป็นคนของตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนขนาดใหญ่ ใจกว้างเช่นนี้ มีลักษณะของหัวหน้าตระกูลหนึ่งจริงๆ คาดว่าต่อไปไม่นานตระกูลพานต้องมีสหายเซียนพานเป็นหัวหน้าตระกูลแน่” พอจินเฟยเหยาเอ่ยปาก ก็สวมหมวกทรงสูงให้[1]เขา แบบนี้อีกสักครู่คิดจะหักค่าตอบแทนของนางก็ไม่ได้แล้ว

“สหายเซียนจิน พวกเรามาทำธุระสำคัญดีกว่า ไม้เลี้ยงจิตยังไม่ได้นำออกมาเลย” พานอี้มีโทสะแทบตาย สีหน้ายังสงบนิ่งอยู่ แต่รู้สึกได้ว่าเขาไม่พอใจ

สำหรับพั่งจื่อที่กินยาวิญญาณอันล้ำค่าถึงปานนี้ จินเฟยเหยาก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แน่นอนว่าถ้านางเป็นคนกิน นางต้องไม่รู้สึกเสียใจแน่ อย่างไรเสียคนที่ลงแรงมากที่สุดคือนาง

“ก็ได้ พวกเจ้าผลักอีกหน่อย ข้าจะหยิบไม้เลี้ยงจิต” จินเฟยเหยายิ้มแฉ่งเดินกลับมาอีก จับจ้องเตาหลอมแน่วนิ่ง คิดจะดูว่ามีสิ่งของล้ำค่าบินออกมาอีกหรือไม่

พวกพานอี้สามคนเริ่มออกแรงผลักฝาเตาหลอมยาอีกครั้ง ครั้งนี้กลับไม่มีสิ่งใดบินออกมา เพียงแต่หลังฝาถูกผลักเปิดออก ไอร้อนด้านในก็พุ่งออกมา โชคดีที่อุณหภูมิไม่ถือว่าร้อนลวกเกินไป ไม่เช่นนั้นพวกพานอี้อันคงทนไม่ไหว

ยามนี้ฝาเตาหลอมยาถูกเปิดออกครึ่งหนึ่ง พวกพานอี้ใช้พลังวิญญาณไปมาก ได้แต่ตะโกนเสียงดัง “สหายเซียนจิน รีบหยิบไม้เลี้ยงจิตออกมา พวกเราใกล้จะผลักไม่ไหวแล้ว”

“หนักถึงปานนี้จริงๆ? เห็นพวกเจ้าผลักอย่างยากเย็นแสนเข็ญ” จินเฟยเหยาสงสัยอย่างยิ่ง ก็แค่เตาหลอมยาใบหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าขนาดพลังวิญญาณก็ใกล้จะใช้หมดเกลี้ยง

นางเดินไปถึงเบื้องหน้าเตาหลอมยา มองคนทั้งสามใบหน้าแดงก่ำไปหมด ราวกับปราณวิญญาณดูดนมมารดาก็ใช้ออกมา นางยื่นมือไปผลักเตาหลอมยาตามสบายครั้งหนึ่ง โอ้ หนักจริงๆ ด้วย แต่ไม่ได้หนักถึงขนาดนั้น

เห็นจินเฟยเหยามาผลักฝาเตาหลอมยาด้วย พานอี้ร้อนใจจนเอ่ยกระตุ้นเตือน “สหายเซียนจิน เจ้าทำเร็วๆ หน่อย พวกเราใกล้จะยันไม่ไหวแล้ว ขอเพียงผ่อนแรง ฝาเตาหลอมยาก็จะปิดอีกครั้ง”

“ยุ่งยากจริงๆ” พลังวิญญาณในมือจินเฟยเหยาปะทุ ใช้หนึ่งฝ่ามือกับฝาเตาหลอมยา เสียงดังเคร้ง ฝาเตาหลอมยาก็ลอยออกไป กระแทกกับก้อนหินบนเกาะ เสียงดังสนั่นอีกครั้ง ฝาฝังลึกเข้าไปในก้อนหิน ครั้งนี้ไม่ขยับแม้แต่น้อยจริงๆ

จินเฟยเหยาเห็นพวกพานอี้สามคนมองฝาในก้อนหินอย่างปากอ้าตาค้าง ก็เอ่ยอย่างไม่พอใจ “บอกแต่แรกว่าให้ข้าผลัก พวกเจ้าก็ไม่ฟัง ยืนกรานจะผลักเอง เรี่ยวแรงของพวกเจ้าน้อยเกินไป ปกติต้องกินข้าวเยอะหน่อย แบบนี้ร่างกายจะได้แข็งแกร่ง อาศัยเรี่ยวแรงของพวกเจ้า ถ้าตอนข้าหยิบไม้เลี้ยงจิต มือของพวกเจ้าอ่อนล้า ฝาพุ่งมากระแทกข้าจะทำอย่างไร”

“ข้าดูหน่อย ไม้เลี้ยงจิตหน้าตาเป็นอย่างไร” เห็นคนทั้งสามยืนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น จินเฟยเหยาก็เดินไปใกล้เตาหลอมยาชะโงกหน้าไปดูด้านใน เห็นมนุษย์ไม้เล็กๆ ยาวสองฝ่ามือตัวหนึ่งนอนอยู่ในเตาหลอมยาอย่างสงบนิ่ง จินเฟยเหยาใช้มือคว้าในความว่างเปล่า มนุษย์ไม้เล็กๆ ก็ถูกดูดมาอยู่ในมือนาง

จินเฟยเหยามองมนุษย์ไม้ในมือ มนุษย์ไม้ทำได้เรียบง่ายอย่างยิ่ง ฝีมือดูย่ำแย่ ไม่รู้ว่าใช้ไม้วิญญาณอะไร มีปราณวิญญาณเข้มข้นล้อมรอบ บนตัวมนุษย์ไม้ยังวาดลวดลายคาถาบางอย่าง นี่เป็นที่เดียวที่ซึ่งแตกต่างจากที่อื่นๆ นิดหน่อย

“สหายเซียนพาน ไม้เลี้ยงจิตที่เจ้าเอ่ยถึงคือสิ่งนี้สินะ” จินเฟยเหยายกมนุษย์ไม้เล็กๆ ยื่นให้พานอี้ดู

สิ้นเสียง มนุษย์ไม้ในมือพลันเปล่งแสงสีเหลืองสว่างจ้า แสงสีเหลืองสายหนึ่งพุ่งออกมาอย่างเหนือความคาดหมายโจมตีหว่างคิ้วจินเฟยเหยา ระยะใกล้อย่างยิ่ง จินเฟยเหยาหลบไม่ทัน แสงสีเหลืองเข้าไปตรงหว่างคิ้วของนางในพริบตา

ร่างของจินเฟยเหยาส่ายไหว มนุษย์ไม้ในมือร่วงพื้น คนยืนนิ่งงันอยู่เช่นนั้น

“ท่านปู่ สหายเซียนจินเป็นอะไรไป?” พานอี้อันมองอาการแปลกๆ ของจินเฟยเหยาอย่างตกใจ รีบเอ่ยถามพานอี้ที่อยู่ข้างกายทันที

พานอี้ยิ้ม “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร นี่คือกำลังชิงร่างอยู่”

“ชิงร่าง? ท่านปู่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” พานจั๋วหวาก็งุนงง เขารู้จักการชิงร่าง เพียงแต่ไม่รู้ว่าให้ผู้ใดชิงร่าง

“แน่นอนว่าเป็นบรรพชนผู้ล่วงลับของพวกเรากำลังชิงร่าง ขอเพียงบรรพชนผู้ล่วงลับชิงร่างสำเร็จ ใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบปี ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลจะต้องกลับมาอยู่ในมือของพวกเราอีกครั้ง” พานอี้หัวเราะเสียงดังฮาๆ อย่างกระหยิ่มยินดี

เสียงหัวเราะเพิ่งสิ้นสุด สิ่งของสีขาวก้อนหนึ่งก็ลอยมากระทบใบหน้าเขา กลิ่นหอมหวานลอยกำจาย ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนของพานอี้

พั่งจื่อกลืนยาปราณฟ้าดินห้าธาตุ กำลังคิดจะหาสถานที่แอบเกียจคร้าน ก็เห็นจินเฟยเหยาพลันนิ่งไม่ขยับ จากนั้นได้ยินสามคนนี้ที่ดีใจจนเหลิงกำลังพูดเรื่องชิงร่าง มันถือว่าตนเองเป็นสัตว์ภูติที่เปี่ยมปัญญา จะไม่รู้ได้อย่างไรว่านี่หมายความว่าอะไร

ถ้าจินเฟยเหยาถูกชิงร่าง มันจะทำอย่างไร มันเหินร่างไป เหวี่ยงน้ำพิษของตนเองใส่ใบหน้าแก่ๆ ของพานอี้

ในศิลารองรับฟ้าเห็นได้ชัดว่าน้ำพิษมีอานุภาพและอหังการอย่างยิ่ง ใบหน้าแก่ๆ ของพานอี้มีควันสีขาวผุดขึ้นมาในพริบตา เนื้อเลือดเลอะเลือนอนาถเกินจะทนดูไหว

“รีบกำจัดมันทิ้งเสีย” พานอี้เจ็บปวดจนร้องตะโกนเสียงดัง เบื้องหน้าของเขามืดมิด เป็นไปได้ว่าดวงตาสองข้างถูกพิษจนบอดแล้ว

พานจั๋วหวาและพานอี้อันเห็นสภาพอนาถของท่านปู่ก็ตกตะลึง ยังไม่รู้ชัดเจนว่าชิงร่างอะไร ท่านปู่ก็ถูกทำร้ายจนกลายเป็นสภาพนี้ ส่วนพั่งจื่อก็ไม่ยอมให้พวกเขาลังเล มันพุ่งเข้าใส่ ต้องกำจัดสามคนนี้ทิ้งก่อน

ด้านนอกต่อสู้กันอย่างดุเดือด ยามนี้จินเฟยเหยากำลังใช้รูปร่างจิตวิญญาณดั้งเดิมที่เป็นดวงแสงสีฟ้าเล็กๆ ยืนอยู่ในห้วงการรับรู้อย่างสงบนิ่ง ด้านตรงข้ามนางมีจิตวิญญาณดั้งเดิมสีเหลืองดวงหนึ่งที่มีปริมาณมากกว่านางสองเท่า

จินเฟยเหยาถอนหายใจยาว เอ่ยกับจิตวิญญาณดั้งเดิมสีเหลืองฝั่งตรงข้าม “พานหยวน เจ้าเฒ่าจอมหลอกลวง ที่แท้เจ้าไม่ได้ตายในทางน้ำสายนั้น คิดไม่ถึงว่าจะซ่อนจิตวิญญาณดั้งเดิมไว้ในมนุษย์ไม้ หลอกให้ข้ามา คิดจะชิงร่างของข้าหรือ?”

จิตวิญญาณดั้งเดิมของพานหยวนฝั่งตรงข้ามเงียบงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยปากอย่างกะทันหัน “ข้าตายในทางน้ำสายนั้น นี่เป็นร่างแยกจิตวิญญาณดั้งเดิมที่ข้าเตรียมไว้เพื่อใช้ชิงร่าง”

“เจ้าชั่วร้ายนัก ข้าช่วยเจ้าขนาดนี้ เจ้ากลับคิดจะชิงร่างข้า ข้านึกว่าผู้บำเพ็ญเซียนที่นี่อย่างพวกเจ้าบริสุทธิ์จริงใจเสียอีก ดูแล้วน่าจะเลวยิ่งกว่าพวกเรา ภายนอกเป็นคนดีภายในมีจิตใจชั่วร้าย” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างไม่พอใจ

“นี่เป็นเพียงการเตรียมพร้อมของข้าในตอนนั้น ชิงร่างของเจ้าแล้ว ข้าจะมีพลังบำเพ็ญเพียรแค่ขั้นสร้างฐาน อีกทั้งใครบอกเจ้าว่าผู้บำเพ็ญเซียนที่นี่ล้วนเป็นคนดี เพียงแต่คนในตระกูลเหล่านั้นไม่ออกจากบ้านดังนั้นจึงโง่งมไปหน่อย ที่นี่มีคนเผ่ามารที่โหดเหี้ยม ไม่คิดให้มากหน่อยจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร” พานหยวนปฏิเสธ

จิตวิญญาณดั้งเดิมของจินเฟยเหยาเล็กกว่าจิตวิญญาณของเขามากนัก เขาเชื่อว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมที่แยกออกมาจากขั้นกำเนิดใหม่ของตนเองต้องกลืนกินนางได้แน่นอน จากนั้นชิงร่างกายของนาง เขาเอ่ยวาจาไร้สาระกับนางสองประโยค ก็ถือว่าได้ให้คำอธิบายแก่นางแล้ว

“ข้าว่าถ้าเจ้าจะชิงร่างก็ต้องเลือกที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงหน่อยหรือไม่ก็บุรุษ ตาเฒ่าอย่างเจ้า ตอนนี้เปลี่ยนมาใช้ร่างสตรี ไม่รู้สึกต่ำช้าบ้างหรือ?” จนป่านนี้แล้วจินเฟยเหยายังมีอารมณ์มาหยอกล้อเขาเล่นอีก

สำหรับเรื่องนี้ พานหยวนก็รู้สึกไม่สบายใจ คนที่อยู่มาหลายร้อยปีเช่นตนเอง ตอนนี้ถึงกับคิดจะใช้ร่างกายของสตรี ทว่าเขาไม่มีทางเลือก ได้แต่โทษทายาทรุ่นหลังของตนเองที่ไร้ประโยชน์ ถ้าพาผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นมา เพิ่งสังหารหุ่นไม้เสร็จก็อาจจะถูกคนลงมือสังหารทิ้ง ไม่มีโอกาสชิงร่างมากนัก

เขาต้องเลือกตัวเลือกรองลงมา ได้แต่ใช้จินเฟยเหยา ต่อให้เลวมากเพียงใดก็ไม่อาจชิงร่างหลานของเหลนชายตนเองได้ เขาหักใจลงมือกับญาติของตนเองไม่ได้จริงๆ

แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือ ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีตัวเล็กๆ เบื้องหน้าเขาคนนี้กลับเป็นคนที่หักใจลงมือกับญาติของตนเองได้ ในด้านความอำมหิตไร้น้ำใจ เขาตกเป็นรองแล้ว

……………………………………..

[1] สวมหมวกทรงสูงให้ หมายถึง ประจบสอพลอ

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset