เข้าเมืองแล้ว เนื่องจากจินเฟยเหยาไม่รู้จักทางจึงเปลี่ยนให้ปู้จื้อโหยวมาขับรถสัตว์หกเขาแทน
ถนนของที่นี่ไม่ได้เป็นเส้นตรง ทว่าวนขึ้นไปบนเมืองภูเขาอย่างช้าๆ สองฟากฝั่งเป็นบ้านร้านค้าแน่นขนัด สีสันของบ้านแต่ละหลังก็แตกต่างกัน ตรงประตูหรือบนหลังคาจะมีดอกไม้และพืชพรรณโผล่ออกมาเพิ่มสีสันให้กับเมืองที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนไม่น้อย เพื่อให้รถเทียมสัตว์เหล่านี้ขึ้นลงได้สะดวกจึงสร้างถนนกว้างขวาง ถึงรถเทียมสัตว์สิบคันเรียงแถวหน้ากระดานก็ยังเหลือพื้นที่อีกมากให้คนเดิน
ด้านล่างส่วนมากเป็นบ้านสามสี่ชั้นที่สร้างติดกัน ยิ่งขึ้นไปข้างบนบ้านที่มีร้านค้าหันหน้าเข้าหาถนนก็ยิ่งมีน้อยลง พอถึงชั้นตรงกลางก็ไม่มีร้านค้าข้างถนนแล้ว สิ่งที่ปรากฏคือเรือนขนาดใหญ่ที่ยึดครองพื้นที่เป็นแถบๆ
สามารถมองเห็นสนามหญ้าที่ราบเรียบ เด็กเผ่ามารทะเลาะกันพลางวิ่งไปมา และตำหนักเล็กๆ อันงดงามด้านในที่กั้นด้วยประตูและกำแพงศิลาห้าหกสีสันได้
“อาปู้ ตำหนักเล็กๆ ที่ชนชั้นสูงเหล่านี้อาศัยอยู่ก็ไม่ใหญ่นะ ดูแล้วยังกว้างสู้ถ้ำเซียนที่ข้าหาภูเขาขุดอยู่เองไม่ได้เลย” ถึงแม้เรือนที่เล็กที่สุดจะมีพื้นที่สิบกว่าหมู่ ทว่าขนาดเท่านี้สำหรับคนที่ขุดถ้ำอยู่เองอย่างจินเฟยเหยาแล้ว แบบนี้เป็นเพียงแค่เรือนเล็กๆ
ในเมื่อเป็นชนชั้นสูงก็ต้องมีบ่าวไพร่ มีภรรยาและอนุภรรยามากมาย รวมถึงบุตรธิดาโขยงหนึ่ง เรือนเล็กๆ แค่นี้ คนมากมายปานนั้นจะอยู่ได้อย่างไร หรือว่าอนุภรรยาสองคนอยู่ห้องเดียวกัน?
ปู้จื้อโหยวมองเรือนเล็กๆ ข้างทางแล้วหัวเราะพลางเอ่ย “ไม่มีทางเลือก ภูเขาวั่นซั่นก็ใหญ่เพียงแค่นี้ ความแข็งแกร่งและดินแดนเล็กเกินไปก็ได้แต่อยู่เรือนเล็ก การแย่งชิงดินแดนส่วนมากของโลกเผ่ามารล้วนคลี่คลายที่นี่ แต่ละตระกูลและแต่ละเผ่าล้วนต้องทิ้งคนไว้ที่นี่ สามารถอาศัยอยู่ที่ภูเขาวั่นซั่นได้ก็คือสัญลักษณ์ของตำแหน่งและศักดิ์ฐานะ โชคดีที่ไม่ต้องให้คนทั้งตระกูลเบียดเสียดกันอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่ค่อยแออัดนัก”
“บ้านของเจ้าสีอะไร? ท่านแม่ของเจ้าดุหรือไม่? ตระกูลของเจ้าใหญ่หรือไม่? ปกติเจ้าถูกญาติพี่น้องเผ่ามารรังแกหรือไม่?” จินเฟยเหยามีคำถามมากมาย ยามนี้จึงถามออกมาทั้งหมด
ปู้จื้อโหยวไม่รู้จะตอบคำถามไหนดี จึงรีบกวักมือเรียกนาง “คำถามของเจ้ามากมายเกินไป พอไปถึงก็รู้ เดินขึ้นไปอีกหน่อย ใกล้จะถึงแล้ว”
นี่เป็นครั้งแรกที่จินเฟยเหยาไปพบหัวหน้าครอบครัวของบ้านสหาย ทั้งยังเป็นเผ่ามารที่เป็นศัตรูกับเผ่ามนุษย์อีก ช่องว่างห่างกันเกินไป
ไม่รู้ว่าจะได้พบกับพี่สาวน้องสาวผู้เย่อหยิ่งและลูกพี่ลูกน้องชายผู้ชั่วร้ายในตำนานหรือไม่ ในหนังสือเล่มเล็กที่สตรีส่งให้อ่านต่อๆ กันในโลกมนุษย์ล้วนมีเขียนถึงบุคคลเช่นนี้ ถึงตอนนั้นเห็นตนเองเป็นคนเผ่ามนุษย์ ไม่แน่ว่าอาจจะรังแก
จินเฟยเหยาคิดเหลวไหลไร้สาระมาตลอดทาง ส่วนรถสัตว์หกเขายิ่งปีนสูงขึ้นไป ค่อยๆ เดินไปถึงจุดสูงสุดของภูเขาวั่นซั่น
บ้านเรือนของที่นี่ล้วนใหญ่โต โดยพื้นฐานแล้ววนหนึ่งรอบก็คือหนึ่งหลัง ประตูใหญ่ของบ้านแต่ละหลังล้วนมีองครักษ์ท่าทางน่าเกรงขามยืนอยู่ ผิวสีทองแดงของพวกเขาภายใต้แสงอาทิตย์ราวกับเป็ดย่างที่มีน้ำมันหยด จินเฟยเหยามองดูจนรู้สึกหิว
ยามนี้อยู่ห่างจากยอดเขาไม่ไกล ปู้จื้อโหยวเคยบอกว่าจอมมารหลงอาศัยอยู่บนยอดเขา และตำหนักสีขาวบริสุทธิ์บนยอดเขาหลังนั้นก็คือสถานที่พำนักของเขา ศาลารูปวงกลมที่สูงลิบลิ่วตรงกลางคือสถานที่ซึ่งชนชั้นสูงเหล่านี้มารวมตัวกันปรึกษาหารือเรื่องงานและเป็นสีดำเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ท่ามกลางตำหนักสีขาว
“บ้านของเจ้าคงไม่ได้อยู่บนสุดนะ หรือว่าเจ้ากับจอมมารหลงเป็นญาติกัน?” เห็นใกล้ยอดเขาเข้าไปทุกที จินเฟยเหยาอดเอ่ยถามไม่ได้
บนถนนยามนี้มีเพียงรถเทียมสัตว์ของพวกเขาคันเดียว รถเทียมสัตว์ที่งดงามสุดเปรียบปานซึ่งเข้าเมืองมาพร้อมกันเมื่อครู่กลับถึงบ้านที่ด้านล่างนานแล้ว มีเพียงรถเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาของพวกเขาแล่นมาจนถึงจุดสูงสุดของอำนาจ
“ไม่ต้องมองข้างบน ถึงแล้ว” ปู้จื้อโหยวดึงสัตว์หกเขาให้จอดหน้าประตูเรือนขนาดใหญ่หลังหนึ่ง
พอจินเฟยเหยาเห็น ที่นี่อยู่ห่างจากยอดเขาเพียงวนสองสามรอบเท่านั้น มีสัตว์มงคลขนสิงโต ขนยาวสีขาว ลักษณะซื่อตรงและเรียบง่าย หมอบอยู่ตรงประตูเรือนสองตัวแทนองครักษ์เฝ้าประตูแบบเรือนด้านล่าง
นางติดตามปู้จื้อโหยวเดินลงจากรถเทียมสัตว์หกเขา ภายในประตูเรือนที่เปิดกว้างอยู่ตลอดเวลามีชายชราผมสีน้ำตาลเดินออกมาอย่างเร่งร้อน ด้านหลังยังมีบุรุษเรือนร่างสูงใหญ่สี่คนติดตามมา เห็นสีหน้าเคร่งขรึมและท่าทางเตรียมพร้อมรับมือของพวกเขา จินเฟยเหยาก็อดคิดไม่ได้ หรือว่าปู้จื้อโหยวก็เคยทำเรื่องแบบเดียวกันกับที่ตนเองเคยทำ ตระกูลไม่ยินดีต้อนรับ เพิ่งปรากฏตัวก็ส่งคนมาจับ
เรื่องจริงพิสูจน์ว่านางคิดมากเกินไป น้อยคนนักที่จะทำเรื่องแบบเดียวกับนาง
ชายชราพาชายฉกรรจ์สี่คนเดินมาถึงเบื้องหน้าอย่างเร่งรีบ ครู่หนึ่งทั้งหมดก็คุกเข่าข้างเดียว “ใต้เท้าอาปู้ ในที่สุดท่านก็กลับมา! ใต้เท้าไหวเป็นห่วงท่านอยู่ตลอดเวลา”
หลังเข้าสู่ภูเขาวั่นซั่น บรรดาทาสและคนธรรมดาก็ไม่ต้องคุกเข่า เพียงก้มหน้าคารวะก็พอ ชนชั้นสูงที่นี่มีมากมายดุจขนวัว ถ้าเจ้าให้ผู้อื่นลงคุกเข่า เดินออกไปไม่กี่ก้าวก็พบชนชั้นสูงอีกคน มิต้องคุกเข่าอยู่ตลอดเวลาหรือ ยังจะทำงานหรือไม่ ตอนนี้คนทั้งห้าคุกเข่าเช่นนี้ จินเฟยเหยาโล่งอกสุดท้ายก็ไม่ได้มาจับคน
“ลุงเมิ่งไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถอะ” ปู้จื้อโหยวเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง
รอจนคนทั้งห้าลุกขึ้น ปู้จื้อโหยวชี้จินเฟยเหยาที่มอมแมมไปทั้งตัวทางด้านหลัง “นี่คือสหายของข้าที่โลกเผ่ามนุษย์ มาร่วมงานอวยพรวันเกิดของท่านแม่โดยเฉพาะ เพื่อความสะดวกจึงแต่งกายเช่นนี้ ข้าจะไปพบท่านแม่ก่อน เจ้าพานางไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นนำนางมาที่ห้องโถงด้านหน้า นางไม่ค่อยเข้าใจภาษามาร เจ้ามอบหมายให้สาวใช้ที่พูดภาษามนุษย์ได้ไปรับใช้นาง”
คำพูดที่ปู้จื้อโหยวเอ่ยกับลุงเมิ่งล้วนใช้ภาษามนุษย์ราวกับเพื่อดูแลจินเฟยเหยา คนทั้งห้าไม่มีสีหน้าฟังไม่เข้าใจ โดยเฉพาะลุงเมิ่ง รีบใช้ภาษามนุษย์ตอบทันที “ใต้เท้าอาปู้วางใจได้ ข้าจะให้คนพาคุณหนูท่านนี้ไปเดี๋ยวนี้ ทางด้านใต้เท้าไหวข้าได้ส่งคนไปแจ้งแล้ว ยามนี้นางกำลังอยู่ในห้องโถงด้านหน้า หากได้พบใต้เท้าต้องปีติยินดีอย่างยิ่งแน่นอน”
“อืม” ปู้จื้อโหยวพยักหน้าอย่างมีมาด จากนั้นมองจินเฟยเหยาที่ตึงเครียดนิดๆ แล้วเอ่ยว่า “เจ้ากลัวอะไร แค่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้น เต๋อสี่เคยให้สิ่งของที่ล้างสีได้แก่เจ้า เจ้าเอาเขาผุๆ คู่นั้นออกและล้างผมสีแดงทิ้ง แลดูยากจนแทบตายแล้ว”
“ใครกลัวเล่า เพียงแต่ที่นี่มีคนเผ่ามารมากเกินไป ข้าจึงรู้สึกตึงเครียดนิดหน่อย” จินเฟยเหยาพึมพำอย่างไม่สบายใจ แล้วกลอกตาใส่เขา
การกระทำที่ไร้มารยาทของนาง ไม่ถูกบริภาษว่าบังอาจ ตำหนิว่าไร้มารยาท ราวกับพวกลุงเมิ่งทั้งห้าคนมองไม่เห็น เดินนำพวกเขาสองคนเข้าไปในเรือน
ปู้จื้อโหยวเพิ่งเดินเข้ามาก็โบกมือให้จินเฟยเหยา จากนั้นทิ้งนางไว้คนเดียวแล้วเดินไปตำหนักสีแดงเพลิงซึ่งอยู่ไกลๆ
เห็นเงาร่างที่จงใจโบกมืออย่างสง่างามของเขาไกลออกไปทุกที จินเฟยเหยาแอบมองคนเผ่ามารทั้งห้าข้างกายแวบหนึ่ง ถูกชายชราขั้นหลอมรวมช่วงกลางคนหนึ่งและบุรุษเผ่ามารขั้นสร้างฐานช่วงปลายกึ่งเปลือยสี่คนโอบล้อมไว้ ความรู้สึกนี้น่าหวาดกลัวและเหมือนถูกควบคุมมากเกินไปจริงๆ
โชคดีที่ลุงเมิ่งมองความอึดอัดของนางออก รีบตะโกนเรียกสาวน้อยผมสีทองขั้นสร้างฐานช่วงต้นคนหนึ่งมา “เจ้าพาคุณหนูท่านนี้ไปล้างหน้าบ้วนปาก แล้วเตรียมเสื้อผ้าให้ชุดหนึ่ง นี่คือสหายที่ใต้เท้าอาปู้พากลับมาจากโลกเผ่ามนุษย์ เป็นแขกผู้มีเกียรติ”
จินเฟยเหยาสงสัยอย่างหนัก ถ้าลุงเมิ่งไม่ได้กำชับเป็นพิเศษว่าตนเองเป็นแขกผู้มีเกียรติ สาวน้อยผมสีทองคนนี้อาจจะพาตนเองไปห้องครัว รอตอนปู้จื้อโหยวมาเห็นตนเองคงสุกพร้อมขึ้นโต๊ะอวยพรวันเกิดท่านแม่ของเขาแล้ว
ชายฉกรรจ์ถูกลุงเมิ่งพาตัวไป จินเฟยเหยาติดตามสาวน้อยผมสีทองคนนี้ไปล้างหน้าบ้วนปาก ตลอดทางไม่มีการสนทนา คนทั้งสองเดินอย่างเงียบๆ สาวน้อยที่นำทางอยู่เบื้องหน้าสายตามองตรงไปข้างหน้าตลอดเวลา สำหรับนางแล้วจินเฟยเหยาที่เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ด้านหลังประดุจเมฆาล่องลอย
ห้องภายในบ้านของปู้จื้อโหยวทั้งหมดเป็นสีแดงเพลิง ไม่ว่าระเบียงหรือศาลา แม้แต่โต๊ะและเก้าอี้ศิลาข้างทะเลสาบก็เป็นสีแดง นี่ไม่ใช่ความชอบธรรมดาแล้ว พูดง่ายๆ คือชื่นชอบเป็นพิเศษ จินเฟยเหยาหมดคำพูด ไม่ชื่นชมสุนทรียศาสตร์ของบ้านปู้จื้อโหยวอย่างยิ่ง
สาวน้อยเดินนำนางมาจนถึงหน้าห้องรูปวงกลม ผลักประตูเข้าไป คิดไม่ถึงว่าด้านในจะเป็นสระน้ำพุร้อนรูปวงกลม ไอน้ำในสระพร่ามัว ข้างสระมีอ่างและที่ขัดตัว ทั้งยังมีร่องน้ำพุร้อนที่ไหลรินสายเดียวใช้สำหรับรดตัว
นางใช้ภาษามนุษย์ที่แข็งทื่อเอ่ยวาจา “นี่คือสถานที่อาบน้ำของพวกเรา แขกผู้มีเกียรติโปรดค่อยๆ ลิ้มรส ข้าจะไปเตรียมเสื้อผ้าให้ท่าน”
ค่อยๆ ลิ้มรส? ไม่ใช่ของกินเสียหน่อย ยังให้ลิ้มรสอีก จินเฟยเหยาเอ่ยขอบคุณ ก็เห็นสาวน้อยจากไปอย่างโล่งอก ราวกับยินดีที่ไม่ต้องรับใช้คนเผ่ามนุษย์ที่น่าชังอาบน้ำ
เดิมทีจินเฟยเหยาก็ไม่ต้องการให้คนช่วย ทั้งยังอยู่ในบ้านคนอื่น อาบเร็วหน่อยเป็นดีที่สุด เพียงแต่มองดูรอบด้าน นางก็นึกถึงตาเฒ่าที่ต้องใช้นมแพะฉางหลิงแช่ร่างในอดีตนานมาแล้ว ชนชั้นสูงนั้นไม่เหมือนกัน ถึงทิวทัศน์รอบด้านจะด้อยไปหน่อย ทว่าน้ำพุร้อนแห่งนี้ดีกว่าสระที่ต้องปล่อยน้ำมากนัก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง นี่เป็นเพียงสระที่บ่าวของผู้อื่นใช้สอย ไม่รู้ว่าอ่างอาบน้ำของใต้เท้าอาปู้จะมีลักษณะเช่นไร
นางนำเขาลงมาอย่างว่องไว แล้วเปิดขวดที่เต๋อสี่มอบให้เตรียมล้างสีย้อมบนศีรษะออก พอเปิดขวดกลิ่นเหม็นก็พุ่งเข้ามาปะทะหน้า เหม็นจนจินเฟยเหยาคลื่นไส้ทันที ก่อนหน้านี้เต๋อสี่เคยเตือนนางว่าของสิ่งนี้มีกลิ่นเหม็น ทว่าหลังจากล้างออกจะไม่ติดบนร่าง แต่คิดไม่ถึงว่าจะเหม็นขนาดนี้กลิ่นสูสีกับเห็ดหูหนูเน่าเลยทีเดียว
โชคดีที่สาวน้อยคนนั้นไม่อยู่ ไม่เช่นนั้นได้กลิ่นเหม็นขนาดนี้ คนอื่นจะนึกว่าข้าสกปรก ต้องขายหน้ามากแน่ จินเฟยเหยารู้สึกยินดียิ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้นก็เห็นสาวน้อยผมสีทองคนนั้นหิ้วตะกร้าเล็กๆ ใส่เสื้อผ้ายืนอยู่ตรงประตู นางมีสีหน้าหวาดผวา จากนั้นมีแววขยะแขยงเล็กน้อยวาบขึ้นในดวงตา วางตะกร้าลงแล้วรีบสาวเท้าวิ่งออกไป
จินเฟยเหยาหลั่งน้ำตา ได้ยินสาวน้อยหอบหายใจอย่างหนักอยู่ข้างนอก ทั้งยังพูดภาษามารที่น่าสงสัยหลายประโยคผ่านหูอันแหลมคมหลังขั้นสร้างฐาน
“เต๋อสี่ นี่เจ้าจงใจจัดการข้าหรือ?” จินเฟยเหยากำขวดในมือแน่น ถ้าไม่ต้องใช้มันล้างสีบนเส้นผม นางคงบีบขวดแตกไปนานแล้ว
ครั้งนี้นางไม่สนใจสักนิดว่าการยึดครองห้องอาบน้ำของบ้านผู้อื่นเป็นเวลานานจะเสียมารยาทหรือไม่ หลังจากล้างสีแดงบนเส้นผมออก นางมีความรู้สึกหลอนว่าบนศีรษะของตนเองเทินอุจจาระอยู่ตลอดเวลา นางอ่านวิธีใช้ไม่ออกจึงเทใส่อ่างไม่หยุด ขอเพียงมีกลิ่นหอมล้วนใช้อาบน้ำสระผม จนกระทั่งภายในห้องอาบน้ำหาสิ่งที่มีกลิ่นหอมอื่นๆ ไม่พบอีก นางจึงเช็ดร่างกายให้แห้งอย่างไม่ยินยอม แล้วผลัดเปลี่ยนเป็นชุดที่สาวน้อยส่งมาให้
ขณะก่อนจะออกจากห้องอาบน้ำ นางยังพยายามดมบนร่างเกรงว่ากลิ่นเหม็นเหล่านั้นยังติดอยู่
สาวน้อยผมสีทองรออยู่หน้าประตูห้องอาบน้ำจนหมดความอดทนไปนานแล้ว ทว่าก็กลัวว่าแขกผู้มีเกียรติจะอาบน้ำไม่สะอาด พกพากลิ่นเหม็นบนร่างไปพบใต้เท้าไหว แบบนั้นน่ากลัวเกินไป
ในยามนี้เอง พอประตูห้องอาบน้ำเปิดจินเฟยเหยาเดินออกมา ทันใดนั้น กลิ่นหอมของสบู่ทำความสะอาดอันเข้มข้นก็พุ่งมาปะทะหน้า รมจนสาวน้อยเกือบต้องปิดจมูกอย่างทนไม่ไหว
ไม่มีทางเลือก ได้แต่พานางเดินวนอยู่ในสวนหลายชั่วยาม รอให้กลิ่นจางลงหน่อยค่อยพาไปหาใต้เท้าไหว! สาวน้อยหัวไว คิดถึงวิธีแก้ไขได้ทันที