จินเฟยเหยาพาพวกพั่งจื่อเดินออกจากวงเวทส่งตัว ขึ้นนั่งบนเรือปลาทอง นางก้มศีรษะย่อยสิ่งของที่เห็นในวันนี้
“ท่านเซียน ตอนนี้พวกเราจะกลับเกาะเสี่ยวสือใช่หรือไม่?” เสี่ยวหมางนั่งอยู่บนหัวเรือ หันหน้ามาเอ่ยถาม
“ไม่ พวกเราจะไปเกาะซ่างเซียน” จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นเอ่ย
“เกาะซ่างเซียน?” เสี่ยวหมางรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ไม่กล้าถามมากความ ให้ปลาทองลากเรือน้อยไปเกาะซ่างเซียน
มาถึงเกาะซ่างเซียน จินเฟยเหยารีบตรงไปที่ร้านซื่อเต้าจิง ซื่อเต้าจิงมีร้านแห่งหนึ่งอยู่บนเกาะซ่างเซียน สุ่มคว้าตัวคนผู้หนึ่งมาถาม ก็หาที่ตั้งร้านพบได้อย่างสบายๆ
นี่เป็นร้านที่ไม่ใหญ่นัก อยู่ตรงมุมในตรอกสายหนึ่ง ถึงแม้จะดึกมากแล้ว ทว่ายังแขวนหินแสงราตรีไว้ในที่สะดุดตาตรงทางเข้า ประตูร้านเปิดออกเพียงครึ่งเดียว เงียบกริบ ไม่มีคนเลยสักนิด
จินเฟยเหยาเดินเข้าประตูที่เปิดไว้ครึ่งเดียว ในห้องมีเพียงตะเกียงแสงราตรีสีเหลืองเล็กๆ ตั้งไว้บนโต๊ะตัวใหญ่กลางห้อง บนโต๊ะวางกระดาษกองเป็นภูเขาและยันต์หลากชนิดอยู่เต็มไปหมด ทั้งหมดเป็นข่าวสารจากแต่ละสถานที่
หลังโต๊ะมีเสียงแกรกๆ ดังมา ราวกับมีคนกำลังเขียนอะไรบางอย่าง ทว่าคนถูกสิ่งของบนโต๊ะบดบังไว้ แสงสว่างของหินแสงราตรีก็เล็กนิดเดียว ดังนั้นจึงมองเห็นไม่ชัด
“มีคนอยู่หรือไม่?” จินเฟยเหยายืนถามหน้าโต๊ะ
คนหลังโต๊ะไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เอ่ยปากตามสบายว่า “ถ้าสมัครรับหนังสือก็สุ่มหากระดาษบนโต๊ะเขียนชื่อและที่อยู่ลงไป แล้ววางศิลาวิญญาณไว้ก็พอ”
“ข้าสมัครรับซื่อเต้าจิงแล้ว ข้าคิดจะไหว้วานให้พวกเจ้าสืบหาคนผู้หนึ่ง” จินเฟยเหยาเดินเข้าไปใกล้โต๊ะ แล้วยื่นหน้าไปมองด้านหลังโต๊ะ ด้านหลังโต๊ะมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงต้นวัยกลางคน กำลังก้มหน้าเขียนอักษรอย่างรวดเร็ว
มองเขาร่ายรำพู่กันวิญญาณในมือราวกับมีชีวิตภายใต้หินแสงจันทร์ดวงเล็กๆ หลังเงาตกค้างแต่ละสายผ่านพ้น ตัวอักษรก็ปรากฏขึ้นบนกระดาษทีละแถว เขียนได้รวดเร็วยิ่ง หลังจากผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้เขียนเนื้อหาจนเต็มกระดาษ จึงหยุดพู่กันในมือ เงยหน้าขึ้นถาม “สหายเซียนท่านนี้คิดจะค้นหาใคร? พวกเราคิดค่าธรรมเนียมตามระดับความยาก เจ้าบอกมาก่อนว่าคนที่เจ้าจะตามหาคือใคร”
“ข้าอยากให้เจ้าช่วยค้นหาคนที่ชื่อหวาซี น่าจะเป็นคนของคฤหาสน์กุ่ยเม่ย เนื่องจากเขามีสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวหนึ่ง ข้าอยากรู้ศักดิ์ฐานะและเรื่องราวของเขา ถ้าหากหาพบว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใดจะดีที่สุด” จินเฟยเหยาเอ่ย
ผู้บำเพ็ญเซียนวัยกลางคนยื่นมือออกมาจากในกระดาษที่กองเป็นภูเขาบนโต๊ะ ดึงตำราเล็กๆ ออกมาเล่มหนึ่ง พลิกเปิดดูแล้วเอ่ยว่า “คฤหาสน์กุ่ยเม่ยทำยาก ตลอดมาพวกเขาไม่ยอมติดต่อกับคนนอก ข้อมูลในมือของพวกเรามีไม่มาก เจ้ารอข้าดูก่อน”
จินเฟยเหยายืนอยู่ด้านข้าง มองเขาพลิกตำราเล็กๆ อย่างเงียบสงบ ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากผู้บำเพ็ญเซียนวัยกลางคนพลิกตำราทั้งหมดจบ ก็เงยหน้าขึ้น “ในข้อมูลตอนนี้ ไม่มีคนชื่อหวาซีที่เจ้าเอ่ยถึง แต่พวกเราสามารถช่วยเจ้าตรวจสอบได้ จ่ายเงินมัดจำก่อนสองหมื่นศิลาวิญญาณชั้นล่าง สืบหาฐานะได้แล้วต้องจ่ายเพิ่มอีกสามหมื่นศิลาวิญญาณชั้นล่าง ถ้าหาพบว่าตอนนี้คนผู้นี้อยู่ที่ใด เจ้าต้องจ่ายเพิ่มอีกแปดหมื่น”
“ไม่มีปัญหา ถ้ารู้ผล รบกวนแจ้งที่เกาะเสี่ยวสือหน่อย” จินเฟยเหยาส่งถุงเงินเล็กๆ บรรจุศิลาวิญญาณชั้นล่างสองหมื่นก้อนให้
จัดการเรื่องนี้เสร็จสิ้น จินเฟยเหยาก็เดินออกจากร้านซื่อเต้าจิง มองเนี่ยนซีที่อยู่ข้างกายแล้วถอนหายใจ ยุ่งยากแทบตายแล้วจริงๆ
อย่างไรก็มาถึงเกาะซ่างเซียนแล้ว นางจึงแวะไปดูที่ตลาดอิสระหน่อย เที่ยงคืนเป็นช่วงที่ตลาดคึกคักที่สุดพอดี ทางสายน้อยในพุ่มไม้เต็มไปด้วยแผงแบกะดิน พวกเขานำหินแสงจันทร์มาเอง กระจายเป็นจุดเล็กๆ มากมายตลอดทาง คึกคักอย่างยิ่ง
สินค้าบนแผงแบกะดิน มีทุกอย่างตั้งแต่สิ่งของที่ขั้นฝึกปราณจนถึงขั้นหลอมรวมใช้สอย ทว่าของขั้นสร้างฐานจะมีมากหน่อย สิ่งที่มีปริมาณมากที่สุดคือตานสัตว์ปิศาจ ทั้งหมดขายด้วยศิลาวิญญาณชั้นกลาง คนที่ซื้อก็มีจำนวนมาก
ประสิทธิผลของตานสัตว์ปิศาจมีมากมาย ตำรับหลอมยาขั้นสามขึ้นไปจำเป็นต้องใส่ตานสัตว์ปิศาจ ถึงไม่แน่ว่าต้องใส่ แต่ถ้าใส่ฤทธิ์ยาจะสูงขึ้นอีกระดับ และตานสัตว์ปิศาจที่แตกต่างกัน ขณะที่หลอมสร้างอาวุธก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของมันได้ แม้แต่ยาสัตว์ภูติที่ให้สัตว์ภูติขั้นสูงกินก็ต้องใส่ตานสัตว์ปิศาจลงในนั้น
นี่เป็นสิ่งของจำเป็นที่ทั้งราคาแพงและใช้ได้อย่างกว้างขวาง เดินเล่นรอบหนึ่ง จินเฟยเหยาก็เกิดความคิดขึ้นมา ถ้าตนเองจะหลอมสร้างอาวุธเวทแก่นชีวิต ย่อมต้องฝึกหลอมอาวุธก่อน สิ่งของที่หลอมออกมาตนเองก็ใช้ไม่ได้ เอามาขายราคาถูกๆ ที่นี่เสียเลย ทั้งยังสามารถได้ทุนคืนนิดหน่อย แถมยังสามารถเข้าใจราคาซื้อขายสินค้าได้มากกขึ้น เจอของดีๆ ยังสามารถซื้อเองได้
จินเฟยเหยาเคยซื้อตำราเบื้องต้นสร้างอาวุธแบบสอนมือใหม่ไปทีละขั้นเล่มหนึ่งที่เมืองลั่วเซียน ตอนนี้มาถึงโลกระดับวิญญาณ คิดว่าระดับของที่นี่จะสูงกว่าหรือไม่ จึงซื้อใหม่อีกเล่มหนึ่ง พลิกเปิดดู เนื้อหาด้านในก็ใกล้เคียงกัน เพียงแต่เพิ่มเนื้อหาผสมตานสัตว์ปิศาจลงไป
ตำราพืชวิญญาณกับสัตว์ปิศาจเบื้องต้น และสภาพท้องถิ่นนางก็ซื้อมา ถ้าไม่เข้าใจสถานที่แห่งนี้อย่างลึกซึ้ง เห็นสัตว์ปิศาจกินคนเป็นสัตว์ตัวน้อยที่เชื่องเชื่อ นั่นคือรนหาที่ตาย
ขณะเดินผ่านร้านยา จินเฟยเหยาพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ ต้องซื้อยาคงรูปโฉมให้ตนเองสักเม็ด ไม่เช่นนั้นแก่ชราแล้วคิดจะเปลี่ยนกลับเป็นสาวๆ คงไม่ไหว ในโลกระดับดิน ยาคงรูปโฉมถูกวางขายในสถานประมูล ทว่าที่นี่สามารถขายในร้านยาได้ ทว่าราคากลับไม่น่ารัก
จินเฟยเหยาไม่เข้าใจ นางมีศิลาวิญญาณชั้นล่างมากมาย เกือบจะคิดว่าใช้อย่างไรคงไม่หมดสิ้น เหตุใดตอนซื้อสิ่งของราคาแพง ต้องเกิดความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนและหักใจไม่ได้อยู่ตลอดเวลา
มือถือกล่องหยกเล็กๆ บรรจุยาคงรูปโฉมสองใบ นางอดมองเนี่ยนซีหลายครั้งไม่ได้ เพียงแค้นที่ตนเองโง่งมแทบตาย ยาคงรูปโฉมหนึ่งเม็ดราคาสองแสนศิลาวิญญาณชั้นล่าง ให้เนี่ยนซีกินจะเสียเปล่าหรือไม่ แต่พอนึกถึงว่าต่อไปตนเองต้องพบกับใบหน้าที่แก่ชราของเนี่ยนซี นางก็กัดฟันบังคับให้ตนเองรู้สึกว่าทำเช่นนี้คุ้มค่าแล้ว
นั่งเรือปลาทองของเสี่ยวหมางกลับเกาะเสี่ยวสือ จินเฟยเหยาให้เนี่ยนซีกินยาคงรูปโฉมลงไปต่างลูกอม หลังตนเองกัดกลืนลงไป ก็เริ่มฝึกบำเพ็ญและหลอมสร้างอาวุธอย่างจืดชืดไร้รสชาติ
“เข้าใจผิดไปหรือไม่ เหตุใดตอนนี้วัสดุจึงถูกเผาจนดำแล้ว”
“ในตำราผิดหมดเลย เจ้าพวกโกหก เขียนตำราปลอมหลอกคนอื่น”
“สวรรค์ หรือว่าข้าวาดยันต์ได้อย่างเดียว ส่วนเรื่องหลอมยาและหลอมอาวุธล้วนไม่มีพรสวรรค์ ทุกอย่างต้องใช้ศิลาวิญญาณมากกว่าคนปกติหรือ? ตอนนี้เหลือเพียงกางวงเวทที่ข้ายังไม่เคยลองเรียน มีความรู้สึกเหมือนด้านวงเวทข้าก็ไม่มีพรสวรรค์”
หลังจากจินเฟยเหยาเริ่มหลอมอาวุธ บางครั้งบางคราวก็ได้ยินเสียงนางร้องตะโกนบนเกาะเสี่ยวสือ ในเพลิงแท้ขั้นสร้างฐานของนาง มีไฟนรกผสมผสาน คำชี้แนะมือใหม่ให้หลอมสร้างอาวุธเหล่านั้น นางใช้ไม่ได้ผลเลยสักนิด
วัสดุหลอมเสียหายเป็นกองพะเนินกองอยู่ริมเกาะ คิดไม่ถึงว่าจะทำให้พื้นที่ของเกาะเสี่ยวสือกว้างขวางขึ้นไม่น้อย จินเฟยเหยากลับหลอมอาวุธเวทชั้นล่างคุณภาพต่ำได้หลายชิ้น ที่จ่ายออกไปและที่ได้รับกลับมาต่างกันหลายร้อยหลายพันเท่า ถ้านางมีสำนัก อาจจะถูกขับออกจากสำนักไปนานแล้ว ลูกล้างผลาญแบบนี้ ไม่มีสำนักใดรับไหวแน่
“ฮึ คนร่ำรวยอย่างข้า ค่าใช้จ่ายเล็กน้อยเท่านี้ข้ายังจ่ายไหว ร้านหลอมอาวุธที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น ต้องมีกองวัสดุแบบนี้กองออกมาแน่นอน มีเพียงพรสวรรค์ก็ทำไม่สำเร็จหรอก” จินเฟยเหยายืนอยู่บนซากวัสดุที่กองจนเป็นพื้นดิน หาคำอธิบายให้ตนเองโดยการหลอกลวงตนเองและผู้อื่น
ในยามนี้เอง พั่งจื่อและต้านิวก็แบกซากวัสดุจำนวนมากมาเทลงด้านข้างราวกับตบหน้านาง หลังจากพั่งจื่อเหล่มองนางแวบหนึ่งก็พาต้านิวจากไป จากห้องหลอมยาจนถึงนอกห้องหลอมอาวุธยังมีซากสิ่งของกองเป็นภูเขาที่ยังไม่ได้ขนย้าย
จินเฟยเหยาอับอายจนกลายเป็นโทสะยกขากระทืบบนซากวัสดุหลายครั้ง ซากวัสดุที่กองอยู่ตรงนั้นจึงถล่มลงไปในน้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ นางก็กลิ้งปะปนในซากวัสดุลงไปในน้ำด้วย
ครู่หนึ่ง จินเฟยเหยาจึงปีนขึ้นมา เหลียวซ้ายแลขวาพบว่าไม่มีคนเห็นนางจึงรีบวิ่งกลับไป นางเป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ถ้าให้คนเห็นสภาพกระเซอะกระเซิงแบบนี้ ต่อไปจะมีหน้าออกจากบ้านได้ที่ไหน
เทียบกับการสร้างอาวุธ ระดับความเร็วในการฝึกบำเพ็ญของจินเฟยเหยากลับน่าดูชม หลอมสร้างน้ำกล้ามเนื้อเทพคุณภาพสูงสำเร็จ สิ่งของประเภทที่กินแล้วกลายเป็นบุรุษกำยำกลายเป็นอดีตไปนานแล้ว
ยาหยกชุ่มชื้นที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงต้นกิน ขอเพียงนางออกจากบ้านก็จะซื้อมาหลายสิบขวด เวลาทั้งหมดของจินเฟยเหยาใช้ไปกับการหลอมสร้างอาวุธ ยังไม่มีเวลาหลอมยาชั่วคราว นางเพียงแค้นที่ไม่มีวิชาแยกร่าง ถ้ามิใช่เพื่อหลอมสร้างอาวุธเวทแก่นชีวิตให้ได้ในเร็ววัน สิ่งที่นางอยากทำมากกว่าคือหลอมยา
นางกินยาที่หลอมได้ ยาวิญญาณชั้นต่ำไร้ประสิทธิภาพก็สามารถโยนให้พั่งจื่อหรือต้านิวกินได้ และนางยังซื้อมดหนึ่งผลึกมาใหม่ห้าตัว ก็สามารถใช้ย่อยยาเหล่านั้นได้ ขอเพียงกินแล้วไม่ตาย สามารถเลื่อนขั้นได้ก็เป็นเรื่องดี
เพื่อป้องกันมดหนึ่งผลึกห้าตัวนี้เกิดมดราชินี จินเฟยเหยาจึงซื้อหินหยก ล้อมและปูพื้นหินหยกเป็นสถานที่เลี้ยงมดหนึ่งผลึก ไม่ให้สัมผัสถูกดิน ดูสิว่าพวกมันจะขุดรังให้กำเนิดมดเล็กๆ ได้อย่างไร
ตามวันเวลาที่ล่วงเลยไป ห้าปีต่อมา จินเฟยเหยากลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงนิดหน่อยในตลาดอิสระบนเกาะซ่างเซียน นางมาเดือนละครั้งเป็นประจำ แต่ละครั้งที่นางมาล้วนมีผู้บำเพ็ญเซียนรอคอยอยู่ด้านข้างช่วยนางจับจองสถานที่นานแล้ว
อาวุธเวทที่นางใช้ต้นทุนหลายร้อยศิลาวิญญาณหลอมสร้างออกมาล้วนขายออกไปในราคาหลายสิบหรือไม่กี่ศิลาวิญญาณ ไม่คิดจะหากำไร เพียงคิดจะขายออกไปได้เร็วๆ นำความผาสุกมาให้ผู้บำเพ็ญเซียนชั้นล่างที่ยากจนจำนวนมาก กลายเป็นหยวนต้าโถว[1]ที่ทุกคนเอ่ยถึง มีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยคาดเดาว่าจินเฟยเหยาเป็นบุตรีโทนในตระกูลใหญ่ ดังนั้นจึงปล่อยให้นางล้างผลาญเช่นนี้ได้
ถึงการค้าของจินเฟยเหยาจะดี ทว่าราคาที่นางขายยังชดเชยต้นทุนที่เสียไปไม่ได้ ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วผู้บำเพ็ญเซียนที่ตั้งแผงเหมือนกันจึงไม่ได้อิจฉานางเลย
คนที่อิจฉาคือคาดเดาฐานะนางได้ ทรัพย์สินในตระกูลมากมายขนาดนี้สามารถนำศิลาวิญญาณมาชดเชยการเล่นสนุกได้
ทางด้านซื่อเต้าจิงจินเฟยเหยาก็คาดไม่ถึง แค่ตรวจสอบเรื่องของหวาซีคนเดียว ตรวจสอบมาหลายปีก็ยังไม่ได้รับคำตอบ นางบอกแล้วชัดๆ ว่าหวาซีอาจจะเป็นคนของคฤหาสน์กุ่ยเม่ย พวกเขาก็ยังลากเวลามานานขนาดนี้ ไปหาพวกเขาถึงร้านหลายครั้ง ทุกครั้งล้วนบอกว่ากำลังตรวจสอบอยู่ ประสิทธิภาพต่ำจริงๆ
จินเฟยเหยาอยากเอามัดจำคืนไม่ตรวจสอบแล้ว นางสงสัยว่าด้วยความเร็วในการดำเนินการของซื่อเต้าจิง เนื้อหาที่อ่านในยามปกติล้วนเป็นเรื่องที่คนเหล่านั้นนั่งหลับหูหลับตาแต่งเรื่องโกหกขึ้นในตอนกลางคืนใต้หินแสงราตรี
ทว่าในขณะที่นางมีความคิดเช่นนี้ พลันได้รับคำพูดจากนกถ่ายทอดเสียงของซื่อเต้าจิงอย่างกะทันหัน คนที่ตรวจสอบกลับมาแล้ว สืบพบคนที่ชื่อว่าหวาซีผู้นี้แล้ว
จินเฟยเหยากระโดดผลุงทันที เรียกเรือปลาทองของเสี่ยวหมาง แล้วเร่งรุดไปเกาะซ่างเซียน
………………………………..
[1] หยวนต้าโถว คือ คำเรียกคนที่ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย เสียเปล่า