ได้ยินคำพูดของปู้จื้อโหยว เฟิงอวิ๋นจู๋จำต้องวิ่งมาฉุดดึงไป๋เจี่ยนจู๋ พวกเขาล่วงเกินเจ้าสำนักไม่ได้ ระวังไว้ก่อนเป็นดี
ในยามนี้เอง รอบด้านพลันมืดมิด ปู้จื้อโหยวเก็บหินแสงอาทิตย์อย่างรวดเร็วโดยไม่บอกไม่กล่าว ฉวยโอกาสที่รอบด้านมืดสนิท ฉุดดึงจินเฟยเหยาพุ่งไปยังทางที่ขุดไว้แล้วมุดออกมา
ปู้จื้อโหยวไม่ชะงักฝีเท้า ลากจินเฟยเหยาวิ่งเข้าไปในป่าทึบ เห็นต้นไม้จำนวนมากถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว เห็นต้นไม้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าบ่อยๆ ขณะเกือบจะพุ่งชนจินเฟยเหยาก็ถูกปู้จื้อโหยวลากออกไปอย่างฉิวเฉียด
จินเฟยเหยาคิดไม่ถึงว่าจะมีคนวิ่งได้เร็วปานนี้ เสียงลมดังขึ้นข้างหู ความเร็วนี้สามารถเทียบได้กับของวิเศษบินได้
ในยามนี้เอง เบื้องหน้าพลันมีม้ามังกรขนาดยักษ์ฝูงหนึ่งปรากฏขึ้น ส่วนด้านหลังม้ามังกรคือหน้าผา นางอดร้องลั่นไม่ได้ คิดจะดึงมือออกแล้วหยุดลง “ด้านหน้าไม่มีทางไปแล้ว รีบหยุดเร็ว!”
ทว่าปู้จื้อโหยวกุมมือนางแน่น และกระโดดเบาๆ เหยียบหลังม้ามังกรแล้วกระโดดลอยตัวกลางอากาศเหินไปยังภูเขาสูงชันเบื้องหน้า หลังร่อนลงบนภูเขาอย่างปลอดภัย เขาก็ออกวิ่งอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
จินเฟยเหยาวิ่งไม่เร็วขนาดนี้ ช่วงแรกยังตามมาติดๆ ได้ ตอนท้ายก็ถูกปู้จื้อโหยวลากวิ่ง นางอยากจะหยุดลงใช้ของวิเศษหลบหนี ทว่าร่างถูกปู้จื้อโหยวลากจนหยุดไม่อยู่ รวดเร็วจนดวงตาถูกลมพัดจนลืมตาไม่ขึ้น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงใช้ของวิเศษ
ปู้จื้อโหยววิ่งห้อในป่า ทั้งกระโดดและวิ่งอยู่สองชั่วยามเต็มๆ จึงหยุดลงพักผ่อนริมลำธารแห่งหนึ่ง
เขาสะบัดมือที่ฉุดดึงจินเฟยเหยาออก เดินไปถึงริมลำธารที่ใสกระจ่าง กอบน้ำขึ้นดื่มหลายอึกแล้วล้างหน้า จากนั้นสลัดหยดน้ำบนมือ หมุนตัวไปพูดกับจินเฟยเหยาที่อยู่ด้านหลัง “เจ้าไม่มาดื่มน้ำสักอึกหรือ? น้ำที่นี่เย็นสดชื่นอย่างยิ่ง”
“ดื่ม…ดื่มน้ำบ้านเจ้าสิ!” ตลอดร่างจินเฟยเหยานอนอยู่บนพื้นราวกับดินเหลว อ้าปากกว้างหอบหายใจ ปอดของนางแสบร้อนผิดปกติราวกับถูกเพลิงเผา หายใจไม่ได้ สองขาปวดเมื่อยไม่พอ ตลอดร่างยังไร้เรี่ยวแรง
ปู้จื้อโหยววิ่งมานานขนาดนี้ ยังอารมณ์ดีดังเดิม หาหินก้อนหนึ่งนั่งลงข้างลำธาร เขาหยิบตำราเล็กๆ เล่มหนึ่งออกมา จากนั้นล้วงพู่กันวิญญาณสีดำปลอดด้ามหนึ่งออกมา จิ้มน้ำลายแล้วเขียน “จินเฟยเหยา ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระเพศหญิง พลังบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานช่วงกลาง ฝึกบำเพ็ญเคล็ดวิชาเผ่ามาร มีความสัมพันธ์ส่วนตัวอันคลุมเครือกับไป๋เจี่ยนจู๋แห่งสำนักตงอวี้หวง วิ่งได้ไม่เร็วนัก นิสัยละโมบและชอบพูดโกหก คุณค่าของข้อมูลอยู่ระดับสามชั่วคราว ข้อมูลอื่นๆ ค่อยเพิ่มเติมภายหลัง”
เห็นท่าทางจริงจังของเขา จินเฟยเหยาก็ดิ้นรนลุกขึ้น เดินไปข้างลำธารแล้วเอาศีรษะจุ่มน้ำ ดื่มน้ำในลำธารที่เย็นสดชื่นคำโตๆ น้ำลำธารอันเย็นชื่นใจทำให้ปอดที่แสบร้อนของนางดีขึ้นมาก สะบัดหยดน้ำบนมือทิ้ง นางเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ “เจ้ากำลังเขียนเรื่องบ้าบออะไรอยู่ หรือว่าแม้แต่ข้าก็ต้องจดลงในข้อมูลของเจ้า?”
ปู้จื้อโหยวเก็บตำรา เอ่ยอย่างเห็นว่าสมควรเป็นเช่นนั้น “แน่นอน ไม่ว่าบุคคลตัวเล็กๆ เพียงใด ข้าก็จะจดเรื่องราวลงไป ภายหลังถ้าคนผู้นี้กระทำการใหญ่ ข้าก็สามารถขายข้อมูลเหล่านี้ให้ซื่อเต้าจิงแลกกับศิลาวิญญาณ อีกทั้งยึดกุมข้อมูลของคนผู้หนึ่งได้อย่างแม่นยำ เมื่อเจอคนที่ตนเองสู้ไม่ได้ยังสามารถหลบหนีล่วงหน้าหรือควบคุมการกระทำของตนเอง”
“ข้าไม่มีประโยชน์ต่อเจ้าเลยสักนิด ซื่อเต้าจิงไม่ซื้อข้อมูลของเจ้าหรอก” จินเฟยเหยานั่งลง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำบนใบหน้า
ปู้จื้อโหยวพลันยิ้มแปลกๆ เอ่ยยั่วเย้า “ถ้าในตัวเจ้ามีโลหิตตานมารจริงๆ ทั้งยังปล่อยจอมมารหลงไป เจ้าว่าข่าวของข้าจะขายได้กี่ศิลาวิญญาณ?”
“เจ้าพูดอะไรน่ะ ข้าไม่เข้าใจ” ในใจจินเฟยเหยาตกตะลึง สงบจิตใจลง แสร้งถามอย่างไม่เข้าใจ
ปู้จื้อโหยวกอดอกยิ้มมองนาง จุปากเอ่ยว่า “ดูอย่างไร เจ้าก็มีลักษณะเหมือนในข้อมูล ถึงลักษณะในภาพเหมือนที่เจ้าโง่พวกนั้นส่งออกมาจะแตกต่างจากเจ้า ทว่าสิ่งเหล่านี้เชื่อถือไม่ได้ ข้าเชื่อว่าเจ้าคือคนที่ปล่อยจอมมารหลงไป แต่มูลค่าข้อมูลของเจ้าในตอนนี้ยังไม่สูงพอ เพียงระดับสามเท่านั้น ไม่คุ้มที่จะขาย”
“เจ้าบอกว่าข้าปล่อยจอมมารหลงไป ทั้งยังมีโลหิตตานมาร มีค่าอย่างยิ่งมิใช่หรือ? เหตุใดตอนนี้จึงบอกว่าไม่คุ้มที่จะขาย?” ยามนี้ในใจจินเฟยเหยาไม่รู้ว่าเป็นรสชาติใด ถึงขายให้ซื่อเต้าจิงจะนำความยุ่งยากมาสู่นาง ทว่าจากที่เขาบอกจากปากว่าตนเองไม่มีค่า ฟังแล้วกลับทำให้ในใจคนรู้สึกไม่ยินดี หรือว่านี่คือการทรมานตนเอง?
เห็นจินเฟยเหยาไม่เข้าใจ ปู้จื้อโหยวจึงอธิบายให้นางฟังอย่างใส่ใจ “ข้าจำแนกข้อมูลเป็นระดับ ที่ไร้ประโยชน์ที่สุดคือระดับหนึ่ง ที่ขายแพงที่สุดคือระดับสิบ เจ้าอยู่ระดับสาม ได้แต่เลี้ยงข่าวไว้ ให้ได้อย่างน้อยระดับห้าข้าจึงคิดจะขาย เจ้าพยายามหน่อยละกัน ถึงเจ้าจะมีโลหิตตานมาร แต่สาเหตุใหญ่สุดที่พวกเขาตามหาเจ้าคือคิดจะหาคฤหาสน์นี้ ตอนนี้หาคฤหาสน์พบแล้ว มูลค่าของเจ้าก็ลดฮวบ ตามหาเจ้าไปทั่วเพื่อโลหิตตานมารหยดเดียว ไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง”
“เหตุใดเจ้าจึงเดาว่าหยดเดียว ไม่ใช่หนึ่งขวด” ท่าทางของปู้จื้อโหยวดีเกินไป บนใบหน้ามักจะมีรอยยิ้มเจิดจรัส ทั้งยังไม่มีเจตนาสังหารใดๆ ความรู้สึกเป็นอริต่อเขาจึงลดลงไม่น้อย นิสัยไม่จริงจังของนางกำเริบขึ้นอีก เริ่มหยอกล้อเขา
“เจ้าอย่าฝันไปเลย นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” ปู้จื้อโหยวส่ายศีรษะ เลิกคิ้วเอ่ยยิ้มๆ “อย่างมากเจ้ามีแค่หยดเดียว เจ้านึกว่าเป็นน้ำลายหรือ ต้องการเท่าไรก็มีให้เท่านั้น ด้วยพลังการบำเพ็ญเพียรของเจ้า ให้หนึ่งหยดก็พอแล้ว ให้มากก็สิ้นเปลือง”
“ฮึ!” จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ “เจ้ากลับเชื่อมั่นยิ่งนัก อย่างไรเสียข้าก็ไม่ยอมรับว่าเป็นคนผู้นั้น และข้าก็ไม่มีสิ่งของเหล่านี้ด้วย”
ปู้จื้อโหยวหัวเราะ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจสักนิด “เจ้าไม่ต้องเสียใจว่าตนเองไม่มีค่า พวกเราสองคนร่วมมือกันจนได้สิ่งของที่ผู้บำเพ็ญมารมาเอาโดยเฉพาะ รีบนำออกมาดูเร็วเข้า ไม่แน่ว่าของสิ่งนี้จะทำให้ข่าวของเจ้ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นสองระดับสามารถขายได้ราคา ผู้บำเพ็ญมารสามารถหาสถานที่แห่งนี้ได้ ต้องได้รับข่าวสารที่แม่นยำ เป็นไปได้ว่าจอมมารหลงส่งคนไปบอกให้พวกเขามาเอาสิ่งของชิ้นนี้”
ได้ยินเขาพูดแบบนี้ จินเฟยเหยาก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ นี่แสดงว่าสิ่งของชิ้นนี้เป็นของสำคัญของจอมมารหลง ทว่ามองปู้จื้อโหยวที่ยิ้มกว้างรอแบ่งผลประโยชน์ จินเฟยเหยาก็เอ่ยอย่างไม่พอใจ “เจ้าเองก็ได้ของดีมาตั้งเยอะ อย่านึกว่าตนเองซ่อนกายได้ แอบหยิบฉวยของไปแล้วข้าจะไม่รู้นะ ฝีมือพรรค์นี้ของเจ้าข้าใช้มานานแล้ว ใจกว้างหน่อย อย่างกนัก เอาสิ่งของออกมาแล้วแบ่งเท่าๆ กัน”
ปู้จื้อโหยวเบะปากเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้ว คนฉลาดเกินไปสองคนอยู่ด้วยกันไม่ได้อย่างเด็ดขาด ทำอะไรก็ถูกอีกฝ่ายดูออก ไม่สนุกเลยสักนิด”
จากนั้นเขาก็บ่นอย่างไม่พอใจพลางเทขยะกองหนึ่งออกมาจากถุงเฉียนคุน ตั้งแต่ขอตกแต่งที่เปี่ยมปราณวิญญาณมาจนถึงขวดหยกที่เปื้อนดินเต็มไปหมด ยังมีศิลาวิญญาณจำนวนมากที่ถูกฝังอยู่นานแสงรัศมีก็ไม่ได้ลดน้อยลง สิ่งที่ควรมีก็มีหมดทุกอย่าง
“มีเพียงเท่านี้?” จินเฟยเหยามองหลายครั้ง ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งของที่ล้ำค่าเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่ายาในขวดหยกเหล่านี้ จะมีฤทธิ์เป็นพิเศษหรือไม่
“แน่นอนว่ามีเพียงสิ่งของเหล่านี้ นี่เป็นแค่คฤหาสน์อีกแห่ง ไม่ใช่รังเก่าของเขา มีเท่านี้ก็ดีแล้ว ผู้ใดจะไม่เก็บสิ่งของที่ดีที่สุดไว้กับตัว ที่เอาออกมาจัดแสดงก็มีเพียงระดับนี้ ตอนนี้ถึงตาเจ้าแล้ว รีบเอาสิ่งของชิ้นนั้นออกมาดูหน่อยว่าเป็นของดีอะไร” ปู้จื้อโหยวนั่งบนก้อนหิน เห็นจินเฟยเหยาทำท่าทางรังเกียจสิ่งของเหล่านี้ จึงเอ่ยเร่งเร้าอย่างไม่พอใจ
“จะเร่งทำไม…” จินเฟยเหยาหยิบกล่องขนาดใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณใบนั้นออกมาอย่างช้าๆ
วางกล่องลงบนพื้น นางกำลังคิดจะเปิดกล่อง กลับพบว่าด้านบนมีกุญแจวงเวทล็อกอยู่ จึงยักไหล่ให้ปู้จื้อโหยวแล้วเอ่ย “ข้าเปิดวงเวทไม่เป็น เปิดไม่ออก”
“มาข้าเอง โง่จริงๆ เลย คนทำอาชีพอย่างพวกเรา ต้องเรียนรู้การเปิดกุญแจวงเวท จะให้ข้าสอนเจ้าหรือไม่ เก็บค่าครูเล็กน้อยเท่านั้น” ปู้จื้อโหยวผลักจินเฟยเหยาออก แล้วหยิบพู่กันวาดยันต์และขวดหยกที่บรรจุหมึกยันต์ออกมาจากในถุงเฉียนคุน
จินเฟยเหยาถอยมาด้านข้าง เอ่ยอย่างไม่พอใจ “เจ้าต้องรู้ว่าข้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระไม่ใช่โจร ทำอาชีพแบบนี้ต้องเรียนรู้การเปิดกุญแจวงเวทอะไรกัน ข้าไม่ได้ทำอาชีพเดียวกับเจ้าเสียหน่อย”
ว่าไปแล้ว ปู้จื้อโหยวมีวิธีจัดการกุญแจวงเวทจริงๆ เห็นเขาใช้พู่กันวาดยันต์จุ่มหมึกยันต์แล้ววาดขีดหลายขีดลงบนกุญแจวงเวท กุญแจวงเวทบนกล่องหยกก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วล่าถอยไปหมด
จินเฟยเหยาลังเลนิดหนึ่งจึงเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าอยากจะสอนข้าขนาดนี้ เช่นนั้นข้าจะฝืนใจเรียนสักหน่อยก็แล้วกัน”
“…”
ปู้จื้อโหยวเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างหมดวาจา มีสายตาเหมือนเห็นท่าทางของตนเองตอนยอมเรียนการเปิดกุญแจวงเวทในอดีต ตอนนั้นตนเองก็ดูเหมือนจะมีท่าทางและน้ำเสียงเช่นนี้ ยายนี่ไม่ใช่พี่น้องพ่อแม่เดียวกันกับข้าเสียหน่อย เหตุใดการกระทำจึงคล้ายข้าขนาดนี้ หรือว่าเมื่อหลายปีก่อนท่านพ่อของข้าไปทำชั่วไว้ข้างนอก
“เสร็จหรือยัง?” เห็นปู้จื้อโหยวจ้องมองตนเอง แต่ไม่เปิดกล่อง จินเฟยเหยามองเขาแล้วเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง
“เสร็จแล้ว” ปู้จื้อโหยวรั้งสายตากลับ เปิดกล่องหยกขนาดใหญ่ใบนี้เบาๆ
เพิ่งเปิดกล่องหยก ปราณวิญญาณเข้มข้นก็ทะลักสู่อากาศ ด้านในเปล่งแสงสีสันสดใสสว่างจ้า เสียดแทงนัยน์ตาจนลืมไม่ขึ้น
“เป็นสิ่งล้ำค่าจริงๆ ด้วย!” ทั้งสองคนร้องขึ้นพร้อมกัน
รอจนแสงสดใสลดล่าถอยไป พอทั้งสองคนเห็นสิ่งของในกล่องหยกก็ตะลึงงัน
“ความคิดของจอมมารไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปจริงๆ คิดไม่ถึงว่าสิ่งของแบบนี้ยังส่งผู้บำเพ็ญมารมาเอามันกลับไปโดยเฉพาะ นี่ช่าง…” ปู้จื้อโหยวมองแวบเดียวก็จำสิ่งของชิ้นนี้ได้ มีสีหน้าจนปัญญาอย่างยิ่ง
ส่วนจินเฟยเหยาไม่รู้จักของสิ่งนี้เลยสักนิด ได้แต่ถามปู้จื้อโหยว “ของสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ หรือว่าไม่มีค่า?”
“ไม่ ของสิ่งนี้ล้ำค่าและมีราคาอย่างยิ่ง” ปู้จื้อโหยวส่ายศีรษะ เอ่ยอย่างมั่นใจโดยไม่ต้องสงสัย