คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 21 ข้าอยู่ในโลกห่วยๆ

หลังกวาดทำความสะอาดห้อง จินเฟยเหยารู้สึกว่าน่าจะซื้อเคล็ดพลังวิเศษสักเล่มแล้วเรียนเวทมนตร์ในนั้นสักหน่อย

เวทมนตร์พื้นฐานเหล่านั้นดูเหมือนจะมีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่นเวทอัคคีสามารถจุดไฟส่องสว่างได้ เผาซากศพทำลายร่องรอยได้ เวทควบคุมน้ำก็ไม่เลว สามารถซักเสื้อผ้า ถูพื้นได้ ต่อไปหากปลูกหญ้าวิญญาณยังสามารถใช้รดน้ำได้ด้วย ส่วนเวทม้วนวายุสามารถเลียนแบบผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นใช้กวาดลานบ้าน กำจัดฝุ่นละออง ทั้งรวดเร็วทั้งสะอาด

ตอนนี้มีเงินแล้ว มีสถานที่อยู่อาศัยระยะยาว ไม่อาจทารุณตนเองอีกต่อไป จินเฟยเหยาซื้อเสื้อผ้าเพียงสิบชุด ซื้อกระจกทองแดงและหวีหยก เลือกซื้อผ้าไหมปักลวดลายมาโดยเฉพาะ วัสดุของสิ่งเหล่านี้ ในโลกมนุษย์มีเพียงเชื้อพระวงศ์และผู้มีบรรดาศักดิ์เท่านั้นที่ใช้ ในเมืองลั่วเซียนกลับเป็นสินค้าที่มีอยู่ดาษดื่น ศิลาวิเศษก้อนหนึ่งสามารถซื้อผ้าได้หลายพับ การบำเพ็ญเซียนมีข้อดีมากมายจริงๆ

สามห้องที่อยู่ชั้นล่าง นอกจากห้องฝึกบำเพ็ญยังมีประโยชน์อย่างอื่น ห้องอื่นๆ อีกสองห้องสำหรับจินเฟยเหยาแล้วยังไม่ค่อยมีประโยชน์ชั่วคราว นางมองห้องหลอมยาอันว่างเปล่า ไม่รู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ขั้นสร้างฐาน ใช้สิ่งใดมาหลอมยาแทนไฟแท้ นางไม่รู้เรื่องหลอมยาเลยสักนิด วางแผนว่าวันหน้าจะไปซื้อการหลอมยาเบื้องต้นหลายเล่มมาลองอ่านดู

ส่วนห้องสัตว์ภูติที่ว่างเปล่าเช่นกันกลับทำให้จินเฟยเหยาเกิดความคิดจะเลี้ยงสัตว์ภูติสักตัว ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณยังไม่สามารถควบคุมอาวุธเวทบินได้ ไม่สะดวกในการเดินทาง มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานบางคน เลี้ยงสัตว์ภูติเป็นพาหนะแทนการเดินเท้า และไม่ใช้อาวุธเวทบินได้ เช่นนี้สามารถประหยัดพลังวิญญาณ หลายวันก่อน นางได้พบกับผู้บำเพ็ญเซียนสตรีขี่นกตัวใหญ่สีขาวหิมะ บินมาถึงประตูเมืองลั่วเซียน ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนั้นมีพลังบำเพ็ญเพียรแค่ขั้นฝึกปราณช่วงกลาง

เลี้ยงสัตว์ภูติที่สามารถบินได้ก็สะดวกสบายไม่น้อย ต่อให้บินเองไม่ได้ ก็ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณมากมายขี่สัตว์ภูติที่วิ่งได้เหมาะสม มีความอดทนดี และมีรูปร่างแปลกประหลาดนานาชนิด คนที่ขี่ม้าเหมือนนางก็มี ทว่าสิ่งที่ทุกคนขี่ไม่ใช่ม้าธรรมดา ทว่าเป็นม้าท่าชิงหลิง  หากวิ่งขึ้นมาวันหนึ่งสามารถวิ่งพันหลี่ได้สบายๆ คนโง่จึงเลียนแบบนาง ขั้นฝึกปราณช่วงกลางยังเดินเท้าอยู่

แขวนภาพที่ซื้อมาตกแต่งห้องฝึกบำเพ็ญ แล้ววางดอกไม้สดหลายกระถางด้านใน ห้องฝึกบำเพ็ญอันเย็นเยียบจึงมีชีวิตชีวาขึ้น สุดท้าย จินเฟยเหยาวางเบาะกลมที่ซื้อมาไว้บนแท่นนั่งเข้าฌาณในห้องฝึกบำเพ็ญ ห้องฝึกบำเพ็ญอันงดงามจึงเสร็จเรียบร้อย

ปกติผู้อื่นซื้อเบาะกลมจะเลือกจากวัสดุที่จัดทำ ซื้ออันที่สามารถช่วยดูดซับปราณวิญญาณได้ ตอนแรกนางก็คิดเช่นนี้ รอจนเข้าไปดูในร้านเบาะกลม ราคาทำให้นางตกใจแทบตาย เบาะกลมที่ทำจากหญ้าหูซินธรรมดา ราคาเบาะละแปดร้อยศิลาวิญญาณ ไม่ต้องเอ่ยถึงเบาะกลมอื่นๆ ที่ต้องใช้ศิลาวิญญาณดูดซับหรือทำขึ้นจากหญ้าร้อยเซียน

โลกแห่งการบำเพ็ญเซียนก็เป็นเช่นนี้ สิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการดูดซับพลัง ต่อให้สามารถดูดพลังวิญญาณได้มากกว่าปกตินิดหน่อย ก็แพงจนทำให้คนเจ็บปวดใจ

จินเฟยเหยาหักใจจ่ายเงินไม่ได้ เบาะกลมหญ้าหูซินราคาแปดร้อยศิลาวิญญาณยามฝึกปรือสามารถทำให้พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นได้น้อยนิดจนน่าสงสาร มิสู้เก็บศิลาวิญญาณเหล่านั้นไว้ซื้อยาดีกว่า

เดิมทีคิดจะไม่ซื้อ หาต้นอ้อมาทำเองดีกว่า ขอเพียงสามารถนั่งโดยไม่เมื่อยและไม่เจ็บก้นก็พอ กลับเห็นเบาะกลมมือสองวางขาย เบาะกลมมือสองมีราคาถูกยิ่ง เบาะที่เก่าขาดมากๆ ราคาไม่กี่สิบศิลาวิญญาณ เบาะที่สมบูรณ์หน่อยราคาสองสามร้อยศิลาวิญญาณ

จินเฟยเหยาเลือกเบาะที่ราคาถูกที่สุด แม้แต่วัสดุภายนอกทั้งหมดก็ขาดจนดูขัดตา ใช้ศิลาวิญญาณไปแค่ยี่สิบสามก้อน นางไม่สนใจเรื่องนี้ ตรงไปร้านตัดเสื้อผ้า ซื้อผ้าไหมที่วัสดุงดงามและล้ำค่าทว่าลวดลายเรียบหรู ให้คนในร้านเย็บเป็นปลอกเบาะกลม อย่างไรเสียหยกและมุกของที่นี่ก็ราคาถูกมาก เสียไปแค่หนึ่งศิลาวิญญาณ เบาะกลมอันสง่างามด้านข้างปักมุกก็ทำเสร็จเรียบร้อย

เผชิญหน้ากับแปลงยาสมุนไพรในลานเรือน จินเฟยเหยากลับไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรดี เวลาในการเติบโตของพืชวิญญาณยาวนานยิ่ง ไม่ต้องเอ่ยถึงร้อยปี ต่อให้เป็นหญ้าวิญญาณปกติ อย่างน้อยที่สุดมีอายุประมาณสิบกว่าถึงยี่สิบปีจึงสามารถนำมาใช้หลอมกลั่นได้

ไม่รู้ว่าตนเองจะอยู่ที่นี่ได้กี่สิบปี ถ้าอยู่ไม่กี่ปีแล้วต้องไป ตัวยาเหล่านี้นำติดตัวไปด้วยไม่ได้ เคยได้ยินว่า มีพื้นที่มิติบางชนิดสามารถทลายพื้นที่ว่างออกมาและกลายเป็นพื้นที่พิเศษ สามารถปลูกหญ้าวิญญาณเลี้ยงสัตว์ภูติและสร้างบ้านให้คนอยู่อาศัย ทั้งยังพกติดตัวไปได้ทุกที่ สะดวกสบายอย่างยิ่ง แต่อย่าเพ้อฝันไปเลย สิ่งของเช่นนี้เพียงแค่เคยได้ยินมา ถึงจะไม่ได้แปลกประหลาดหายาก ทว่าแต่ละชิ้น ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมจิตวิญญาณต้องใช้เคล็ดวิชาลับเสียเวลาหลายร้อยปีจึงสามารถหลอมสร้างออกมาได้ เอาไว้ใช้เองและให้ศิษย์ผู้สืบทอดใช้ยังไม่พอเลย จะส่งผ่านออกมาภายนอกได้อย่างไร

ถึงนางจะไม่เคยเห็นพื้นที่มิติขนาดเล็ก ทว่านางเคยเห็นขนาดใหญ่มา เมืองลั่วเซียนก็มีแบบสำเร็จรูป เพียงแต่ปกติไม่ได้เปิดไว้ ได้แต่มองหินผลึกขนาดใหญ่แปดก้อนแยกกันลอยอยู่กลางอากาศสูงสิบกว่าจั้ง ส่วนตรงกลางหินผลึกก็คือทางเข้าดินแดนลึกลับ

เมืองลั่วเซียนมีสำนักและตระกูลใหญ่ที่สร้างสำนักสาขามากมาย นอกจากสินค้ารวมศูนย์ที่นี่แล้ว ยังมีสาเหตุใหญ่ที่สุดอีกข้อหนึ่ง ก็คือเพื่อดินแดนลึกลับลั่วเซียน ซึ่งเป็นแปลงยาสมุนไพรของพื้นที่มิติขนาดใหญ่ ตำนานกล่าวว่าหลายพันปีก่อน มีผู้บำเพ็ญเซียนห้าคนค้นพบพื้นที่มิติที่ชนรุ่นก่อนทิ้งไว้ให้ด้วยกัน ค้นพบว่าภายในมีหญ้าวิญญาณมากมาย มีสัตว์ปิศาจเต็มไปหมด เพราะว่าด้านในมีพลังวิญญาณเข้มข้น มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ทั้งห้าคนจึงรั้งอยู่ต่อมา วางแผนจะแบ่งสิ่งของด้านในเท่าๆ กัน

คนทั้งห้าก็คือผู้ก่อตั้งตำหนักลั่วเซียนในตอนนี้ เพื่อยับยั้งอีกฝ่าย ทุกคนต่างก่อตั้งสำนักรับศิษย์ ประชากรเพิ่มมากขึ้นทุกที ตลาดเล็กๆ ที่สร้างขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจจึงยิ่งเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น

ตามเวลาที่ผ่านพ้นไป ตอนแรกเป็นสำนักใหญ่จำนวนมากอยากมาแบ่งน้ำแกงถ้วยนี้ด้วย ภายหลังแม้แต่สำนักเล็กๆ ยังเบียดเสียดเข้ามา เป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันหลายครั้ง เพื่อแย่งชิงดินแดนลึกลับแห่งนี้ ก่อเรื่องวุ่นวายอยู่หลายร้อยปี

สุดท้ายทุกคนจึงไม่ก่อเรื่องอีก ทั้งหมดนั่งพูดคุยกันดีๆ วิธีจัดการสุดท้ายคือตำหนักลั่วเซียนสามารถส่งศิษย์สองร้อยคนเข้าสู่ดินแดนลึกลับเมืองลั่วเซียนได้ทุกสิบปี ส่วนสำนักอื่นๆ ขอเพียงจ่ายศิลาวิญญาณชั้นล่างหนึ่งแสนก้อนให้แก่ตำหนักลั่วเซียน ก็สามารถส่งศิษย์ยี่สิบคนเข้าค้นหาสมบัติในดินแดนลึกลับที่สิบปีจะเปิดออกครั้งหนึ่งได้

ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระก็สามารถเข้าไปได้ ทว่าค่าใช้จ่ายสูงหน่อย สำนักเซียนจ่ายศิลาวิญญาณหนึ่งแสนก้อนสามารถให้ศิษย์เข้าไปได้ยี่สิบคน ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระต้องจ่ายศิลาวิญญาณห้าหมื่นก้อนจึงสามารถเข้าไปได้หนึ่งคน อีกทั้งดินแดนลึกลับเมืองลั่วเซียนจำกัดว่าต้องมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานจึงสามารถเข้าไปได้ ผู้บำเพ็ญเซียนอิสระขั้นสร้างฐานที่มีเงินและอยู่ว่างในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนนั้นมีน้อยจนน่าสงสาร จึงเป็นจำกัดการเข้าไปของผู้บำเพ็ญเซียนอิสระกลายๆ

ห้าสำนักของตำหนักลั่วเซียนยอมเห็นด้วยกับเงื่อนไขเช่นนี้ มิใช่เพราะพวกเขาหวาดกลัว ทว่ามีสาเหตุอื่น นี่เป็นสิ่งที่จินเฟยเหยาเพิ่งรู้ตอนได้ยินผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ พูดคุยกัน

ที่แท้ในโลกนี้มีโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนมากมาย ระหว่างโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนแบ่งเป็นหลายระดับตามพละกำลัง สูงที่สุดคือโลกระดับสวรรค์ จากนั้นแบ่งจากสูงมาต่ำคือโลกระดับเซียน โลกระดับวิญญาณ และโลกระดับดินที่ต่ำที่สุด ระดับของโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนยิ่งสูง พละกำลังก็ยิ่งแข็งแกร่ง ประโยชน์ที่ได้รับก็ยิ่งมาก

ผู้บำเพ็ญเซียนชั้นบนสามารถได้รับประโยชน์อะไร นี่มิใช่สิ่งที่กุ้งฝอยขั้นฝึกปราณจะล่วงรู้ได้ แต่ได้ยินว่าการแข่งขันระหว่างกันดุเดือดอย่างยิ่ง ส่วนโลกหนานซานที่จินเฟยเหยาอาศัยอยู่ ตอนนี้เป็นเพียงโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนระดับดิน และห้าร้อยปีจะมีการแข่งขันของโลกระดับดินสักครั้ง โลกที่พ่ายแพ้จะต้องมอบพื้นที่เหมืองศิลาวิญญาณที่มีหรือดินแดนและพื้นที่ซึ่งมีทิวทัศน์งดงามให้กับโลกที่ชนะ มีโลกมากมาย เพราะพ่ายแพ้เสมอ จึงถูกยึดครองจากโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน

ได้ยินว่าครั้งที่แล้วเพราะพวกเขาก่อเรื่องไม่หยุด โลกหนานซานจึงพ่ายแพ้ในการแข่งขัน แต่ละสำนักต่างสูญเสียพื้นที่ไปมาก นอกจากพื้นที่จะเล็กลง อิทธิพลของสำนักที่สูญเสียพื้นที่เหมืองและสถานที่ซึ่งมีทิวทัศน์งดงามยิ่งเสียหายอย่างย่อยยับ เพื่อรักษาพื้นที่ในตอนนี้เอาไว้ และเพื่อผลประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้น ดังนั้นทุกคนจึงตัดสินใจแบ่งปันดินแดนลึกลับแห่งนี้ด้วยกัน

ว่าไปแล้วตำหนักลั่วเซียนก็ไม่ถือว่าเสียเปรียบ ทุกสิบปีศิลาวิญญาณที่ได้รับจากแต่ละสำนักเป็นเงินก้อนมหึมา ดังนั้นสำนักเฉวียนเซียนซึ่งเป็นหนึ่งในห้าสำนักของตำหนักลั่วเซียน จึงสามารถมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ขนาดนี้ในเมืองลั่วเซียนเพียงเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณในสำนักได้

คำนวณดูแล้วพวกเขาแค่เสนอที่อยู่และอาหารวันละสามมื้อ ไม่ต้องเลียนแบบสำนักอื่น ที่ให้ยาและศิลาวิญญาณแก่ศิษย์ อีกทั้งผู้บำเพ็ญเซียนอิสระยังรับภารกิจได้ศิลาวิญญาณไว้ใช้เอง ภารกิจที่มอบให้สำนักเฉวียนเซียนโดยตรงถูกพวกเขาบวกเพิ่มไปหนึ่งส่วนตั้งแต่แรก นี่เป็นการค้าที่มีได้แต่ได้ล้วนๆ

ส่วนข้อเสนอให้แข่งขันชิงยาสร้างฐานของสำนักเฉวียนเซียน หวังว่าแต่ละปีจะสามารถมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสิบคนปรากฏขึ้นจากในนั้น แล้วดึงตัวเข้าสำนักในของสำนักเฉวียนเซียน ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนอิสระเหล่านี้มีความเป็นอยู่ไม่ดี มีไม้ตายมากมาย มีเวทมนตร์สับสนทำให้คนระวังป้องกันได้ไม่ทั่วถึง หลังจากขั้นสร้างฐานแล้วยังร้ายกาจกว่าผู้บำเพ็ญเซียนที่สำนักเลี้ยงดูมาจนโตหลายเท่า

ครุ่นคิดวุ่นวายอยู่ครึ่งวัน จินเฟยเหยาตัดสินใจซื้อหญ้าวิญญาณมาปลูก แปลงสมุนไพรว่างเปล่า ถ้าไม่ปลูกก็น่าเสียดาย ต่อให้วันหน้าตนเองไม่อยู่ ก็สามารถขายให้ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ได้

ร้านค้าในเมืองลั่วเซียนเปิดทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่เคยปิดร้าน จินเฟยเหยาคิดจะออกไปซื้อหญ้าวิญญาณและดูว่ามีสัตว์ภูติที่เหมาะสมหรือไม่

พอออกจากเรือนนางก็เห็นเวิงเหล่าและหลิวเกาอี้กำลังเตรียมตัวรับประทานอาหาร เปิดกล่องอาหารสองกล่องแล้ว ส่วนด้านข้างยังมีกล่องอาหารกล่องหนึ่งซึ่งยังไม่ได้เปิดออกวางอยู่

“สหายเซียนน้อย รีบมาเร็ว อาหารของเจ้ามาส่งแล้ว กินด้วยกันเถอะ” เวิงเหล่าเห็นจินเฟยเหยาออกมา ก็รีบเรียกนางไป

จินเฟยเหยากลับตื่นตะลึงกับความสามารถของสำนักเฉวียนเซียน ตนเองเพิ่งเข้ามา ยังไม่ได้บอกกับคนอื่นๆ ก็รู้ว่าต้องส่งอาหารส่วนของนางมา

นางเดินไปหาพร้อมรอยยิ้ม เห็นพวกเวิงเหล่าสองคนจัดวางอาหาร กับข้าวหกจานน้ำแกงสองอย่างไม่เหมือนกันเลย ท่าทางทั้งสองคนต่างสั่งอาหารที่ตนเองชอบ

จินเฟยเหยาเปิดกล่องอาหารสามชั้นที่เหลือ ของตนเองก็เป็นกับข้าวสามจานน้ำแกงหนึ่งอย่าง เป็นจานผักหนึ่งจาน เนื้อสัตว์จานใหญ่หนึ่งจาน อาหารผัดหนึ่งจาน ยังมีน้ำแกงที่ตุ๋นด้วยวัตถุดิบมากมายหนึ่งชามบวกกับข้าวสวยถังเล็ก

เห็นถังเล็กสูงสองฝ่ามือ นางก็สงสัย สำนักเฉวียนเซียนเคยสอบถามสภาพของนางอย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นผู้ใดจะส่งข้าวถังหนึ่งมาให้ผู้บำเพ็ญเซียนสตรี ถึงแม้ถังไม่สูงนัก ทว่าแม้แต่ของเวิงเหล่าก็เป็นข้าวเพียงถ้วยเดียวเท่านั้น

วางอาหารของตนเองลงบนโต๊ะ วางน้ำแกงถ้วยเล็กเบื้องหน้าตนเอง จินเฟยเหยานั่งลงกินข้าวด้วยกันกับทุกคน ในอาหารของเวิงเหล่ายังมีสุราขวดหนึ่ง หยิบจอกเล็กขึ้นมารินให้นางนิดหนึ่ง แค่ชิมคำเดียวก็เผ็ดร้อนจนทำให้จินเฟยเหยาสั่นศีรษะ

รับประทานอาหารเสร็จแล้ว จินเฟยเหยาก็แอบออกไป ตอนนี้ยังหัวค่ำบนถนนกลับยังมีคนไปมา คึกคักอย่างยิ่ง

นางไปร้านเมล็ดพืชก่อน ซื้อเมล็ดหญ้าวิญญาณราคาถูกเป็นชนิดๆ ไป จากนั้นก็เดินไปร้านสัตว์ภูติที่รวมกันอยู่ที่ถนนเป่ยเหอ เพิ่งเข้าถนนเป่ยเหอก็เห็นร้านสัตว์ภูติใหญ่น้อยข้างถนนเปิดเต็มไปหมด

ตรงประตูของแต่ละร้านล้วนจัดแสดงสัตว์ภูติหลายตัวเป็นป้ายร้าน ตัวที่เชื่องและน่ารักก็ผูกเชือกไว้ ส่วนสัตว์ภูติที่ดุร้ายก็ใส่กรงอันสวยงาม ถ้าเป็นสัตว์ภูติหายากจะมีคนมากมายยืนมุง

จินเฟยเหยาเดินเข้าไปอย่างสงสัย คิดจะดูว่าร้านเหล่านี้นำสัตว์ภูติอะไรออกมาเป็นป้ายร้าน

Related

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset