ในช่วงที่จินเฟยเหยามองเหม่อ จินเฟยหยางและคนชุดดำอีกสองคนก็เข้าไปในเมือง นางจึงรีบตามไป พอเข้าไปในเมืองกลับพบว่าพวกเขาหายไปแล้ว
จินเฟยเหยาไม่ได้คิดจะเข้าไปทักทายนับญาติ เพียงแต่สงสัยว่าจินเฟยหยางมาที่โลกวิญญาณเป่ยเฉินได้อย่างไร และถ้านางดูไม่ผิด บนร่างจินเฟยหยางมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานช่วงปลาย นี่ทำให้นางอยากตามไปทำความเข้าใจสาเหตุที่สำคัญ
ถึงแม้โลกวิญญาณเป่ยเฉินจะสามารถทำให้คนที่มีพลังวิญญาณเทียมฝึกบำเพ็ญได้ ทว่าทำให้พลังการบำเพ็ญเพียรเลื่อนขั้นจนสูงกว่าจินเฟยเหยาภายในเวลาสั้นๆ นางก็ขบคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ
ไม่มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสูงคนใดรับคนที่มีพลังวิญญาณเทียมเป็นศิษย์ ทั้งยังลงแรงและใช้เงินมหาศาลเพื่อยกระดับพลังการบำเพ็ญเพียรของเขา มีความรู้สึกว่าเสียเวลา สุ่มรับศิษย์ที่มีพลังวิญญาณดินสักคนยังมีประสิทธิภาพดีกว่ามาก
“หรือว่าที่จริงเขาไม่ได้มีพลังวิญญาณเทียม ทว่าเป็นพลังวิญญาณผันแปรที่ถูกซ่อนไว้? ดังนั้นคนในโลกระดับดินจึงดูไม่ออกทำให้เขาถูกกลบฝังมาตลอด บางทีตอนอยู่เมืองลั่วเซียนเขาอาจจะได้พบผู้บำเพ็ญเซียนของโลกวิญญาณ เห็นว่าเจ้าเด็กนี้เป็นอัจฉริยะที่คู่ควรแก่การปลูกฝัง ดังนั้นจึงพาเขาไปอย่างมองการณ์ไกล?” จินเฟยเหยาคิดไปคิดมา ก็ตัดสินใจไปหาจินเฟยหยาง ดูว่าเป็นเรื่องราวใด
นางเก็บพัดในมือ แล้วเข้าไปค้นหาในเมือง
เมืองปาทงยังรักษากลิ่นอายเผ่ามารไว้อย่างเข้มข้น บ้านเรือนไม่เหมือนกับสถานที่อื่นๆ ทั้งหมดเป็นบ้านรูปสี่เหลี่ยมซึ่งก่อจากกองศิลาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ หลังคาก็เป็นหลังคาแบนราบที่ใช้หินก้อนใหญ่ปิดไว้ บนหลังคามีเชือกขึง เต็มไปด้วยเสื้อผ้าที่ซักแล้วและเครื่องนอนสีสันสดใสแขวนตากแดด ทั้งยังมีปลาเค็มและเนื้อตากแห้ง
นอกหน้าต่างบ้านของที่นี่ ล้วนมีผ้าสีสันสดใสแขวนไว้ที่ชายคาหน้าต่าง สีแดง สีเขียว สีฟ้า หลากสีสันดูแล้วได้อารมณ์ชนต่างเผ่า ในด้านการสวมใส่เสื้อผ้าไม่แตกต่างจากสถานที่อื่นมากนัก เพียงแต่สีสดกว่า ลวดลายตามยาวและลวดลายตาหมากรุกจะเยอะหน่อย
จินเฟยเหยาค้นหาตามถนนและตรอกซอกซอยในเมืองก็ไม่พบจินเฟยหยาง แต่เข้าเมืองนอกจากทำธุระแล้วจากไปทันที ไม่เช่นนั้นก็น่าจะหาโรงเตี๊ยมพัก ต่อให้ไม่ต้องนอน ในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนก็ไม่อาจเป็นขอทานนั่งยองๆ ตรงมุมกำแพง
แต่พวกเขาจะพักอยู่ที่ใด? จินเฟยเหยาถืดพัดเคาะลงบนมืออย่างไม่ต่อเนื่อง เดินพลางครุ่นคิดอย่างช้าๆ
จริงสิ เห็นพวกเขาสามคนเดินอย่างเร่งร้อน ทั้งยังสวมชุดยาวสีดำทำท่าทางลับๆ ล่อๆ ต้องทำเรื่องที่ให้คนพบเห็นไม่ได้แน่ ข้าคิดว่า…เพื่อไม่ให้ดึงดูดสายตาคน พวกเขาน่าจะไปหาโรงเตี๊ยมเล็กๆ อยู่
จินเฟยเหยากุมพัด ขณะตัดสินใจจะเดินเข้าไปหาโรงเตี๊ยมในซอยเล็กๆ ก็เห็นหน้าประตูโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่มีรถราวิ่งขวักไขว่แห่งหนึ่งเบื้องหน้าไม่ไกลนัก มีคนสวมชุดยาวสีดำปรากฏขึ้น พวกเขามาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม มองไปรอบด้านราวกับมีเจตนาและไร้เจตนา จากนั้นก็เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม
“บังเอิญขนาดนี้เชียว…” จินเฟยเหยาเบ้ปาก คนเหล่านี้นี่จริงๆ เลย เหตุใดจึงไม่ทำตามหลักสามัญสำนึกนะ คิดไม่ถึงว่าจะหาโรงเตี๊ยมที่ใหญ่และมีคนมากมายขนาดนี้ แต่พอดีเลย คนที่สวมเสื้อผ้าลักษณะอย่างข้า ถ้าเข้าไปอาศัยในโรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่สกปรกต้องสะดุดตาคนและไม่สะดวกในการจับตาดูพวกเขาแน่
จินเฟยเหยามาถึงหน้าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เงยหน้าขึ้นมองป้ายร้านด้านบน โรงเตี๊ยมปาทงเซียนไถ
ตึกศิลาสูงหกชั้น ด้านที่หันหน้าเข้าหาถนนมีหน้าต่างห้าสิบบาน เหนือหน้าต่างแต่ละบานล้วนมีชายคาผ้าสีเขียวสลับขาว และผ้าม่านลายตารางหมากรุกแบบเดียวกันห้อยลงมาจากนอกหน้าต่างที่เปิดไว้จำนวนมาก ลมพัดมาคราหนึ่งก็ปลิวขึ้นมาพร้อมกัน
ยามนี้จินเฟยเหยาจึงพบว่าในเมืองปาทงลมแรงจริงๆ ไม่มีอะไรลมก็พัด ราวกับอยู่ตรงช่องลม มิน่าเล่าคนที่นี่จึงชอบใช้ผ้าสีสันสดใสทำเป็นชายคาหน้าต่าง ถ้าแขวนสีขาวไว้บนบ้านศิลา จากนั้นจับคู่กับผ้าม่านสีขาวอีก ลมพัดมาทีก็ปลิวไสว ยืนมองอยู่ไกลๆ ยังนึกว่าหน้าต่างแขวนผ้าอ้อม
อีกทั้งยังใช้ผ้าทำเป็นชายคา ต่อให้ถูกลมพัดร่วงลงมา ก็ไม่กระแทกทำให้คนบาดเจ็บ ลดเรื่องยุ่งยากไปได้ไม่น้อย
ประตูทางเข้าโรงเตี๊ยมปาทงเซียนไถมีคนไปมา ส่วนมากล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ส่วนที่เหลือเป็นบุตรหลานตระกูลร่ำรวยที่อยากสัมผัสปราณเซียน
จินเฟยเหยาโบกพัดก้าวข้ามธรณีประตูสูงเข้ามาในร้าน โรงเตี๊ยมปาทงเซียนไถก็เหมือนโรงเตี๊ยมอื่นๆ ด้านบนเป็นที่พักอาศัย ชั้นหนึ่งเป็นที่รับประทานอาหารและรับรองแขก ส่วนสวนด้านหลังไว้ปล่อยม้าพาหนะ
“เสี่ยวเอ้อร์ เอาห้องชั้นบนให้ข้าห้องหนึ่ง” จินเฟยเหยาบอกเสี่ยวเอ้อร์คนธรรมดาที่ยิ้มแย้มต้อนรับ จากนั้นหันหน้าไปมองในห้องโถง สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ในห้องโถงจัดวางโต๊ะศิลาตัวยาวที่ปูด้วยผ้าฝ้ายสีสันสดใสเต็มไปหมด ด้านล่างโต๊ะเป็นพรมหลากสีอันงามประณีต ที่นี่ไม่นั่งเก้าอี้ ทว่าวางเบาะบนพรม คนที่กินข้าวล้วนนั่งบนเบาะที่พื้น
ยามนี้เป็นเวลารับประทานอาหารพอดี หน้าโต๊ะมีคนนั่งอยู่จำนวนไม่น้อย แม้แต่คนชุดยาวสีดำสามคนรวมทั้งจินเฟยหยางก็นั่งอยู่ในมุมหนึ่ง บนโต๊ะมีเพียงน้ำชา อาหารยังไม่ยกมา บนโต๊ะของพวกเขาวางป้ายหยกเรียบง่ายที่ใช้เปิดห้อง
ทว่าสิ่งที่ทำให้จินเฟยเหยาหน้าเปลี่ยนสีทันที กลับมิใช่พวกจินเฟยหยางสามคน ทว่าเป็นคนของอีกโต๊ะหนึ่ง
คนโต๊ะนั้นนั่งอยู่ตรงกลางพอดี มีเพียงสองคน มีสุราอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะ ทว่ากลับใม่เห็นคนทั้งสองขยับตะเกียบ พวกเขาเพียงถือไผ่เขียวในมือเล่นไม่หยุดราวกับกำลังรอใครบางคน ไม่ใช่คนตาบอด แต่กลับต้องมีกิ่งไผ่ไม่ห่างกาย นอกจากคนของหอซวีชิงแล้วจะมีใคร
คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับคนรู้จักมากมายที่นี่ คนของหอซวีชิงสองคนนี้ คนหนึ่งคือเฟิงอวิ๋นจู๋ที่ขายวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจให้ตนเอง ส่วนอีกคนหนึ่งจินเฟยเหยาไม่รู้ชื่อแซ่ นึกไม่ออกว่าเคยพบหรือไม่ อย่างไรก็สวมชุดแบบเดียวกัน ทั้งยังถือไผ่เขียว ต้องเป็นพวกหอซวีชิงแน่
แต่ที่ทำให้จินเฟยเหยาคลายใจคือไป๋เจี่ยนจู๋ไม่อยู่ในนั้น เจ้าหมอนี่ราวกับคนบ้า ถึงตนเองจะเสแสร้งได้ดี แต่ใครจะรู้ว่าจะถูกสายตาอันแหลมคมของเขาจับได้
เสี่ยวเอ้อร์ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนท่านนี้ เหตุใดจึงหน้าเปลี่ยนสีกะทันหัน ตนเองยังไม่ได้บอกว่ามีห้องหรือไม่ หรือว่าเจอศัตรู ถ้าต่อสู้กันในร้านขึ้นมาคงไม่ดีแน่ จะให้พวกเขาทำลายห้องไม่ได้ เขารีบยิ้มแย้มเอ่ยถามว่า “ท่านเซียน มีตรงไหนที่ดูแลขาดตกบกพร่องหรือไม่?”
“ไม่มี ไม่มีอะไร เจ้ารีบจัดห้องชั้นบนให้ข้า จริงสิ คนชุดดำสามคนนั้นดูแล้วดุร้าย ไม่ค่อยเหมือนคนดี ข้าไม่ค่อยอยากอยู่ชั้นเดียวกับพวกเขา ยังมีสองคนนั้นที่ถือไม้ไผ่เล่นอยู่ตลอดเวลา ดูแล้วเหมือนจิตไม่ค่อยปกติ อายุขนาดนี้แล้วยังเล่นม้าไม้ไผ่เลียนแบบเด็ก ทางที่ดีอย่าให้ห้องของข้าอยู่ใกล้พวกเขา” จินเฟยเหยาหมุนตัวไปไม่มองคนสองโต๊ะนี้ จากนั้นลดเสียงลงบอกเสี่ยวเอ้อร์
เสี่ยวเอ้อร์ตะลึงงัน เงื่อนไขของผู้บำเพ็ญเซียนท่านนี้มากมายยิ่งนัก ต้องจัดการอย่างไรดี
จินเฟยเหยามองสีหน้าของเสี่ยวเอ้อร์ก็เข้าใจทันที ดีดนิ้วเบาๆ ยิงศิลาวิญญาณชั้นล่างสามก้อนเข้าไปในแขนเสื้อของเขา สีหน้าของเสี่ยวเอ้อร์เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นทันควัน รีบลดเสียงลงเอ่ยว่า “ท่านเซียนวางใจได้ ข้าจะจัดห้องให้ท่านเดี๋ยวนี้ รับรองว่าไม่อยู่ชั้นเดียวกับพวกเขา”
“จริงหรือ? พวกเขาอยู่ชั้นใด เจ้าอย่าหลอกข้านะ” จินเฟยเหยาคลี่พัดดังฟุ่บ มองเขาอย่างสงสัย
เสี่ยวเอ้อร์รีบเอ่ยประจบทันที “ท่านเซียนล้อเล่นแล้ว ข้าจะกล้าหลอกท่านได้อย่างไร คนชุดดำสามคนนั้นเมื่อครู่เพิ่งจองห้องอาศัยอยู่ชั้นห้า ส่วนโต๊ะที่เล่นไม้ไผ่จองห้องที่ดีที่สุด กลุ่มพวกเขามีสี่คน อาศัยอยู่ห้องใหญ่ที่ชั้นหก ท่านเซียนอยู่ชั้นสี่หรือชั้นสามดีกว่า ถึงห้องจะไม่ดีเท่าชั้นบน แต่อยู่ห่างไกล”
คิดไม่ถึงว่าคนของหอซวีชิงจะมีสี่คน อีกสองคนเป็นใครกัน? เจ้าโง่ไป๋เจี่ยนจู๋คงไม่ได้รวมอยู่ในนั้นนะ จินเฟยเหยาลังเลนิดหน่อย จะเปลี่ยนร้านดีหรือไม่ แต่นางก็รู้สึกสงสัยกับการปรากฏตัวของคนหอซวีชิงบนโลกวิญญาณเป่ยเฉินเช่นเดียวกัน
จินเฟยเหยาครุ่นคิด จากนั้นเอ่ย “ร้านของเจ้านี่อย่างไรนะ ห้องดีๆ อยู่ชั้นบนหมด ห้องชั้นสามชั้นสี่แย่มากหรือ? คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะให้เศรษฐีมีทรัพย์อย่างข้าอาศัยอยู่ในชั้นธรรมดา?”
“ท่านเซียน ข้าไล่พวกเขาไปไม่ได้ ต่อให้ท่านมอบความกล้าให้ข้าข้าก็ไม่กล้าทำ” เสี่ยวเอ้อร์หดคอยิ้มเอาใจ ในใจกลับครุ่นคิด เหตุใดผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้จึงรับใช้ยากนัก ทางที่ดีอย่าทะเลาะกันจนต้องไล่คนเลย แบบนั้นรับมือไม่ไหว
จินเฟยเหยาโบกพัดเอ่ยว่า “ข้าจะทำให้พวกเขาลำบากใจได้อย่างไร เอาแบบนี้ ข้าจะฝืนใจอาศัยอยู่ชั้นห้าก็ได้”
เมื่อครู่ยังบอกว่าผู้อื่นไม่ใช่คนดี ตอนนี้อยากจะอยู่ชั้นเดียวกับพวกเขาแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าคนเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่ เสี่ยวเอ้อร์ตำหนิในใจ ใบหน้ากลับยิ้มแย้มพานางไปหน้าโต๊ะคิดบัญชีอธิบายกับเถ้าแก่นิดหน่อย ก็รีบไปต้อนรับคนอื่นๆ
เถ้าแก่ถือเป็นผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่ง ถึงเพิ่งมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานช่วงต้น แต่เคราแพะใต้คางหงอกขาวนานแล้ว มือซ้ายของเขาดีดลูกคิดอย่างคล่องแคล่ว มือขวาพลิกตำราด้านหน้าตัวอย่างว่องไว จากนั้นก็วาดวงกลมในตำราอย่างรวดเร็ว หยิบป้ายหยกเรียบง่ายแบบเดียวกันจากด้านล่างโต๊ะคิดบัญชีออกมายื่นให้จินเฟยเหยา
“ท่านเซียน ห้องอักษรดินหมายเลขสามชั้นห้า ข้าจะเรียกคนให้มานำท่านขึ้นไปเดี๋ยวนี้” พอเถ้าแก่ยกมือ คิดจะเรียกผู้รับใช้คนเมื่อครู่มา
“รอเดี๋ยว ข้าต้องรับประทานอาหารก่อน อีกสักครู่ค่อยขึ้นไป” จินเฟยเหยารีบห้ามเขาไว้
เดิมทีนางทำเพื่อตามรอยจินเฟยหยาง พวกเขายังไม่ขึ้นชั้นบน ตนเองจะขึ้นไปก่อนทำไม อีกทั้งคนของหอซวีชิงก็อยู่ที่นี่ จะได้สังเกตการณ์ไปพร้อมกันพอดี ถึงอย่างไรตอนนี้ตนเองก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษ ต่อให้ไป๋เจี่ยนจู๋มา ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถอดเสื้อผ้าของตนเองตรวจสอบ
“ฮุยจื่อ รีบจัดโต๊ะ ท่านเซียนท่านนี้จะรับประทานอาหาร” หลังจากเถ้าแก่ได้ยิน ก็รีบตะโกนบอกผู้รับใช้คนหนึ่งที่กำลังเก็บกวาดบนโต๊ะศิลาทันที
“มาแล้ว” ผู้รับใช้คนนั้นตอบรับ รีบนำจินเฟยเหยาไปที่โต๊ะศิลาตัวหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจินเฟยหยางและเฟิงอวิ๋นจู๋
ตำแหน่งนี้สามารถมองเห็นโต๊ะของจินเฟยหยางได้อย่างชัดเจนและหันหลังให้คนของหอซวีชิงพอดี แต่สามารถได้ยินเสียงสนทนา เป็นตำแหน่งที่เยี่ยมที่สุดจริงๆ ในใจของนางรู้สึกยินดี จึงให้รางวัลแก่ผู้รับใช้ที่พามานั่งตำแหน่งนี้สิบศิลาวิญญาณชั้นล่าง ทำให้ผู้รับใช้ดีอกดีใจ แนะนำอาหารขึ้นชื่อในร้านให้แก่นางไม่หยุด