คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 148 ขอหนังเสือจากเสือ

ผ่านไปนานมาก จินเฟยเหยาจึงค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา พอฟื้นนางก็รีบลูบคลำไปมาบนร่าง กลัวว่าตนเองจะมีอะไรขาดหายไป

โชคดีแขนขายังอยู่ครบ ค่อยตรวจสอบภายในร่างกาย ไฟนรกในการรับรู้ก็ยังอยู่ครบสมบูรณ์ แม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมยังไม่มีร่องรอยถูกกัด

หลังจากจินเฟยเหยาถอนใจโล่งอกอย่างหนักหน่วง จึงพบว่าตนเองนอนอยู่ข้างสระโลหิต พริบตานางก็หวาดกลัวจนล้มลุกคลุกคลาน รีบหนีออกไปอย่างรวดเร็ว ในห้วงสับสนลนลานเท้าเหยียบโดนอะไรบางอย่างจึงล้มลงไปบนพื้น พอเงยหน้าขึ้นดู บนพื้นถึงกับมีคนนอนเลือดหยดอยู่ มีแต่ลมหายใจออกไม่มีลมหายใจเข้า

จินเฟยเหยามองดูอย่างละเอียด จำได้ว่าเขาคือพี่ใหญ่ในจำนวนสี่คนนั้น นางจึงเอ่ยอย่างไม่สงสารสักนิด “เจ้าดวงแข็งนะ เป็นแบบนี้ยังคลานขึ้นมาได้ แต่เห็นเจ้าบาดเจ็บจนกลายเป็นแบบนี้ เกรงว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน”

พี่ใหญ่ที่นอนอยู่บนพื้นไม่ขยับเลยสักนิด ไม่รู้ว่าไม่ได้ยินคำพูดของนางหรือปราศจากเรี่ยวแรงจะปฏิเสธ

บุรุษเผ่ามารในสระโลหิตมองจินเฟยเหยาอยู่ตลอดเวลา เห็นนางฟื้นแล้วยังหนีไปอย่างล้มลุกคลุกคลานอีก ในใจเขายิ่งไม่รู้สึกประทับใจนาง เหตุใดผู้ฝึกบำเพ็ญจึงมีพฤติกรรมที่รับไม่ได้แบบนี้ เป็นสตรีจะไม่มีบุคลิกได้อย่างไร มองดูอย่างไรก็ขัดตา

แต่ตนเองมีเรื่องต้องใช้งานนางจริงๆ ได้แต่หลอกล่อก่อน “คุณภาพไฟนรกของเจ้าไม่เลว ถือว่าข้าพอใจ ตอนนี้พวกเรามาพูดคุยธุระกัน”

“เจ้าทำอะไรข้า” จินเฟยเหยาขวางสองมือไว้บนหน้าอก เอ่ยถามอย่างระแวดระวัง

บุรุษเผ่ามารส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา “หน้าตาอย่างเจ้า ยังไม่มีคุณสมบัติล้างเท้าให้ข้าเลย ไม่ต้องคาดหวังว่าข้าจะทำอะไรเจ้า นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนอย่างเจ้าจะคิด”

“ใครคาดหวังกันเล่า! คนหลงตัวเอง ไม่ดูสภาพตนเองในตอนนี้บ้าง มีอะไรให้หยิ่งยโสกัน” จินเฟยเหยาไม่กล้าพูดเสียงดัง ได้แต่พึมพำเบาๆ

ต่อให้จินเฟยเหยาเสียงเบา บุรุษเผ่ามารก็ยังได้ยินเสียงพึมพำของนาง ทว่าคร้านจะเอาเรื่องมดแมลงอย่างนาง คนที่อยู่เหนือกว่า จะไม่จริงจังกับมด ปล่อยไปหรือฆ่าทิ้ง ไม่ต้องใช้ความคิดเลยสักนิด

“เจ้าเพียงฝึกบำเพ็ญเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญ แต่ไม่ได้ฝึกบำเพ็ญเคล็ดวิชาสร้างร่างมาร ต่อไปเมื่อเจ้าใช้เจ็ดวิญญาณรวมจิตก็จะถูกไฟนรกกลืนกินเนื่องจากร่างกายทนรับพลังของไฟนรกไม่ไหว ตกตายด้วยน้ำมือของตนเอง ข้านำเคล็ดวิชาสร้างร่างมารมาทำข้อตกลงกับเจ้า เจ้าครุ่นคิดดู” บุรุษเผ่ามารเอ่ยอย่างสงบนิ่ง

จินเฟยเหยาตกตะลึง เจ็ดวิญญาณรวมจิตที่บุรุษเผ่ามารผู้นี้เอ่ยถึง เป็นเวทมนตร์เพียงอันเดียวที่หลังฝึกบำเพ็ญถึงขั้นหลอมรวมสามารถเรียนได้จากในเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญ

ตนเองใช้เจ็ดวิญญาณรวมจิตไม่ได้? นางไม่เข้าใจข่าวนี้อยู่บ้าง ดังนั้นจึงเอ่ยถามอย่างใจกล้า “เพราะเหตุใดต้องเรียนเคล็ดวิชาสร้างร่างมารด้วย ต่อให้ข้าใช้เจ็ดวิญญาณรวมจิตไม่ได้ ข้าใช้เวทมนตร์อย่างอื่นได้ก็พอ เคล็ดวิชาที่ฟังดูมึนงงนี้ คงมิใช่ต้องฝึกบำเพ็ญเป็นมารหรอกนะ”

“ฮึ เจ้าจะรู้อะไร ไม่คิดจะใช้เจ็ดวิญญาณรวมจิต หรือเวทมนตร์อีกสองชนิดต่อมาก็ไม่คิดจะใช้ด้วย? เดิมทีเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญก็เป็นเคล็ดวิชาชนิดหนึ่งของเผ่ามารเรา อานุภาพของไฟนรกดุร้ายยิ่ง ดังนั้นเจ้ากินและใช้ยาเสริมสร้างร่างกายตามที่จดบันทึกไว้ในเคล็ดวิชาจึงยืดหยัดมาจนถึงตอนนี้ได้เท่านั้น ถ้าเจ้าไม่ฝึกเคล็ดวิชาสร้างร่างมาร อย่าว่าแต่ใช้เวทมนตร์เลย แม้แต่เรียกไฟนรกออกมา ตัวเจ้าเองก็ต้องถูกไฟนรกเผาตายไปด้วย?” บุรุษเผ่ามารส่งเสียงขึ้นจมูกเอ่ยอย่างดูแคลน

จินเฟยเหยารับฟังจนหนังศีรษะชา ในอดีตตอนแรกนางเคยถูกไฟนรกเผามาแล้วหนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นไฟนรกที่ยังไม่ได้ฝึกบำเพ็ญ เพียงแต่นี่คือคนเผ่ามาร ทุกคนบอกมาตลอดว่าพวกเขาทั้งชั่วร้ายทั้งป่าเถื่อน คำพูดของคนเช่นนี้จะเชื่อถือได้หรือไม่

สามารถบอกได้ว่าจินเฟยเหยาตอนเด็กๆ คำพูดที่ผู้ใหญ่นำมาขู่ขวัญนางเป็นประจำก็คือ ถ้านางไม่เชื่อฟัง เผ่ามารจะมาจับตัวไปกิน ภาพคนเผ่ามารกินเด็ก ฝังลึกในใจของเด็กน้อยในโลกระดับดินมาตลอด จะให้จินเฟยเหยาเชื่อถือเขาทันที เป็นเรื่องยากอยู่บ้าง

“ถ้าฝึกเคล็ดวิชาสร้างร่างมารถึงขั้นสูงสุด สามารถทำให้กระดูกและเนื้อหนังทั้งหมดของเจ้ากลายเป็นร่างสวรรค์สร้างราวกับของวิเศษชั้นยอด พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ต่อให้เจ้าตายแล้ว ขอเพียงหยิบกระดูกชิ้นหนึ่งของเจ้ามาก็สามารถใช้เป็นของวิเศษชั้นยอดได้ ต่อให้ไม่มีการป้องกันเจ้าสามารถใช้กายเนื้อไปต้านทานการโจมตีด้วยเวทมนตร์และของวิเศษได้” บุรุษเผ่ามารเชื่อมั่นว่า ไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนคนใดสามารถต้านทานความเย้ายวนเช่นนี้ได้

จินเฟยเหยาได้ยินยังหวั่นไหวอยู่บ้างจริงๆ นางยื่นมือไปหาบุรุษเผ่ามารแล้วเอ่ยว่า “ข้ามีสิบนิ้วก็หมายถึงถ้าข้าฝึกบำเพ็ญจนบรรลุเคล็ดวิชาสร้างร่างมารขั้นสูงสุด สิบนิ้วของข้าก็จะไม่ใช่สิบนิ้ว ทว่าเป็นของวิเศษชั้นยอด?”

บุรุษเผ่ามารไม่เข้าใจความหมายของนาง ทว่ายังตอบรับ “ใช่ ทั้งหมดล้วนเป็นของวิเศษชั้นยอด” จากนั้นก็เห็นจินเฟยเหยานับนิ้ว “ถ้าเป็นเช่นนี้ ขายนิ้วเล็กๆ ไปสองนิ้วน่าจะแลกพื้นที่มิติที่ไม่มีความสามารถอะไรได้ชิ้นหนึ่ง แต่แบบนี้มือสองข้างจะน่าเกลียดไปหน่อยหรือไม่ ใช้นิ้วเท้าแลกก็แล้วกัน”

บุรุษเผ่ามารตกตะลึงอย่างรุนแรง เขามีชีวิตอยู่มานับหมื่นปี ถือว่าตนเองมีความรู้กว้างขวาง ไม่มีเรื่องหรือคนประหลาดอะไรที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนโลภสมบัติแบบนี้ ถ้ารักสมบัติและมีความแข็งแกร่ง อยากได้สิ่งของก็น่าจะคิดปล้นชิงก่อนมิใช่หรือ ยายนี่ถึงกับคิดจะตัดนิ้วตนเองไปแลกเงินก่อน

รอจนจินเฟยเหยานับนิ้ววางแผนการเสร็จสิ้น นางก็เอ่ยถามอย่างยินดี “ว่ามา เจ้าคิดจะให้ข้าช่วยทำอะไร?”

บุรุษเผ่ามารสะกดความยินดีปรีดาในใจไว้ เอ่ยอย่างเย็นชาดังเดิม “ข้าอยากให้เจ้าใช้ไฟนรกเผาทำลายหินผลึกสีดำเหนือศีรษะข้า อย่างอื่นไม่จำเป็น”

“ว้าว เจ้าพูดเสียง่ายดาย เจ้าไม่บอกตรงๆ เลยล่ะว่าปล่อยข้าไปที อีกอย่างเจ้าเป็นคนเผ่ามาร ถ้าปล่อยเจ้าแล้ว เจ้าคงไม่หันมากินข้าบำรุงร่างกายหรอกนะ?” จินเฟยเหยาตกตะลึงไม่เบา นางเคยคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย กลับคิดไม่ถึงว่าต้องช่วยเขาออกไป คิดไม่ถึงว่าไฟนรกจะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ นางสามารถเรียกผลประโยชน์เพิ่มได้นิดหน่อย

แต่ผลประโยชน์นี้ไม่อาจมากเกินไป ถ้าบีบคั้นมากๆ คิดฆ่าคนขึ้นมาก็ยุ่งแล้ว จินเฟยเหยายังไม่ลืม เมื่อครู่บุรุษเผ่ามารเพียงแค่ใช้ดวงตาก็เกือบจะบีบคอนางตาย

ดังนั้น จินเฟยเหยาจึงแสดงท่าทางลังเลตัดสินใจไม่ได้ เอ่ยพึมพำ ว่า “นี่…ไม่ค่อยดีกระมัง ถ้าให้คนอื่นรู้เข้าว่าข้าปล่อยคนเผ่ามารไป จะถูกสำนักฝ่ายธรรมะจับมัดเผาไปด้วยหรือไม่?”

เห็นจินเฟยเหยาพึมพำ กลับใช้สายตามองเขาไม่หยุด บุรุษเผ่ามารพลันรู้สึกว่าน่าขำ จะเอาเปรียบอีกชัดๆ คิดไม่ถึงว่าจะขอหนังเสือจากเสือ[1] มีความกล้าไม่เบา

“ข้าจะให้โลหิตตานมารหนึ่งหยด ตอนเจ้าเจี๋ยตัน สามารถเพิ่มโอกาสเจี๋ยตันได้ถึงครึ่งหนึ่ง” บุรุษเผ่ามารเอ่ยอย่างใจกว้าง โลหิตตานมารหนึ่งหยดถึงจะสำคัญ ทว่าดีกว่าการถูกกักขังอยู่ที่นี่ตลอดมากนัก ผู้ครอบครองไฟนรกสามารถปรากฏตัวขึ้นที่นี่ หาได้ยากยิ่ง

ในหลายพันปีมานี้ตนเองจับผู้บำเพ็ญเซียนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง คนที่สามารถผ่านปิศาจโลหิตในการป้องกันด้านล่างได้อย่างราบรื่น ก็มีไม่น้อย สิ่งของที่แลกมาทั้งหมดใช้สำหรับบำรุงและซ่อมแซมร่างกาย น่าเสียดายที่ไม่พบผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูง ไม่ได้วัตถุดิบชั้นดีมา คิดจะอาศัยกำลังของตนเองคลายการคุมขัง เกรงว่าต้องใช้เวลานับหมื่นปีจึงทำได้

เขาให้สิ่งของมากมายแก่ผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ที่โลภโมโทสัน อย่างไรเสียสำหรับเขาแล้ว สิ่งของใดก็ไม่สำคัญเท่ากับการได้ออกไป

โลหิตตานมารที่สามารถเพิ่มโอกาสในการเจี๋ยตันครึ่งหนึ่ง ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นสิ่งของใด ทว่าขอเพียงยกระดับการเจี๋ยตันได้ก็พอ จินเฟยเหยาเอ่ยปากตะโกนทันที “ข้ารับ…”

“อย่ารับปากเขา!” ไม่รอให้จินเฟยเหยาเอ่ยจบ พี่ใหญ่ที่นอนอยู่บนพื้นมาตลอดพลันเป็นศพลุกได้

หลังจากเขาพยายามตะโกนเสียงดัง ก็หยัดกายขึ้น จากนั้นถ่มโลหิตออกมาหลายคำ จึงเอ่ยกับจินเฟยเหยาที่ตะลึงงันอย่างกระหืดกระหอบ “เจ้าปล่อยเขาไปไม่ได้ เขาเป็นคนเผ่ามาร อยู่ร่วมโลกกับพวกเราไม่ได้ คนเผ่ามารสังหารผู้บำเพ็ญเซียนของพวกเรามากมายขนาดนี้ จะปล่อยเขาไปได้อย่างไร ไม่ได้เด็ดขาด เจ้ามีฐานะเป็นผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ คิดจะทรยศเผ่ามนุษย์หรือ!”

“ตัวเจ้าเองก็มิใช่คนดีงามอะไร เมื่อครู่ยังคิดจะฆ่าข้า คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะเอ่ยคำพูดที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมออกมา? เจ้าบ้าหรือเปล่า” จินเฟยเหยามองเขาอย่างประหลาดใจ เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นมีคุณธรรมขึ้นมาอย่างกะทันหัน

พี่ใหญ่ไอเป็นโลหิตออกมา คลานมาหาจินเฟยเหยาอย่างยากลำบาก “ไม่ว่าระหว่างพวกเราเผ่ามนุษย์จะมีบุญคุณความแค้นอะไร ทว่าก็สมควรร่วมกันต่อต้านเผ่ามาร หรือว่าแม้แต่เหตุผลข้อนี้เจ้าก็ไม่เข้าใจ พวกเราเป็นเผ่าเดียวกัน พวกเขาเป็นคนเผ่าอื่น!”

เห็นท่าทางเดือดดาลของเขา จินเฟยเหยาก็ถอยหลังไปหลายก้าว ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ในยามนี้เอง บุรุษเผ่ามารที่มองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา พลันเอ่ยปากว่า “หลังจากข้าออกไปได้ ถ้ามีโอกาสเจ้าก็มาหาข้าที่โลกเผ่ามาร ข้าสามารถให้พื้นที่มิติแก่เจ้าหนึ่งชิ้น”

“จริงหรือ!” จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“แน่นอน ด้วยพลังการบำเพ็ญเพียรของข้า ยังจะหลอกเจ้าหรือ?” บุรุษเผ่ามารยิ้มอย่างเยียบเย็น

“ถุย! เจ้าคนเผ่ามารที่ไร้ยางอาย เจ้านึกว่าผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์จะทำเรื่องทำร้ายเผ่ามนุษย์เพื่อประโยชน์เพียงเล็กน้อยแค่นี้หรือ? เจ้าดูถูกพวกเรามากไปแล้ว!” พี่ใหญ่พ่นโลหิตตะโกนด่าทอเสียงดัง

จากนั้นก็เห็นบุรุษเผ่ามารหัวเราะ “ผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ของพวกเจ้า ไม่รู้ว่าแลกผลประโยชน์มากมายเพียงใดไปจากข้า เจ้ามีคุณสมบัติอะไรมาเห่าหอนที่นี่ ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าที่นี่สามารถแลกของดีได้ เจ้าจะพยายามเข่นฆ่าปิศาจโลหิตมากมายปานนั้นพุ่งขึ้นมาทำไม? ข้าไม่ได้เรียกเจ้าเสียหน่อย”

“อะไรนะ? ที่แท้เจ้ารู้แต่แรกว่าที่นี่สามารถแลกของดีได้ ยังมีหน้ามาว่าข้า หน้าไม่อายจริงๆ” จินเฟยเหยามองพี่ใหญ่อย่างเมินเฉย และเต็มไปด้วยสีหน้าดูแคลน คนเหล่านี้ช่างเสแสร้งเก่งจริงๆ

พี่ใหญ่จนวาจาไปชั่วขณะ จากนั้นเอ่ยปฏิเสธเสียงดัง “ข้าเคยได้ยินมา ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นเพียงนำวัตถุดิบและยามาแลกสิ่งของ แต่ถ้าเจ้าจะปล่อยเขาไป ไม่ได้อย่างเด็ดขาด”

“ความหมายของเจ้าคือ ถ้าขังเขาไว้ที่นี่ แลกผลประโยชน์เล็กน้อยก็ไม่มีปัญหา ถ้าข้าปล่อยเขาไป ได้ของดีนิดหน่อยคือชั่วร้ายอย่างยิ่ง? เจ้านี่ขี้อิจฉาล้วนๆ เลยนะ แล้วก็ สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดคือคนอย่างพวกเจ้า การกระทำน่าขยะแขยงจริงๆ” จินเฟยเหยาย่อกายลง มองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง

หลังจากเอ่ยคำพูดเหล่านี้จบ จินเฟยเหยาก็ยืนขึ้นเตะพี่ใหญ่อย่างกะทันหัน เท้านี้เตะเขาลงไปจากยอดเขาเห็ด

จากนั้นนางหันกายมา ยิ้มพลางเอ่ยอย่างอ่อนหวานกับบุรุษเผ่ามาร “เจ้าต้องรักษาสัญญานะ”

…………………………………

[1] ขอหนังเสือจากเสือ หมายถึง หารือกับคนชั่วว่าจะขอผลประโยชน์จากเขา ซึ่งแน่นอนว่าทำไม่ได้

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset