คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 141 ทำงานเป็นกลุ่ม

“พี่ใหญ่ เจ้าว่าพวกเราจะลงมือเมื่อใด?”

บนโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งในมุมดาดฟ้า มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสี่คนล้อมวงนั่งอยู่ เทียบกับบรรยากาศกลมเกลียวของผู้บำเพ็ญเซียนโต๊ะอื่นๆ บรรยากาศของโต๊ะนี้ย่ำแย่กว่ามาก ทั้งสี่คนล้วนกอดอกตีหน้าเย็นชามองโต๊ะอันว่างเปล่าเบื้องหน้า การกระทำประหลาด ดูแล้วไม่เข้ากับสภาพรอบด้าน

“เมื่อครู่ได้รับคำสั่งใหม่ ไม่อาจฆ่าปิดปากได้ทันที ต้องเค้นถามที่อยู่ของสตรีผู้หนึ่ง” หนึ่งในนั้นสีหน้าเคร่งเครียด เอ่ยกับอีกสามคนเบาๆ

ในพวกเขามีคนอ้วนนั่งอยู่คนหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทน “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เมื่อวานเพิ่งบอกว่าสังหารทันทีก็พอ วันนี้ต้องเค้นถามที่อยู่ของสตรีอีก เห็นพวกเราว่างไม่มีอะไรทำหรือ”

“เจ้าสาม อย่าพูดเหลวไหล ในเมื่อพวกเรารับศิลาวิญญาณมาแล้ว ผู้ว่าจ้างบอกอะไรพวกเราทำตามนั้นก็พอ” พี่ใหญ่สีหน้าเคร่งเครียดคนนั้นดุด่าเจ้าอ้วนสาม

เจ้าอ้วนสามเบ้ปากอย่างไม่พอใจ มองผู้บำเพ็ญเซียนโต๊ะข้างๆ คนเหล่านั้นกำลังดื่มกินอย่างเบิกบาน มองจนท้องเขารู้สึกหิวขึ้นมา

“พี่ใหญ่ บนเรือนี้มีคนไปมา เกรงว่าทำสำเร็จยาก ถ้าลอบสังหารจะสะดวกกว่า ถ้าต้องเค้นถามข้อมูล ต้องทำให้คนอื่นสังเกตเห็นแน่” ผู้บำเพ็ญเซียนที่หน้าตาสง่างามและอายุไม่มากเอ่ยขึ้น

คนทั้งสามมองพี่ใหญ่ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่อายุมากที่สุดและหน้าตาเคร่งเครียดที่สุด ส่วนพี่ใหญ่ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ย “รอจนออกทะเลพวกเราค่อยลงมือ นางออกทะเลเพื่อล่าสัตว์ปิศาจ ต้องมีโอกาสแน่ เจ้าสี่ ในที่นี้เจ้าหน้าตารื่นหูรื่นตาที่สุด เจ้าไปคุยกับนาง นัดนางออกไปล่าสัตว์ปิศาจพร้อมพวกเรา”

“อ้อ ได้” เจ้าสี่ที่หน้าตาสง่างามพยักหน้าตอบรับ

“เจ้าสาม สิ่งของที่ข้าให้เจ้าเตรียมก่อนหน้านี้เตรียมพร้อมหมดแล้วหรือไม่?” จากนั้นพี่ใหญ่ก็หันมาถามเจ้าสามร่างอ้วนฉุ

เจ้าอ้วนสามเอ่ยด้วยสีหน้างุนงง “เตรียมสิ่งของใด?”

คนทั้งสามหมดวาจา เจ้ารองที่ร่างกายกำยำใช้ฝ่ามือตบ “เจ้านี่อย่างไรนะ พวกเราให้เจ้าไปเตรียมยาและของใช้ออกทะเลมิใช่หรือ หรือว่าเจ้าไม่ได้ไปเตรียม?”

เจ้าสามลูบศีรษะหัวเราะหึหึ “มีอะไรต้องเตรียมกัน ซื้อบนเรือโดยตรงก็พอแล้ว”

“เจ้าคิดจะทำให้ข้าโมโหตายหรือ สิ่งของบนเรือแพงแทบตาย เจ้านึกว่าจะขายเหมือนในเมืองหรือ ตอนนี้เรือยังไม่ออก เจ้ารีบลงเรือไปซื้อให้ข้าเลยนะ บนท่าเรือก็มี” พี่ใหญ่ที่มีสีหน้าเคร่งเครียดมีโทสะแทบตาย รีบไล่เขาลงจากเรือ

เจ้าสามอ้วนยืนขึ้นอย่างไม่ยินยอม เพิ่งเตรียมตัวจะลงเรือ ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ปิศาจสองครั้ง ผู้บำเพ็ญเซียนค่อยๆ ทยอยยืนขึ้นและพุ่งมาข้างเรือ

พี่ใหญ่จนใจ ได้แต่เอ่ยว่า “ช่างเถอะ เรือจะออกแล้ว เจ้าลงไปตอนนี้ก็กลับมาไม่ทัน”

“พี่ใหญ่ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราก็แวะฆ่าสัตว์ปิศาจสักหลายตัวแลกเงินก็พอ” เจ้าสี่ไม่เคยออกทะเลมาก่อน ไม่รู้ว่าบนเรือชั่วร้ายมากเพียงใด จึงเอ่ยโน้มน้าวอยู่ด้านข้าง

“ช่างเถอะ ทุกคนจดจำไว้ยาวิญญาณที่มีในขณะนี้ต้องใช้อย่างประหยัด จับตาดูคนให้ข้า” พี่ใหญ่ถอนใจยาว โบกไม้โบกมือให้พวกเขา

จินเฟยเหยารู้เพียงตนเองถูกการรับรู้อันน่าขยะแขยงกวาดมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้ว่ามีคนมีเจตนาจะสังหารตนเอง ตอนนี้นางลากพั่งจื่อมายืนข้างเรือมองดูความครึกครื้นด้านล่าง

เรือศิลาทะเลค่อยๆ เคลื่อนออกจากท่าเรือไปในทะเล ไม่รู้ว่าเสียงคำรามของสัตว์เมื่อครู่ดังมาจากที่ใด เห็นเพียงเชือกบนตัวเรือถูกดึงจนตึง มีบางอย่างกำลังลากเรือศิลาทะเลไปในทะเล

หลังเรือศิลาทะเลออกจากท่า ก็เริ่มเร่งความเร็วขึ้น จากนั้นเห็นในทะเลสองฟากข้างเรือ เผยให้เห็นหลังปลาสีแดง จากนั้นก็จมลงไป

“พั่งจื่อ เจ้าเห็นหรือไม่ นั่นเป็นสัตว์ปิศาจอะไร?” หลังปลาที่เผยให้เห็นบนผิวทะเลเมื่อครู่ยาวหลายสิบจั้งเต็มๆ มองเห็นไม่ชัดว่าตัวอะไรลากเรือ

หลังเรือศิลาทะเลออกจากน้ำตื้นไปยังทะเลลึก น้ำทะเลพลันแยกออก ปลาทองขนาดมหึมาสุดเปรียบปานกระโดดออกจากผิวทะเล บนร่างของมันแขวนเชือกลากเรือไว้เต็มไปหมด หลังกระโดดขึ้นกลางอากาศก็สะบัดน้ำบนร่าง จากนั้นก็กระโดดลงในทะเลซ้ำไปซ้ำมา คลื่นกระเพื่อมขึ้นกระแทกบนเรือ สาดผู้บำเพ็ญเซียนที่ชมความครึกครื้นอยู่ข้างเรือจนเปียกปอนเป็นไก่ตกน้ำ

ไม่รอให้ทุกคนได้สติคืนมา ปลาทองอีกตัวก็กระโดดออกจากผิวทะเล คลื่นขนาดใหญ่ก็ซัดมาบนร่างของทุกคนอีกครั้ง จากนั้นปลาทองขนาดใหญ่กว่าเรือศิลาทะเลสองตัวก็เผยส่วนหลังสีแดงสดให้เห็นลากเรือศิลาทะเลว่ายไปในทะเลเปิดอย่างรวดเร็ว

“ฮ่าๆๆ เจ้าดูสภาพพวกเขาสิ ข้ารู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้” มีผู้บำเพ็ญเซียนที่ออกทะเลบ่อยๆ จำนวนไม่น้อยกำลังยืนอยู่ในห้องภายในเรือมองผู้บำเพ็ญเซียนขึ้นเรือใหม่ที่ยืนถูกคลื่นซัดจนเปียกปอนบนดาดฟ้าเรือจนมีสภาพกระเซิงกระเซิง พวกเขาก็อดหัวเราะไม่ได้

จินเฟยเหยาปาดน้ำบนใบหน้า มองพั่งจื่อแล้วหัวเราะเสียงดัง ในเมืองใช้ปลาทองตัวเล็กลากเรือ ออกทะเลเปิดคิดไม่ถึงว่าจะใช้ปลาทองตัวใหญ่ลากเรือ เรือปลาทองยักษ์แบบนี้ ตอนเผชิญกับสัตว์ทะเลในทะเลเปิด ไม่รู้ว่าจะมีวิธีป้องกันตัวอย่างไร

กลับมาเปลี่ยนชุดที่ห้อง จินเฟยเหยาก็มาดาดฟ้าเรืออีกครั้ง ปลาทองไม่ได้กระโดดอีก เพียงลากเรืออย่างเงียบๆ น้ำบนดาดฟ้าเรือถูกแสงอาทิตย์ส่องจนแห้ง ผู้บำเพ็ญเซียนที่ออกทะเลบ่อยๆ เหล่านั้นกลับมานั่งตรงโต๊ะเตี้ยอย่างวางใจแล้วสนทนาในหัวข้อก่อนหน้านี้ต่อไป

ลมทะเลพัดพาให้รู้สึกสบายจริงๆ ในยามนี้ถ้ามีสุราดื่มสักเล็กน้อยก็ยิ่งยอดเยี่ยม

ในขณะนี้เอง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมที่บัญชาการเรือศิลาทะเลมาถึงตึกชั้นบนสุดของตัวเรือเจ็ดชั้น เอ่ยกับผู้บำเพ็ญเซียนด้านล่างอย่างเหนือกว่า “สหายเซียนทุกท่าน ตอนนี้พวกเรามุ่งหน้าสู่ทะเลเปิด ยังไมได้กำหนดจุดหมายปลายทาง ทว่าจะไม่พาทุกคนไปสถานที่อันตรายเป็นพิเศษ แต่ขอเพียงเข้าสู่ทะเลเปิดก็จะพบกับสัตว์ปิศาจ ขอให้ทุกท่านระวังด้วย และขอแจ้งสหายเซียนที่ขึ้นเรือใหม่สักหน่อย ถ้ามีสัตว์ปิศาจโจมตีเรือศิลาทะเล ทุกคนต้องรับหน้าที่ปกป้องความปลอดภัยของเรือศิลาทะเล ซากสัตว์ปิศาจที่โจมตีสังหารได้จะตกเป็นของเรือศิลาทะเลทั้งหมด ดังนั้น ขอให้ทุกคนปล่อยวางบ้าง ถ้าไม่อยากทำ ข้าจะเชิญทุกท่านลงจากเรือทันที”

ปกป้องเรือศิลาทะเล? ผู้บำเพ็ญเซียนมากมายขนาดนี้ น่าจะต่อสู้ได้ไม่ยาก จินเฟยเหยาได้ยินแล้ว รู้สึกไม่เห็นเป็นอะไร ในทะเลที่กว้างใหญ่ ถ้าไม่มีเรือศิลาทะเล ทุกคนคงอยู่อย่างลำบาก

ผู้บำเพ็ญเซียนที่ออกทะเลครั้งแรก ล้วนมีความคิดเช่นเดียวกับนาง ไม่ได้ใส่ใจคำพูดของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม เพียงคิดอยากจะให้ถึงน่านน้ำล่าสัตว์โดยเร็วด้วยอารมณ์ฮึกเหิม จากนั้นก็หาเงินก้อนโต

ความเร็วในการลากเรือของปลาทองสองตัวเร็วกว่าจินเฟยเหยาใช้พรมบินเหาะเหิน หนึ่งวันขี่ลมโต้คลื่นรุดหน้าไปในทะเลได้หนึ่งพันหลี่

แต่พอมองบนทะเลอันกว้างใหญ่ที่ไม่มีสิ่งใดนานๆ ก็ทำให้คนรู้สึกเบื่อหน่าย จินเฟยเหยาเตรียมไปหาที่นั่งในห้องฝึกบำเพ็ญ คิดจะฝึกบำเพ็ญสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าตรงประตูห้องฝึกบำเพ็ญจะมีผู้รับใช้สตรีหน้าตางดงามคนหนึ่งยืนอยู่ นั่งสมาธิที่เบาะกลมหนึ่งเบาะครั้งหนึ่งต้องจ่ายหนึ่งพันศิลาวิญญาณชั้นล่าง

จำนวนที่นั่งมีไม่มาก ทว่าใครก็ไม่อาจจ่ายศิลาวิญญาณหนึ่งพันก้อนแล้วยึดเบาะกลมไว้ไม่ปล่อย นั่งฝึกบำเพ็ญตลอดเวลาไม่ทำอย่างอื่น

จินเฟยเหยามองใบหน้าอันงดงามของผู้รับใช้แล้วหมุนกายเดินจากไป ดาดฟ้ากว้างขวาง จะหาที่ฝึกบำเพ็ญไม่ได้เลยหรือ

มีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยนั่งอยู่บนดาดฟ้าจริงๆ แต่คนที่ฝึกบำเพ็ญมีค่อนข้างน้อย คนที่ครุ่นคิดจนเคลิบเคลิ้มมีมากกว่า ตอนฝึกบำเพ็ญถูกคนรบกวนอาจจะเกิดธาตุไฟเข้าแทรกจนเข้าสู่หนทางมาร ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าฝึกบำเพ็ญต่อหน้าคนมากมายบนดาดฟ้าจริงๆ

สี่พี่น้องที่จับตาดูจินเฟยเหยาเพื่อเงินรางวัลมาตลอด นึกว่าจินเฟยเหยาจะนั่งฝึกบำเพ็ญบนดาดฟ้าจริงๆ ยังเตรียมตัวแกล้งโง่เดินผ่าน จงใจทำทำให้นางธาตุไฟเข้าแทรกได้รับบาดเจ็บ ผู้ใดจะคิดว่าจินเฟยเหยาจะไม่โง่เขลา หาโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งนั่งลงแทน

เห็นนางและกบตัวใหญ่อยู่บนโต๊ะเตี้ย ดื่มสุรากินถั่วลิสง ในใจคนทั้งสี่อดเกิดความไม่พอใจไม่ได้ พี่ใหญ่ผลักเจ้าสี่ ให้เขาทำตามแผนการ

เจ้าสี่พยักหน้า จัดแจงเสื้อผ้าและผมเผ้า ให้ตนเองดูอ่อนโยนใจดี จากนั้นเดินเข้าไปหาจินเฟยเหยา

“สหายเซียนท่านนี้ ข้านั่งด้วยได้หรือไม่?” เขาเดินมาถึงหน้าโต๊ะของจินเฟยเหยา แล้วเอ่ยถามอย่างมีมารยาท

จินเฟยเหยามองเขาอย่างประหลาดใจ มองไปรอบด้าน ยังมีโต๊ะเล็กว่างอยู่ ความรู้สึกแปลกใหม่ในการออกทะเลผ่านพ้นไปแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมาก คนที่กลับห้องก็กลับห้อง คนที่จะฝึกบำเพ็ญก็ไปฝึกบำเพ็ญ ที่โต๊ะเตี้ยบนดาดฟ้าไม่มีคนมากมายขนาดนั้นแล้ว เห็นเขาหน้าตาไม่ขัดตา นางจึงเอ่ยว่า “ได้ เชิญนั่ง”

หลังจากเจ้าสี่เอ่ยขอบคุณแล้วนั่งลง จินเฟยเหยาก็ไม่ถามเขาว่าจะทำอะไร เพียงแต่กินถั่วลิสงกับสุราบนโต๊ะต่อไป เดิมทีเจ้าสี่คิดจะรอให้จินเฟยเหยาเอ่ยปากก่อน ทว่ารออยู่นานก็ไม่เห็นนางพูด ได้แต่เอ่ยก่อนว่า “สหายเซียนท่านนี้ ข้าเหมือนเห็นว่าเจ้าขึ้นเรือมาคนเดียว”

“ใช่ ข้าถือว่าตัวคนเดียว ถ้าไม่นับกบตัวนี้” จินเฟยเหยาเคี้ยวถั่วลิสง เอ่ยตอบตามความจริง

เรื่องประเภทผู้บำเพ็ญเซียนประเภทตัวคนเดียวรวมกลุ่มกันจากนั้นนัดออกไปล่าสัตว์ปิศาจมีอยู่มากมาย ในขณะที่จินเฟยเหยานั่งเอ้อระเหยอยู่ที่นี่ ด้านข้างก็มีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยพูดคุยกันนัดออกล่าสัตว์ปิศาจด้วยกัน

ส่วนมากเป็นคนที่ออกทะเลมาหลายรอบ ไปนัดผู้บำเพ็ญเซียนที่ดูแล้วมีความแข็งแกร่งไม่เลวมาเข้าร่วม ส่วนจินเฟยเหยาเนื่องจากเป็นสตรี ดังนั้นคนที่มานัดจึงมีไม่มาก อย่างไรเสียก็เป็นกิจกรรมล่าสัตว์ที่เกี่ยวพันถึงชีวิต ไม่ได้เอ่ยวาจาฝากรักในสวนดอกไม้หลังบ้าน คนบ้ากามก็มีไม่มาก คนส่วนมากจะไม่ยอมพาตัวถ่วงไป

ไม่ว่าสถานที่ใดการแบ่งพรรคแบ่งพวกล้วนมีให้เห็นทุกที่

ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มที่เดินมานั่งเบื้องหน้าตนเองคนนี้ จินเฟยเหยาสังเกตเห็นแต่แรก เนื่องจากพวกเขารวมกลุ่มอยู่สี่คน ตอนมองปลาทองก็ถูกน้ำทะเลสาดเปียกเช่นเดียวกัน ดังนั้นน่าจะออกทะเลเป็นครั้งแรก ทว่าผู้อื่นขึ้นเรือมาพร้อมกันสี่คน ปลอดภัยกว่าการเข้าร่วมกลุ่มกับผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ชั่วคราวนิดหน่อย ดังนั้นทำให้จินเฟยเหยาอิจฉาอยู่บ้าง

นางก็อยากมีคนช่วย ออกล่าสัตว์ด้วยกันง่ายดายกว่ามาก

เจ้าสี่เห็นจินเฟยเหยาไม่ได้แสดงสีหน้ารังเกียจอะไร จึงเอ่ยถามอีกว่า “สหายเซียนท่านนี้ ในเมื่อขึ้นเรือมาคนเดียว จะเข้าร่วมกับพวกเราไปล่าสัตว์ปิศาจด้วยกันหรือไม่ คนมากสามารถดูแลกันได้”

“พวกเจ้าสี่คนเป็นสหายกัน?” จินเฟยเหยาเอียงศีรษะไปมองสามคนนั้นที่อยู่ไกลๆ แล้วถามเขาทันที

“พวกเราเป็นพี่น้องต่างแซ่ ข้าอยู่อันดับสี่ พวกเขาเรียกข้าว่าเจ้าสี่” เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องโกหก เจ้าสี่จึงเอ่ยอย่างจริงใจ

จินเฟยเหยามองพินิจพวกเขา พลังการบำเพ็ญเพียรใกล้เคียงกัน ขั้นสร้างฐานช่วงกลางและช่วงปลาย ถ้าออกล่าสัตว์ปิศาจด้วยกัน น่าจะง่ายดายขึ้นมาก เพียงแต่พวกเขาล้วนรู้จักกัน หลังออกห่างจากกลุ่มคนเยอะๆ คงไม่รวมหัวกันสังหารนางหรอกนะ

จินเฟยเหยาครุ่นคิด จากนั้นส่ายศีรษะเอ่ยว่า “ขอบคุณสหายเซียนที่มีเจตนาดี เพียงแต่พวกเจ้าทั้งหมดเป็นบุรุษ ข้าไม่สะดวกจะอยู่ร่วมกับพวกเจ้า สหายเซียนหาผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นเถอะ”

เจ้าสี่ผิดหวังอย่างยิ่ง เรื่องนี้เขาก็เคยเอ่ยถึงหลายครั้ง หวังจะเรียกผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่รู้จักครั้งที่แล้วมาเข้าร่วม จับคู่ชายหญิง ทำงานไม่เหนื่อย เพียงแต่พี่ใหญ่คัดค้านมาตลอด บอกว่าสตรีเรื่องเยอะน่ารำคาญ ตอนนี้ดีเลย แม้แต่เป้าหมายยังรังเกียจว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นบุรุษ ไม่ยอมเข้าร่วมกับพวกเขา

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset