คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 134 หอผิ่นเมิ่ง

“สงครามของโลกระดับดินวุ่นวายไม่หยุด โลกระดับดินทั้งหมดเกิดความโกลาหล ยามนี้แบ่งเป็นสิบกว่ากลุ่มอิทธิพล ยุ่งเหยิงจริงๆ ด้วย โอ้ คิดไม่ถึงว่ายังมีผังสังหารหมู่ พั่งจื่อ เจ้ามาดูสิ พี่สยงมีชื่อบนผังด้วย สังหารไปแล้วหกร้อยเจ็ดสิบสองคน ข้าว่าคนของโลกระดับวิญญาณว่างเกินไปจริงๆ ขนาดสังหารคนไปเท่าไรยังตรวจสอบได้” จินเฟยเหยานั่งอยู่บนทุ่งหญ้า มีกองซื่อเต้าจิงทั้งหมดของสิบปีมานี้กองอยู่ข้างกาย

อย่าเห็นว่าจินเฟยเหยาอยู่เมืองวั่นเซียนสุ่ยมาสิบปี ที่จริงไม่ต่างอะไรกับตอนมาวันแรกสักนิด พั่งจื่อกับต้านิวคุ้นเคยกับเมืองวั่นเซียนสุ่ยมากกว่านาง ดังนั้นนางจึงพลิกดูซื่อเต้าจิงของหลายปีนี้ คิดจะเพิ่มพูนความรู้ทั่วไป

ดื่มชาคำหนึ่ง นางก็หยิบซื่อเต้าจิงขึ้นมาอีกฉบับ เห็นหัวข้อใหญ่ที่เขียนไว้บนนั้น จู๋ซวีอู๋แห่งสำนักตงอวี้หวงที่ออกท่องเที่ยวหาประสบการณ์หกร้อยปีบรรลุขั้นกำเนิดใหม่แล้ว ปีก่อนนำศิษย์ที่รับไว้ภายนอกกลับสำนัก สำนักตงอวี้หวงจัดงานเลี้ยงใหญ่เป็นพิเศษสามวัน รับรองระดับสูงของทุกสำนัก

“จู๋ซวีอู๋ ชื่อของคนผู้นี้ก็มีอักษรจู๋ คิดไม่ถึงว่ามีคนออกเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์หกร้อยปีเพิ่งกลับมา สำนักใหญ่ก็แบบนี้ ถ้าเป็นสำนักเล็กๆ รอคนกลับมาเกรงว่าแม้แต่เศษซากสำนักก็หาไม่พบ” จินเฟยเหยาทอดถอนใจ ผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูงเหล่านี้ร้ายกาจยิ่ง ออกไปเที่ยวเล่นตามสบายครั้งหนึ่งหลายร้อยปี

นางครุ่นคิด แล้วเอ่ยขึ้นอีก “ถ้าอย่างไรอีกสักครู่ออกไปข้างนอก ลงเดิมบนข้างพี่สยงก่อน ตอนนี้เห็นชีวิตเขารุ่งโรจน์ มีชีวิตอยู่อีกหลายสิบปีน่าจะไม่มีปัญหา”

เมืองวั่นเซียนสุ่ยเริ่มเปิดบ่อนพนันโลกระดับดินตามการต่อสู้ของโลกระดับดินที่รุนแรงมากขึ้นในหลายปีมานี้ คนที่อยู่บนผังสังหารหมู่เหล่านั้นมีคนลงเดิมพันจำนวนไม่น้อย ขอเพียงพวกเขาไม่ตายในช่วงเวลาที่ลงเดิมพัน หนึ่งปีสามารถลงเดิมพันได้หนึ่งครั้ง กลุ่มอิทธิพลสิบกว่ากลุ่ม สามารถลงเดิมพันได้กลุ่มเดียว ต่อให้เวลายาวนานมาก แต่ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้มีชีวิตยาวนาน ช่วงเวลาเพียงเท่านี้ยังสามารถรอคอยไหว

“อ๊บ” พั่งจื่อที่นั่งอยู่ด้านข้าง หยิบกระดาษส่องแสงวิบวับใบหนึ่งในซื่อเต้าจิงขึ้นมาดูเบื้องหน้า มันอ่านออกที่ไหน จึงโยนให้จินเฟยเหยา

“สิ่งของใด อย่าโยนสุ่มสี่สุ่มห้าสิ” จินเฟยเหยาว่ามัน แล้วหยิบกระดาษส่องแสงวิบวับใบนี้ขึ้นมา

บนกระดาษเขียนอักษรขนาดใหญ่สามตัว ‘หอผิ่นเมิ่ง’ ด้านล่างมีรายชื่อสิ่งของจำนวนมากหนาแน่น จินเฟยเหยาหยิบมาดู “หญ้าหมอกฝนพันปี ศิลากาฬอัสนีสองก้อน ผู้เพาะเลี้ยงวิญญาณหนึ่งท่าน พื้นที่มิติสองชิ้น หืม? พื้นที่มิติ?”

“นี่คืออะไร? คิดไม่ถึงว่าจะมีพื้นที่มิติ” จินเฟยเหยายืนขึ้น จ้องดูกระดาษแผ่นนี้อย่างละเอียด “ที่แท้หอผิ่นเมิ่งเป็นสถานที่ประมูล นี่คือรายชื่อสินค้าที่จะประมูลเร็วๆ นี้ ไม่รู้ว่าจะเริ่มเมื่อใด อ๊า! คิดไม่ถึงว่าจะเป็นค่ำนี้”

“ตอนนี้เย็นแล้ว พั่งจื่อพวกเรารีบไป ต้องไปดูการประมูลครั้งนี้เสียหน่อย จริงสิ ร้านนี้อยู่ที่ใด” จินเฟยเหยาวิ่งไปหน้ารังนกถ่ายทอดเสียง ใช้มือคว้านกถ่ายทอดเสียงที่กินอิ่มแล้วกำลังคิดจะพักผ่อนออกมาอย่างเร่งรีบ

ให้นกถ่ายทอดเสียงไปตามเสี่ยวหมางมานำทาง นางกระโดดเข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียนอีกรอบ หยิบถุงเฉียนคุนแล้วบรรจุศิลาวิญญาณลงด้านในอย่างสุดกำลัง ขณะบรรจุศิลาวิญญาณ จินเฟยเหยาพลันนึกขึ้นได้ ตนเองบอกว่าจะเริ่มต้นเลี้ยงมดหนึ่งผลึกใหม่อีกครั้ง มาถึงเมืองวั่นเซียนสุ่ยก็ไม่ว่างไปหามดหนึ่งผลึก

เสียเวลาสิบปีไปเปล่าๆ จริงๆ ล้วนเป็นตระกูลพานสามคนนั้นทำร้าย ต้องสิ้นเปลืองศิลาวิญญาณไปมากมายเพียงใด โชคดีที่ต้านิวขยันและรักความสะอาด พั่งจื่อถ่ายทรายไปทั่วเกาะ มันก็เก็บรวบรวมไว้ทั้งหมด เพียงแต่ดูเหมือนหลังจากพั่งจื่อบรรลุขั้นสี่ก็ถ่ายเป็นหินก้อนเล็กๆ ไม่ใช่ทรายอีก

บางทีหลังมดหนึ่งผลึกกินเข้าไปอาจจะถ่ายเป็นศิลาวิญญาณชั้นกลาง จินเฟยเหยากำลังเพ้อฝันอย่างไร้ขอบเขต ครู่หนึ่งก็ได้ยินพั่งจื่อเรียกนาง เสี่ยวหมางมาแล้ว

จินเฟยเหยาเกรงว่าเงินไม่พอจึงพกอ่างมายาจิ่งเทียนติดตัว เดิมทีคิดจะไปคนเดียว ผู้ใดจะคิดว่าพั่งจื่อจะติดตามไปด้วย ทั้งยังนั่งบนเรือปลาทองล่วงหน้านานแล้ว มองต้านิวที่เป็นเพียงสัตว์ภูติขั้นหนึ่ง แล้วก็มองเนี่ยนซีที่มีสีหน้างุนงงซึ่งทำเป็นแต่หาเรื่อง นางก็ได้แต่พาทั้งสองตัวขึ้นมาด้วย

ไม่มีพั่งจื่อเฝ้าเกาะ จินเฟยเหยาไม่กล้าให้เนี่ยนซีกับต้านิวอยู่บนเกาะเสี่ยวสือตามลำพัง ถ้าบุตรหลานตระกูลเศรษฐีที่พูดไม่กระจ่างอะไรนั่นแล่นมา ใช้กำลังทำลายวงเวทแล้วแย่งชิงคนไปก็ยุ่งแล้ว

เรือปลาทองของเสี่ยวหมางมีปลาทองสิบตัวลาก ต่อให้เพิ่มจำนวนคนอีกสองเท่า ก็สามารถนั่งได้อย่างสบายๆ ไม่รู้ว่าคิดถึงรูปร่างของพั่งจื่อโดยเฉพาะหรือเพื่อช่วยนางลากสินค้าหรือไม่ เก้าอี้ในเรือปลาทองของเสี่ยวหมางจึงมีไม่มาก พื้นที่ว่างกว้างขึ้นหน่อย

หอผิ่นเมิ่งมีชื่อเสียงอย่างยิ่งในเมืองวั่นเซียนสุ่ย เสี่ยวหมางย่อมรู้จักทางดีและขับเรือลากปลาทองไปหอผิ่นเมิ่งได้อย่างสบายๆ ทั้งยังเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “ท่านเซียน หอผิ่นเมิ่งเป็นสถานที่ประมูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองวั่นเซียนสุ่ย สิ่งของด้านในล้วนเป็นสิ่งของล้ำค่า แม้แต่เข้าประตูก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม”

“ขอเพียงซื้อสิ่งของที่ต้องการได้ จ่ายค่าธรรมเนียมเข้าประตูเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร แบบนี้ยังสามารถขัดขวางคนที่อยู่ว่าง ไม่ให้ตะโกนประมูลราคาสูงวุ่นวายได้” จินเฟยเหยาไม่เคยไปสถานที่ประมูลมาก่อน ถึงแม้เมื่อก่อนในเมืองลั่วเซียนก็มี ทว่าตอนแรกยากจนมากจึงไม่ไป ต่อมาก็ไม่มีเวลาไป นางไม่เคยไปชัดๆ ยังคิดว่าเป็นแบบนี้แน่นอน

อย่างไรเสี่ยวหมางก็เป็นคนธรรมดา จึงได้แต่อิจฉาผู้บำเพ็ญเซียน นางรู้สึกอย่างจริงใจว่าผู้บำเพ็ญเซียนทั้งร่ำรวยทั้งเป็นคนเปี่ยมพรสวรรค์ ทำให้คนเคารพเลื่อมใส

เรือปลาทองลากสิบตัวรวดเร็วอย่างยิ่ง มาถึงหอผิ่นเมิ่งก่อนฟ้ามืด จินเฟยเหยาหาหอผิ่นเมิงพบในแผนที่ที่ซื้อมาตอนแรก ทว่าพอมาถึงเบื้องหน้ายังทำให้นางตกตะลึงจนร้องอุทาน

หอผิ่นเมิ่งไม่ได้อยู่บนเกาะ ทว่าสร้างอยู่ในทะเลสาบโดยตรง เป็นตึกเล็กสองชั้นอันงามประณีตตั้งอยู่บนผิวทะเลสาบ รอบตึกเล็กเป็นแท่นราบกว้างประมาณหนึ่งจั้ง มีท่าเรือเล็กๆ มากมายยื่นออกมาบนแท่นราบ ใช้สำหรับให้ผู้บำเพ็ญเซียนที่มาเข้าร่วมงานประมูลจอดเรือ

บอกว่าเป็นตึกเล็กๆ ที่จริงดูแล้วเหมือนศาลาที่ปิดไว้ครึ่งเดียว มองผ่านรั้วโปร่งสลักลายเห็นแสงตะเกียงอันอ่อนโยนสีเหลือง ใช้หินแสงจันทร์ทั้งก้อนสลักเป็นป้ายร้านหอผิ่นเมิ่งสี่ชิ้นเต็มๆ ทั้งหมดส่องแสงสว่างอยู่บนชั้นสอง ทำให้คนที่มาเดินไม่หลงทางแน่นอนราวกับเป็นป้ายบอกทาง

จินเฟยเหยาไม่รู้ว่าปกติมีผู้บำเพ็ญเซียนมาร่วมงานประมูลมากเพียงใด ตรงกันข้ามท่าเรือเล็กในเวลานี้มีเรือปลาทองหรือเรือท่องเที่ยวจอดอยู่จำนวนมาก เสี่ยวหมางจอดเรือชิดท่าเรือ ก็มีผู้รับใช้สตรีขั้นฝึกปราณคนหนึ่งมาต้อนรับ ยิ้มแฉ่งพลางเอ่ยว่า “ยินดีต้อนรับท่านเซียน ขอเรียนถาม มีป้ายที่นั่งสีเงินหรือไม่?”

“ป้ายที่นั่งสีเงินคือสิ่งใด?” จินเฟยเหยาเอ่ยถาม ผู้รับใช้สตรียิ้มน้อยๆ

“ท่านเซียนมาหอผิ่นเมิ่งเป็นครั้งแรกสินะ?”

“ใช่ วันนี้ข้ามาเพราะได้ยินชื่อเสียง” จินเฟยเหยาตอบตามตรง อย่างไรเสียนี่มิใช่เรื่องน่าขายหน้าอะไร ไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง

“เช่นนั้นข้าขอแนะนำหอผิ่นเมิ่งของพวกเราให้ท่านเซียนรู้จักสักหน่อย เชิญทางด้านนี้” ผู้รับใช้สตรีไม่ได้ดูแคลนนาง ยังพากลุ่มจินเฟยเหยาเข้าตึกเล็กๆ อย่างมีมารยาท

เดิมทีนึกว่าตึกเล็กๆ คือทางเข้า น่าจะมีคนมากมาย ทว่าหลังจากจินเฟยเหยาเข้าไปในห้องเล็กๆ จึงพบว่าในตึกไม่มีลูกค้าสักคน กลับมีผู้รับใช้สตรีขั้นฝึกปราณสิบกว่าคนยืนอยู่ด้านข้าง ส่วนสาเหตุที่ไม่มีลูกค้า เนื่องจากกลางตึกเล็กๆ มีวงเวทส่งตัวสีขาวที่กำลังทำงานอยู่ตลอดเวลา พอแสงสีขาวกระพริบวาบลูกค้าก็ถูกส่งตัวไปแล้ว

ตอนนี้ในตึกเล็กๆ มีเพียงกลุ่มนางที่ยึดครองพื้นที่มากที่สุด ผู้รับใช้สตรีนำจินเฟยเหยามานั่งบนเก้าอี้ทางด้านข้าง จากนั้นเริ่มแนะนำ

“ที่นี่ของพวกเราแบ่งเป็นป้ายที่นั่งธรรมดานั่งได้คนเดียว ราคาคนละหนึ่งศิลาวิญญาณชั้นกลาง ส่วนป้ายที่นั่งสีเงินคือแขกผู้มีเกียรติของพวกเรา กั้นห้องเดี่ยวแยกออกมา หนึ่งปีเก็บเพียงศิลาวิญญาณสองร้อยก้อน ส่วนที่นั่งป้ายสีทอง ให้เพียงผู้อาวุโสขั้นกำเนิดใหม่ขึ้นไปใช้โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียม”

คิดไม่ถึงว่าจะรับศิลาวิญญาณชั้นกลาง จินเฟยเหยาอยากจะขว้างศิลาวิญญาณชั้นล่างใส่ใบหน้ายิ้มแย้มของนางจริงๆ ตั้งสองร้อยศิลาวิญญาณชั้นกลาง ไปปล้นคนเถอะ นี่มันสถานที่บ้าบออะไร ใช้ศิลาวิญญาณชั้นล่างมิได้หรือ? นางที่ทั้งตัวมีเพียงศิลาวิญญาณชั้นล่าง อยู่ที่นี่กลายเป็นยาจกไปแล้ว

“ที่นั่งธรรมดาก็พอ สิทธิพิเศษอื่นๆ รับไม่ไหว” จินเฟยเหยานำศิลาวิญญาณชั้นกลางก้อนหนึ่งออกมายื่นให้

ผู้รับใช้สตรีไม่ได้รับศิลาวิญญาณ ทว่าเอ่ยอย่างมีมารยาท “ท่านเซียน พวกท่านมีสี่คน…”

“สี่คน?” จินเฟยเหยามองรอบกาย ชี้พวกพั่งจื่อพลางเอ่ย ว่า “พวกเจ้าไร้เหตุผลหรือ สัตว์ภูติก็เก็บศิลาวิญญาณด้วย?”

“ท่านเซียนเข้าใจผิดแล้ว ไม่ใช่เหตุผลข้อนี้” ผู้รับใช้สตรียังคงยิ้มน้อยๆ ดังเดิม ราวกับพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มามาก

นางใช้มือชี้เก้าอี้ข้างจินเฟยเหยา “ท่านเซียน ที่นั่งธรรมดามีขนาดกว้างเพียงเท่านี้ สัตว์ภูติของท่านตัวใหญ่เกินไปจะบังคนอื่นๆ ได้ ถ้าท่านเก็บพวกมันลงในถุงสัตว์ภูติ เช่นนั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้อื่น ไม่ต้องเสียศิลาวิญญาณ”

“ก็ได้ พวกเจ้าสองตัวเข้าไปในถุงสัตว์ภูติ” จินเฟยเหยาหยิบถุงสัตว์ภูติขึ้นมาส่งสัญญาณ นางไม่กล้าให้เนี่ยนซีเข้าไปในถุงสัตว์ภูติ สัตว์ภูติรูปร่างคนแบบนี้ นางไม่รู้ว่าล้ำค่าในโลกระดับวิญญาณหรือไม่ แต่ไม่มีใครพบว่านางไม่ใช่คนกลับเป็นความจริงที่โต้แย้งไม่ได้

เนี่ยนซียังยืนอยู่ข้างนอก พั่งจื่อจะเข้าไปในถุงสัตว์ภูติได้อย่างไร ต้านิวเชื่อฟังจินเฟยเหยาตอนไม่มีพั่งจื่อ ตอนมีพั่งจื่อก็เชื่อฟังพั่งจื่อ ดังนั้นตอนนี้จึงยืนกระบิดกระบวนอยู่ตรงนั้นไม่ยอมเข้าไป

เห็นพวกมันทั้งหมดไม่ยอมเข้าไป จินเฟยเหยาก็ได้แต่ด่าทออย่างดุร้าย “ยังมัวตะลึงอะไรอยู่ เปลี่ยนร่างให้เล็กลง ถึงจ่ายค่าธรรมเนียม ที่นั่งก็ไม่พอยัดก้นครึ่งหนึ่งของพวกเจ้า” จากนั้นกลับมามองผู้รับใช้สตรี “พวกมันนั่งข้างข้าคงไม่ส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ นะ?”

“นี่…ถ้าไม่กระทบกับคนอื่น ก็ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม เช่นนั้นรวมทั้งหมดสองท่าน” ผู้รับใช้สตรีพอเห็นพั่งจื่อและต้านิวหดเล็กลงแล้ว ได้แต่เก็บศิลาวิญญาณจินเฟยเหยาและเนี่ยนซี

จินเฟยเหยาหยิบศิลาวิญญาณชั้นกลางออกมาก้อนหนึ่งอย่างไม่ยินยอม ในใจด่าทอหวาซีนับพันครั้ง รอจนพบหวาซี ต้องทำให้หวาซีคายเงินที่เนี่ยนซีใช้ไปออกมาให้หมด

พั่งจื่อและต้านิวหดเล็กลงจนมีขนาดไม่ถึงสองฉื่อภายใต้การสังเกตของผู้รับใช้สิบกว่าคน พวกมันกระโดดตามจินเฟยเหยาและเนี่ยนซีไปยืนอยู่ในวงเวท แล้วส่งตัวไปยังสถานที่ประมูลด้วยกัน

“จริงๆ เลย คนที่นี่ก็เกินไปจริงๆ ห้องแบบนี้ให้คนอยู่หรือ?” จินเฟยเหยาฉุดลากเนี่ยนซีเดินออกจากวงเวท มองสถานที่ประมูลเบื้องหน้า อดด่าทอขึ้นมาไม่ได้

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset