สีสันราตรีนอกหน้าต่างกำลังเข้มขึ้น จินเฟยเหยายืนอยู่ตรงหน้าต่างตากลมราตรีอันเย็นสบาย และถอนหายใจยาว
ตอนอยู่ที่ห้องโถงก่อนหน้านี้ นางยังไม่ได้ทักทายและส่งมอบของขวัญวันเกิดที่เตรียมไว้ให้ใต้เท้าไหว ยังไม่ทันได้เอ่ยคำพูดประจบประแจงก็มีคนมารายงาน บอกว่าจัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดในวันพรุ่งนี้เรียบร้อยแล้ว เชิญนางไปดูหน่อยว่ายังมีตรงไหนต้องเตรียมอีกบ้าง จากนั้นใต้เท้าไหวก็แล่นไปราวกับสายลม
จินเฟยเหยากระอักกระอ่วนสุดขีด ไม่รู้ว่าใต้เท้าไหวจะเกลียดชังตนเองหรือไม่ ยังไม่ได้จัดการก็ไปเสียแล้ว ส่วนปู้จื้อโหยวกลับหัวเราะ พานางไปรับประทานอาหารค่ำแล้วไปส่งถึงห้องที่เตรียมไว้ให้ และให้นางไปงานเลี้ยงฉลองวันเกิดในวันพรุ่งนี้ด้วย
เดิมทีจินเฟยเหยารู้สึกว่าฐานะของตนเองไม่เหมาะจะเข้าร่วมงานเลี้ยงที่มีแต่คนเผ่ามารแบบนี้ แต่ปู้จื้อโหยวกลับบอกนางว่า รอถึงงานเลี้ยงจะช่วยหาโอกาสให้นางได้พบกับจอมมารหลง คนที่มาร่วมงานฉลองวันเกิดมีมากมาย ต้องมีคนที่ใกล้ชิดกับจอมมารหลงแน่ ถ้าคนอย่างนางไปหาถึงบ้านโดยตรง หากจอมมารหลงจำนางไม่ได้ ไม่แน่ว่าจะให้สัตว์เฝ้าประตูกินตรงนั้นทันที
หลังจากจินเฟยเหยารู้ความร้ายกาจของจอมมารหลงก็ยังโอบกอดความหวังสายใยหนึ่ง ความคิดต้องการพื้นที่มิติสั่นคลอนไปเก้าในสิบส่วน ขอเพียงยังมีความคิดส่วนหนึ่งก็เพียงพอจะค้ำจุนนางไว้ได้
“พั่งจี่อ เจ้าว่าพรุ่งนี้จะได้พบจอมมารหลงหรือไม่?” นางฟุบตรงหน้าต่าง มองท้องฟ้าเหนือศีรษะด้วยสีหน้าปรารถนา
“ตุ้บ!” พั่งจื่อกำลังนั่งแทะเนื้อวัวย่างทั้งตัวอยู่ในห้องอย่างยินดี พอได้ยินนางถามก็หวาดกลัวจนเนื้อย่างในปากร่วงพื้น
พั่งจื่อกระพริบตาปริบๆ รีบใช้ลิ้นเก็บเนื้อที่ร่วงพื้นกลับเข้าปาก มันเร่งความเร็วในการกิน เกรงว่านี่จะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายในชีวิตกบของมัน ถึงตายก็เป็นผีหิวโหยไม่ได้
เห็นท่าทางการกินอาหารมื้อสุดท้ายของมัน จินเฟยเหยาด่าทอแบบแค้นเหล็กไม่กลายเป็นเหล็กกล้า[1] “พั่งจื่อ ท่าทางอะไรของเจ้า! เจ้าลองคิดดูนะ ถ้าเจ้าทำเศษเนื้อร่วง ถูกมดขนไปนิดๆ หน่อยๆ เจ้าจะกระทืบมันตายหรือไม่? เศษเนื้อน้อยนิดและมดตัวเล็กแค่นี้ ใครจะใส่ใจ ตอนนี้ข้าคือมดที่ขนเศษเนื้อเล็กๆ ไปเพื่อดำรงชีวิต จอมมารหลงต้องไม่ใส่ใจแน่”
พั่งจื่อไม่สนใจความเห็นของจินเฟยเหยา สนใจแต่จะกินวัวตัวนี้อย่างสุดชีวิต ติดตามเจ้านายเช่นนี้อาจต้องตายได้ทุกเมื่อ ความรู้สึกอันเฉียบไวของสัตว์ปิศาจไม่สามารถทำให้มันหลุดพ้นจากจิตใจที่หวาดกลัวต่อจอมมารหลงได้เพราะคำพูดไม่กี่คำของจินเฟยเหยา
ไม่รู้ว่ารอบด้านล้วนเป็นเผ่ามารหรือเนื่องจากใกล้จะได้พื้นที่มิติ จินเฟยเหยาจึงนอนไม่หลับพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงที่ปูด้วยขนสัตว์ล้ำค่า และอาจจะเป็นไปได้ว่าปกติใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกอย่างยากลำบาก ไปถึงที่ใดก็อาศัยอยู่ที่นั่น นางไม่ได้นอนเตียงอันแสนสบายขนาดนี้มานานแล้ว ดังนั้นร่างกายปรับตัวไม่ได้จึงนอนไม่หลับ
สุดท้ายนางก็ลุกขึ้นนั่งฝึกบำเพ็ญเสียเลย ตอนลืมตาขึ้นมาฟ้าก็สว่างโร่แล้ว
“ชีวิตคนเรา ที่แท้คืออะไรนะ…” หลังจินเฟยเหยาทอดถอนใจ ก็ลุกขึ้นล้างหน้าบ้วนปากผลัดเปลี่ยนเป็นชุดที่ปู้จื้อโหยวเตรียมไว้ให้นาง
วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบสองพันห้าร้อยสิบสามปีของใต้เท้าไหว จินเฟยเหยาไปเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดย่อมต้องสวมชุดหรูหราหน่อย ไม่เช่นนั้นถ้าถูกกินเป็นอาหารว่างก็ยุ่งแล้ว
จินเฟยเหยาชื่นชมความจำของคนเผ่ามารเหล่านี้จริงๆ อายุขนาดนี้ยังจำได้อย่างชัดเจน อีกทั้งอายุนี้ก็ไม่ใช่ตัวเลขกลมๆ ไม่จำเป็นต้องจัดงานฉลองวันเกิดเลยสักนิด
เนื่องจากนางเคยอยู่ในสำนักหนึ่งปีกว่า สำนักที่มีผู้บำเพ็ญเซียนอิสระมารวมตัวกันอย่างสำนักเฉวียนเซียนไม่ถือว่าเป็นสำนักอย่างเป็นทางการ ดังนั้นจึงไม่รู้จักน้ำใจที่มีต่อกัน ถ้านางใช้ชีวิตอยู่ในสำนักธรรมดาจะมีงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักแทบทุกวัน นี่คือการกระชับความสัมพันธ์และเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เงินของขวัญ รวมทั้งเป็นสิ่งที่ทำให้จู๋ซวีอู๋มีความทุกข์ก็บอกออกมาไม่ได้
หลังจินเฟยเหยาสวมเสื้อผ้าที่ปู้จื้อโหยวเตรียมให้ นางก็ตกตะลึงจนคางแทบร่วงพื้น
กระโปรงยาวสีสันสดใสที่ยาวเหยียดเป็นของวิเศษชั้นกลาง สุ่มหยิบสร้อยคอ กำไล เครื่องประดับศีรษะขึ้นมาชิ้นหนึ่งก็เป็นของวิเศษชั้นล่าง แม้แต่รองเท้าที่สวมก็เป็นของวิเศษที่มีสีสันสดใสเป็นประกายจับใจคน
“รวยแล้ว ข้าไม่มีอุปกรณ์ป้องกันดีๆ อยู่พอดี ชุดนี้มาได้จังหวะเหมาะเลย” นางตื่นเต้นยินดี ลืมไปเสียสนิทว่าต้องคืนสิ่งของเหล่านี้หรือไม่
“ถ้าข้าบอกว่าให้เจ้ายืมสวมใส่เพียงหนึ่งวันพรุ่งนี้ต้องคืนข้า เจ้าจะหนีไปวันนี้เลยหรือไม่?” ในยามนี้เอง เสียงรื่นเริงของปู้จื้อโหยวดังขึ้นตรงประตู
จินเฟยเหยาชี้เขาแล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ทำไมเจ้าไม่เคาะประตู ถ้าข้ากำลังเปลี่ยนชุดอยู่จะทำอย่างไร!”
“อย่าเลี่ยงคำถามข้า สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเพศไม่มีความสำคัญ ไยต้องทำท่าทางเหมือนสาวน้อยด้วย ต่อให้เจ้าเปลือยกายยืนอยู่ต่อหน้าข้า จะมีอะไรน่าดู” ปู้จื้อโหยวยักไหล่แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
จินเฟยเหยาถูกมองแผนการออกในพริบตา ก็ดึงเสื้อผ้าอย่างเดือดดาล เชิดหน้าขึ้นเอ่ยข่มขู่ “เมื่อครู่เจ้าแอบดูข้าเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดนี้ถือเป็นค่าชดเชยของเจ้า ข้าจะได้ไม่ต้องแอบสวมเดินออกไป”
“นี่ เจ้ามีเหตุผลหน่อย ข้าแอบดูเจ้าเมื่อไร? อีกอย่างหนึ่งเจ้าไม่ได้ลงการป้องกันไว้ ขอเพียงมีคนใช้การรับรู้กวาดดู เจ้าจะสวมหรือไม่สวมก็เป็นเช่นเดียวกัน” ปู้จื้อโหยวพิงประตูพลางเอ่ยยิ้มๆ
จินเฟยเหยาเก็บสิ่งของของตนเองหมดแล้วก็เหล่มองเขาแวบหนึ่งจึงเอ่ยว่า “ถึงความจริงจะเป็นเช่นนี้ แต่ปกติไม่มีคนทำแบบนั้น สำหรับข้าไม่เป็นไร ถ้าพวกผู้ฝึกบำเพ็ญสตรีของสำนักใหญ่ถูกคนกวาดมองแบบนี้หลายครั้งมิโกรธตายหรือ ไม่รู้ว่าจะมีผู้ฝึกบำเพ็ญสตรีใช้การรับรู้มองทะลุเสื้อผ้าของผู้ฝึกบำเพ็ญบุรุษหรือไม่ แต่ต่อให้มี สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญบุรุษคงไม่เป็นไร”
“เจ้าเห็นบุรุษทั้งหมดเป็นก้อนหินริมทางหรือ คิดจะดูก็ดู ไม่แน่ว่าบุรุษอาจจะชิงชังมากกว่าสตรีก็ได้ เจ้าอย่าทำเรื่องแบบนี้เลย โดยเฉพาะศิษย์คนสำคัญของสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียง ผู้อื่นเย่อหยิ่งภาคภูมิ ไม่แน่ว่าอาจจะคิดไม่ตกจนฆ่าตัวตาย” ปู้จื้อโหยวเคาะศีรษะนางพลางเอ่ยเตือน
“หา ร้ายแรงขนาดนั้นเลย?” จินเฟยเหยาพลันรู้สึกว่าเหมือนตนเองเคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน ทว่าก็ดูเหมือนจะไม่เคยทำมาก่อน
นางเอียงศีรษะครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงปรบมือ ในที่สุดก็นึกออก ในตัวของนางยังมีเสื้อผ้าขาดๆ ชุดนั้นของไป๋เจี่ยนจู๋อยู่ “เชอะ มิน่าล่ะ เขาจึงทำกับข้าเหมือนวิญญาณแค้นที่ไม่สลายหายไป หรือว่าเพราะข้าถอดกางเกงของเขา?”
“เจ้าถอดกางเกงใคร?” พอปู้จื้อโหยวได้ยินก็สนใจขึ้นมา รีบเอ่ยถาม
จินเฟยเหยาลูบศีรษะเอ่ยอย่างขัดเขิน “ไป๋เจี่ยนจู๋”
“อ้อ คือเจ้าหนุ่มที่เป็นศิษย์ของจู๋ซวีอู๋ซึ่งจะฆ่าเจ้าในวันนั้น เจ้าไร้ยางอายเกินไปแล้ว มองแวบเดียวก็รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นคนเย่อหยิ่งภาคภูมิและหัวแข็ง เจ้ายังทำเรื่องแบบนี้อีก ข้าขอดูแคลนเจ้าแทนบุรุษ” ปู้จื้อโหยวประณามอย่างถูกต้องชอบธรรม
จากนั้นหยิบตำราจดบันทึกเรื่องราวเล่มเล็กๆ ออกมาจากในอก ล้วงพู่กันวิญญาณมาเขียนในตำรา “ไป๋เจี่ยนจู๋ศิษย์ภายใต้จู๋ซวีอู๋แห่งสำนักตงอวี้หวง ถูกผู้บำเพ็ญเซียนอิสระจินเฟยเหยาเปลื้องเสื้อผ้าบังคับให้ฝึกบำเพ็ญคู่ ทั้งสองคนมีความแค้นไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า”
“ถุย! ใครบังคับให้เขาฝึกบำเพ็ญคู่ เจ้าอย่าเขียนมั่วซั่วจะได้หรือไม่ มีจรรยาบรรณในอาชีพหน่อย คนขายข่าวสารก็แต่งเรื่องได้หรือ!” พอจินเฟยเหยาได้ฟังว่าเขาเขียนแบบนี้ก็รีบยื่นมือไปแย่งตำราในมือเขา
ปู้จื้อโหยวสะบัดมือในความว่างเปล่า ตำราในมือก็ถูกเก็บเข้าถุงเฉียนคุน จากนั้นปิดปากหัวเราะ “เจ้าไม่เคยฝึกบำเพ็ญคู่?”
พริบตา จินเฟยเหยาก็หน้าแดงก่ำอย่างหาได้ยาก ถลึงตาใส่เขาอย่างดุร้ายแล้วฉุดลากพั่งจื่อเดินไปก่อนอย่างเดือดดาล
“ฮ่าๆๆๆ! น่าขำแทบตายแล้ว เจ้าไม่เคยฝึกบำเพ็ญคู่! อีกทั้งเจ้ายังหน้าแดงก่ำ เจ้าถึงกับหน้าแดง” ด้านหลังมีเสียงหัวเราะของปู้จื้อโหยวดังมาทันที
“รอก่อน เจ้าไม่รู้จักทาง วันนี้มีเผ่ามารจำนวนมาก เจ้าอย่าวิ่งสะเปะสะปะไปชนพวกเขาล่ะ” เห็นจินเฟยเหยาวิ่งออกไปอย่างเดือดดาล ปู้จื้อโหยวก็รีบห้ามนางไว้ จากนั้นเอ่ยแบบกลั้นยิ้ม
“ฮึ!” จินเฟยเหยาถลึงตาใส่เขา หยุดลงอย่างไม่ยินยอม
“เจ้ารอก่อน เดี๋ยวข้าก็เสร็จแล้ว” ปู้จื้อโหยวให้นางรอสักครู่ จากนั้นเขาก็ทุบกำแพงแล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
จินเฟยเหยามองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ อยากจะใช้ทงเทียนหรูอี้ไปฟันคอของเขาแรงๆ
“หัวเราะเข้าไป! ทางที่ดีหัวเราะให้ตายไปเลย!”
“ข้าหัวเราะพอแล้ว เจ้าอย่ามีโทสะเลย พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้แหละ วันนี้มีอาหารอร่อยที่ไม่มีในโลกวิญญาณเป่ยเฉินให้รับประทานมากมาย ถ้าเจ้ามีโทสะจนอิ่มแล้วจะไม่ได้ลิ้มลองนะ ปกติชนชั้นสูงของเผ่ามารยังไม่ได้กินอาหารเหล่านี้เลย มีเพียงโอกาสสำคัญจึงยกขึ้นโต๊ะ นอกจากรสชาติอร่อยแล้วยังเพิ่มพลังการบำเพ็ญเพียรด้วย” ปู้จื้อโหยวสูดลมหายใจลึกๆ หลายครั้ง เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาเพราะหัวเราะ ใช้อาหารเลิศรสหลอกล่อจินเฟยเหยา
“ก็แค่อาหาร มีอะไรวิเศษวิโสกัน ข้าไม่ใช่คนช่างกินเสียหน่อย” จินเฟยเหยาส่งเสียงขึ้นจมูก แต่เห็นได้ชัดว่าท่าทางดีขึ้นมาก
ไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ ใช้อาหารล่อก็หายโกรธ ปู้จื้อโหยวเบนศีรษะไปด้านข้างคิดจะหัวเราะอีก
ความวาดหวังต่ออาหารเลิศรสทำให้จินเฟยเหยาระงับโทสะในใจเอาไว้ พาพั่งจื่อซึ่งยินดีปรีดาจนลืมจอมมารหลงไปเช่นเดียวกันมาถึงงานเลี้ยงอย่างอารมณ์ดี
ยามนี้ภายในงานเลี้ยงมีคนเผ่ามารมาจำนวนมาก มีบุรุษสตรีสูงต่ำอ้วนผอมจำนวนนับไม่ถ้วน นอกจากทั้งหมดจะมีผมสีดำแล้ว แม้แต่เขาบนศีรษะก็ไม่เหมือนกัน
ใต้เท้าไหว ท่านแม่ของปู้จื้อโหยวกำลังนั่งอยู่บนแท่นสูง เบื้องหน้ามีโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่ง บนนั้นเต็มไปด้วยอ่างที่ใช้ภาชนะสีทองปิดไว้ ด้านในน่าจะเป็นอาหารเลิศรสที่ปู้จื้อโหยวเอ่ยถึง ส่วนด้านซ้ายมือของนางยังว่างหนึ่งตำแหน่ง จินเฟยเหยาถามปู้จื้อโหยวอย่างขัดเขิน ถ้าตำแหน่งนั้นเป็นที่นั่งคู่ครองของใต้เท้าไหว จะลำบากใจเพียงใด ใช้หัวเข่าตรองดูก็รู้ว่าปู้จื้อโหยวต้องเป็นผลผลิตจากการลักลอบมีความสัมพันธ์แน่
ตำแหน่งของปู้จื้อโหยวอยู่ด้านล่างขวาของใต้เท้าไหวและเป็นตำแหน่งด้านหน้าสุดของบรรดาชนชั้นสูง ส่วนจินเฟยเหยานั่งอยู่ระหว่างเขากับแท่นสูงของใต้เท้าไหว ตำแหน่งค่อนไปทางด้านหลังนิดหน่อย ถ้าบอกว่าสะดุดตา ที่จริงอยู่ด้านหลังแล้ว แต่ถ้าบอกว่าไม่สะดุดตา นั่นเป็นถึงสถานที่ซึ่งอยู่ข้างแท่น ผู้ใดจะมองไม่เห็น
ตำแหน่งชนชั้นสูงคนอื่นๆ อยู่ชิดริมสองฟากเป็นฝั่งละแถว แถวยาวไปจนถึงประตูของศาลาดอกไม้โดดเดี่ยวหลังนี้
จินเฟยเหยาไม่ได้ติดตามปู้จื้อโหยวเข้าทางประตูหน้า นางไม่คิดจะเดินผ่านสายตาสำรวจตรวจตราของเผ่ามารเกือบร้อยคน เข้าไปทางด้านข้างแบบไม่สะดุดตาดีกว่า
ดังนั้นนางจึงแอบนั่งอยู่ในตำแหน่งของตนเองโดยไม่มีคนสังเกตเห็น พั่งจื่อก็หดร่างเล็กลง สูงเพียงสองฝ่ามือนั่งรอกินอาหารอย่างว่าง่ายอยู่ข้างกายนาง จินเฟยเหยาได้กลิ่นหอมผ่านฝาบนภาชนะสีทองแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นของดีอะไร
……………………………………..
[1] แค้นเหล็กไม่กลายเป็นเหล็กกล้า หมายถึง รู้สึกผิดหวังในตัวของคนผู้หนึ่ง, ไม่ได้ดั่งใจ