ปรากฏการณ์ประหลาดบนท้องฟ้ายังดำเนินต่อไป โดยพื้นฐานแล้วต้องรอหลังลมปราณของไป๋เจี่ยนจู๋สงบนิ่ง ปรากฏการณ์จึงจะหายไป
ในขณะที่กำลังรอคอย เฟิงอวิ๋นจู๋เอ่ยถามอย่างเบื่อหน่ายยิ่ง “ศิษย์พี่ใหญ่ พอข้าเข้ากระจกสี่วิตกก็จะเห็นอวี้จู เนื่องจากข้ากลัวนางดังนั้นจึงเกิดภาพมายาเช่นนี้หรือ? แบบนั้นก็เหมือนศิษย์น้องหลิวเทียนจู๋ซึ่งสับสนเรื่องที่ท่านพ่อท่านแม่ทอดทิ้งเขาที่เพิ่งอายุสามขวบไว้บนเส้นทางหลบหนีทุพภิกขภัยมาตลอด ขอเพียงเข้าไปในกระจกสี่วิตกก็จะเห็นท่านพ่อท่านแม่รักและเอ็นดูเขาอย่างยิ่ง ต้องการอะไรมากที่สุดภายในกระจกก็จะให้สิ่งนั้นใช่หรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าจึงไม่เห็นอวี้จูแต่งงานกับผู้อื่น?”
“ครั้งที่แล้วศิษย์น้องเทียนจู๋จมลงในความรักความอบอุ่นของครอบครัวจนไม่อาจหลุดพ้น ต่อมาอาจารย์ยื่นมือช่วยจึงนำเขาออกมาจากภาพมายาได้ ทว่าระยะนี้ พอเขาเข้าไปในกระจกสี่วิตกก็จะเห็นท่านพ่อท่านแม่กำลังทารุณเขา และดีต่อพี่ชายของเขาทำให้เขาเจ็บปวดจนไม่อยากเข้าไป” โม่อวี่จู๋เอ่ย และเอียงศีรษะไปมองหลิวเทียนจู๋ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
“สีหน้าของเขายิ่งซีดขาวมากขึ้น ของวิเศษของซือจู่ชิ้นนี้ซับซ้อน และไร้กฎเกณฑ์โดยแท้” เฟิงอวิ๋นจู๋มองหลิวเทียนจู๋ทางด้านข้าง รูปร่างผอมบางและอ่อนแอของเขาราวกับเนื่องจากตอนเด็กๆ อดอยากมามาก ร้อยปีมาแล้ว ไม่เห็นกินจนอ้วนท้วนขึ้นเลยสักนิด ลมพัดคราหนึ่งก็รู้สึกเหมือนจะพัดล้มลงกับพื้น
ได้ยินเฟิงอวิ๋นจู๋พูดแบบนี้ โม่อวี่จู๋จึงเหลียวซ้ายแลขวาโดยไม่รู้ตัว เกรงว่าจู๋ซวีอู๋จะโผล่ออกมาจากที่ใดกะทันหัน จากนั้นเขาจึงเอ่ยกระซิบว่า “เจ้าไม่รู้หรือ ข้าได้ยินมาจากอาจารย์ว่าเดิมทีซือจู่หลอมกระจกสี่วิตกออกมาแกล้งคน เขาบอกว่าในชีวิตของคนเรามีความทุกข์ต่างๆ นานา เป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นขุ่นเคือง ยินดี สุขใจ เสียใจ ล้วนสามารถทำให้เจ้าเกิดความรู้สึกที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงเรียกว่ากระจกสี่วิตก”
“ท่านหมายความว่าเขาให้คนเข้าไป จากนั้นก็ให้ประสบเรื่องที่ทำให้ขุ่นเคือง ยินดี สุขใจ เสียใจรอบหนึ่ง เช่น ถ้าอยากได้รับความรักจากครอบครัว นอกจากจะได้พบท่านพ่อท่านแม่ที่รักและเอ็นดูตนเอง ก็จะได้พบกับฉากที่ท่านพ่อท่านแม่ทรมานและสังหารตนเอง ถ้าในใจรักสตรีผู้หนึ่งอย่างยิ่งก็จะเห็นนางแต่งงานกับผู้อื่น ทว่าหลังจากเจ็บปวดเสียใจแล้ว กระจกสี่วิตกจะทำให้เห็นอีกว่าตนเองแต่งงานกับนาง หลังจากแต่งงานแล้วก็จะเห็นว่านางมีชู้อีก?”
โม่อวี่จู๋พยักหน้า “เป็นเช่นนี้ ไม่เหมือนภาพมายาที่เกิดจากจิตใจธรรมดา กระจกสี่วิตกจงใจเลือกเรื่องที่เจ้าไม่อยากทำที่สุดมากระทำ ได้ยินว่าขณะที่ซือจู่อยู่ขั้นหลอมรวม เคยโยนคู่ต่อสู้เข้าไป คนผู้นั้นเห็นตนเองแต่งงานกับบุตรสาวของตน จึงทำให้ชีพจรวิญญาณของคนผู้นั้นกระทบกระเทือนจนขาดสะบั้นทันที”
“บุตรสาวของคนผู้นั้นอายุเท่าใด?” เฟิงอวิ๋นจู๋รู้สึกบ้าบออยู่บ้าง ไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองต้องถามเช่นนี้
โม่อวี่จู๋เหม่อมองไปไกล และเอ่ยอย่างชืดชา “เจ็บขวบ”
“ซือจู่ตลกร้ายจริงๆ ท่านพูดเช่นนี้ยังจะให้ข้าเข้าไปในกระจกสี่วิตกหรือไม่” เฟิงอวิ๋นจู๋ปาดเหงื่อเย็นเยียบ อยากจะไปถามไป๋เจี่ยนจู๋ทันทีว่าเขาจัดการภาพมายาได้อย่างไร
พอคิดว่าตนเองอาจจะถูกซือจู่เล่นตลกร้าย ทำให้เห็นเสี่ยวจูเล็กๆ โขยงหนึ่งที่เกิดจากอวี้จู เขาก็อยากหาเชือกปอสักเส้นผูกคอตนเองตาย กระจกสี่วิตกนี้ไม่เข้าไปได้หรือไม่
ในขณะที่เฟิงอวิ๋นจู๋สับสนอย่างที่สุด ภาพมายาเหนือตำหนักซวีชิงก็ค่อยๆ ล่าถอยไป ครู่หนึ่งประตูใหญ่ของตำหนักซวีชิงก็เปิดออก ไป๋เจี่ยนจู๋เดินติดตามด้านหลังคงจู๋อู๋และคงจู๋โหย่วออกมา ทุกคนรีบเหินร่างและเหยียบไผ่มาหา ห้อมล้อมเขาไว้แล้วพากันเอ่ยแสดงความยินดีกับเขา
สีหน้าของไป๋เจี่ยนจู๋ซีดขาวอยู่บ้างทว่าตรงส่วนอื่นๆ ยังไม่เลว สภาพจิตใจดีกว่าเมื่อก่อนมาก เขาเพิ่งบรรลุขั้นหลอมรวม ห้วงการรับรู้ยังไม่เสถียร คงจู๋อู๋สั่งให้เขาไปปิดด่านกักตนสองสามปีทำให้ห้วงการรับรู้มั่นคงก่อน ทว่าโม่อวี่จู๋กลับรีบเชิญคงจู๋อู๋มาด้านข้าง ทั้งสองคนพูดคุยกันเบาๆ
เฟิงอวิ๋นจู๋ฉวยโอกาสนี้เข้าไปใกล้ไป๋เจี่ยนจู๋และเอ่ยถามว่า “ศิษย์น้องไป๋ ตอนเจี๋ยตันเจ้าเห็นภาพมายาอะไร และคลี่คลายอย่างไร?”
ไป๋เจี่ยนจู๋ลังเลเล็กน้อย เห็นบรรดาศิษย์พี่ที่ยังไม่ได้เจี๋ยตันมองเขาด้วยสีหน้าวาดหวังก็เงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยสายตาเคร่งขรึม “ภาพมายาน่ากลัวอย่างยิ่ง ทั้งยังอธิบายไม่ได้ ทำร้ายปณิธานอย่างสาหัสสากรรจ์ ทำให้รู้สึกสงสัยในตนเอง ข้าไม่รู้ว่าคนอื่นๆ เจี๋ยตันในกระจกสี่วิตกอย่างไร ทว่าของข้าคือสะบั้นจุดกำเนิดแห่งฝันร้าย ภาพมายาหายไปจึงเจี๋ยตันทันที”
“ศิษย์น้อง นอกจากซือจู่และเจ้า ยังไม่มีผู้อื่นเจี๋ยตันในกระจกสี่วิตกชั่วคราว เจ้าพูดคลุมเครือเกินไป บอกตรงๆ หน่อยได้หรือไม่ว่าเห็นอะไร?” เฟิงอวิ๋นจู๋เอ่ยอย่างไม่พอใจ
ไป๋เจี่ยนจู๋มองเขาแล้วเงียบงันอยู่นาน จากนั้นจึงเอ่ยช้าๆ “ข้าลืมไปแล้ว”
“อ๋า? หรือว่าเป็นเรื่องที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่อยากบอก คำตอบแบบนี้ไล่คนเกินไปนะ?” เฟิงอวิ๋นจู๋เอ่ยอย่างไม่ยินยอม
“คงอย่างนั้น” ไป๋เจี่ยนจู๋ตอบอย่างชืดชาดังเดิม ไม่ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ จิตใจสงบเกินคาด บางทีนี่คือประสิทธิภาพของกระจกสี่วิตก
ยามนี้คงจู๋อู๋และโม่อวี่จู๋เดินมาหา ทั้งสองคนกระซิบคุยกันจบแล้ว
คงจู๋อู๋เดินมาถึงเบื้องหน้าทุกคน เอ่ยกับไป๋เจี่ยนจู๋ว่า “เจี่ยนจู๋ ตอนนี้เจ้าเจี๋ยตันสำเร็จแล้ว ตามเหตุผลต้องปิดด่านกักตนหลายปีก่อนเพื่อทำให้พลังการบำเพ็ญเพียรเสถียร ทว่าธุระในสำนักมีมากมายเกินไป เจ้าต้องช่วยหน่อย แต่ไม่กระทบเสถียรภาพของพลังการบำเพ็ญเพียรของเจ้าหรอก หาเวลาว่างวันละหนึ่งชั่วยามก็พอ”
“ไม่มีปัญหา ไม่ทราบอาจารย์จะให้ข้าทำสิ่งใด?” ไป๋เจี่ยนจู๋ตอบรับอย่างไม่ลังเลสักนิด
ส่วนโม่อวี่จู๋ทางด้านข้างรีบเดินมาส่งป้ายหยกชิ้นหนึ่งให้ไป๋เจี่ยนจู๋ จากนั้นเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ศิษย์น้องไป๋ นี่เป็นงานที่ข้าเลือกให้เจ้าโดยเฉพาะ สิ่งของที่ต้องนำไปพวกเราจะจัดเตรียมให้เจ้า เจ้าเพียงแค่เดินเล่นรอบๆ ก็พอ เจ้าบรรลุขั้นหลอมรวมพอดีจะได้แวะไปคารวะให้ทั่ว”
ไป๋เจี่ยนจู๋ถือป้ายหยกเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องอะไรกันแน่?”
“ทั้งหมดเป็นเรื่องมงคลของบรรดาอาจารย์อา ศิษย์พี่ศิษย์น้องและศิษย์หลานแห่งตำหนักอื่นๆ มีงานมงคลสมรส ให้กำเนิดบุตร และงานเลี้ยงฉลองวันเกิด รวมทั้งหมดห้าร้อยหกสิบฉบับ บางฉบับรับอนุภรรยา เจ้าไปพบปะตามเวลาและเป็นตัวแทนตำหนักซวีชิงส่งมอบของขวัญก็พอ” โม่อวี่จู๋ตบบ่าของเขาเป็นการให้กำลังใจ
ไป๋เจี่ยนจู๋ถือป้ายหยกอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เรื่องนี้ง่ายดายจริงๆ ทั้งยังสามารถได้รับประทานอาหารวิญญาณเลิศรสนานาชนิด ทว่าเขาเอ่ยด้วยสีหน้าขมขื่น “ศิษย์พี่ใหญ่ หนึ่งปีมีเพียงสามร้อยหกสิบห้าวัน นี่ท่านมีถึงห้าร้อยหกสิบฉบับ ในสำนักจะมีคนมากมายปานนี้แต่งงานได้อย่างไร”
โม่อวี่จู๋ตบบ่าเขา “สามร้อยหกสิบห้าฉบับเป็นงานอวยพรวันเกิด วันหนึ่งในจำนวนนั้นมีคนถือกำเนิดถึงห้าหกคน ไม่ต้องกลัว เจ้าก็บอกว่าเจ้าต้องทำให้พลังการบำเพ็ญเสถียร เพียงโผล่หน้าไปให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องหรือผู้เยาว์ที่อยู่ขั้นเดียวกันเห็นก็พอ ข้ายุ่งจริงๆ ถ้าเจ้าไม่ยอมไปยังมีงานจิปาถะภายในตำหนักต้องจัดการอีก ถ้าเจ้าอยากทำ พวกเราแลกกันก็ได้”
“ช่างเถอะ ข้าไปงานพวกนี้ดีกว่า” ไป๋เจี่ยนจู๋ไม่ใช่คนโง่ เรื่องที่โม่อวี่จู๋ทำเป็นประจำยุ่งมาก เขาเห็นอย่างชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่ในสำนักนี้ใช่สมควรมีกฎระเบียบหรือไม่ ห้ามเชิญแขกมางานฉลองวันเกิดและงานรับอนุภรรยา แต่งภรรยาได้คนเดียว ให้กำเนิดบุตรก็มิอาจให้กำเนิดทุกวัน ถ้าไปงานฉลองวันเกิดจนหมดก็มีเพียงสองร้อยกว่าฉบับมิใช่หรือ
เขาแบ่งการรับรู้เล็กน้อยไปกวาดดูด้านในก็ตะลึงงัน มีผู้อาวุโสขั้นกำเนิดใหม่สองคน ภายในเดือนนี้ให้กำเนิดบุตรรวมทั้งหมดสิบเอ็ดคน นี่มีอนุภรรยามากเพียงใดกันแน่!
ไป๋เจี่ยนจู๋เจี๋ยตันเป็นเรื่องมงคลของตำหนักซวีชิงต้องเชิญแขกมามากเป็นธรรมดา คงจู๋อู่เชิญทุกคนรอบหนึ่ง ในที่สุดก็สามารถชดเชยของขวัญที่ส่งมอบออกไปได้ ศิษย์เหล่านี้ไม่มุมานะเอาเสียเลยขนาดงานมงคลสักงานก็ยังไม่มี แม้แต่วันเกิดก็ถูกเขาให้โม่อวี่จู๋บีบบังคับให้ทุกคนต้องจัดงานเลี้ยงสักครั้ง ไม่เช่นนั้นสิ่งของมีแต่ออกไปไม่มีเข้ามา ผ่านไปไม่กี่ปีตำหนักซวีชิงคงกลายเป็นตำหนักยาจก
สองปีต่อมา เป็นฤดูหนาวของเจตจำนงหกเหลี่ยมอีกครั้ง ภายในถ้ำใต้กองหิมะมีกลิ่นหอมของเนื้อชาบูอันคุ้นเคยส่งออกมาดังเดิม
ยังเป็นหม้อเปลือกหอยสายรุ้ง เพียงแต่ปีนี้มีเพียงสองใบ พั่งจื่อและต้านิวนั่งล้อมวงกินเนื้อชาบูด้วยกันอย่างเงียบงัน ในพื้นที่ว่างแคบเล็กข้างหม้อชาบูมีจินเฟยเหยานั่งทะลวงเจี๋ยตันมาห้าวันแล้ว
ขั้นตอนการเจี๋ยตันของนางราบรื่นอย่างยิ่ง ยาปราณฟ้าดินห้าธาตุหลอมสำเร็จหนึ่งเตาได้ยาที่ติดกลิ่นหอมของเนื้อสองเม็ด เมื่อเริ่มเจี๋ยตันก็กินลงไปเม็ดหนึ่ง เมื่อครู่ก็กินโลหิตตานมารลงไปอีก เห็นปราณวิญญาณสีฟ้าดำปกคลุมทั่วร่างนางทำให้คนอดสงสัยไม่ได้ ยายนี่คงไม่ได้กลายเป็นมารไปหรอกนะ
ภายในกระจกสี่วิตกไม่เกิดปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ไม่ว่าที่นี่จะมีสี่ฤดูอย่างไร ก็เป็นเพียงพื้นที่ว่างเล็กๆ เท่านั้น จินเฟยเหยาเจี๋ยตันปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเกิดขึ้นภายนอกเจตจำนงหกเหลี่ยม จินเฟยเหยาไม่ได้ครุ่นคิดว่าตอนนี้จอมมารหลงอยู่ที่ใด ไม่ว่าอยู่ที่ใดตนเองก็จะเจี๋ยตัน และนางยังเตรียมตัวฉวยโอกาสขณะเกิดปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเมื่อเจี๋ยตันสำเร็จ ชักนำพลังปราณแห่งฟ้าดินทะลวงเจตจำนงหกเหลี่ยมออกไปเรียบร้อย
ทันใดนั้น นางพลันลืมตา ปราณวิญญาณบนร่างทะลักออกมาทำให้พั่งจื่อและต้านิวตกใจกลัวนึกว่านางจะระเบิดตนเอง
ภายในเจตจำนงหกเหลี่ยมสั่นสะเทือน ปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลทะลักทลายออกมาจากร่างจินเฟยเหยา ชักนำให้เจตจำนงหกเหลี่ยมเกิดความวุ่นวาย การสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นทุกที นางคำรามลั่นชูสองมือขึ้นฟ้า พลังวิญญาณทะยานขึ้นสู่ท้องนภาโจมตีเสาศิลาเหนือศีรษะจนปริแตกเป็นช่องสีดำสนิท
“ไป!” จินเฟยเหยากระโดดลุกขึ้น หิ้วกบสองตัวที่ยังถือตะเกียบและชามมุดเข้าไปในรอยแยกนั้นในพริบตา
จินเฟยเหยาพกพาปราณวิญญาณอันเข้มข้นตลอดร่าง รู้สึกว่าการรับรู้ของตนเองกำลังขยายออก ห้วงการรับรู้กำลังปั่นป่วน ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณอันไร้ที่สิ้นสุด เวลานี้สมควรทำให้พลังวิญญาณเสถียรโดยโคจรพลังวิญญาณหกสิบสี่โจวเทียน[1]ก่อนจึงถูกต้อง
จินเฟยเหยามีความคับแค้นแน่นอกและความปีติยินดีที่สามารถทะลวงออกจากเจตจำนงหกเหลี่ยมได้ เบื้องหน้านางสว่างวาบ คนก็พุ่งออกมาจากรอยปริแตกของเจตจำนงหกเหลี่ยม
“ฮ่าๆๆ! ในที่สุดข้าก็ออกมาได้!” จินเฟยเหยาที่พุ่งออกจากรอยแตกหัวเราะดังลั่นให้ท้องฟ้า
ทันใดนั้น จินเฟยเหยาก็พบว่าบรรยากาศไม่ถูกต้อง พั่งจื่อและต้านิวกอดต้นขานางแน่น ทั่วร่างกำลังสั่นเทาอย่างอดไม่อยู่ พอนางมองดูรอบด้านอย่างละเอียดก็กลายเป็นใบ้ในพริบตา
มังกรยักษ์ตัวหนึ่งกำลังแหวกว่ายอยู่ห่างจากนางไม่ถึงสิบจั้ง ทั้งร่างจินเฟยเหยายังสูงไม่ถึงฟันซี่เล็กๆ ซี่หนึ่งของมันเลย ร่างมังกรยักษ์มีโลหิตเต็มไปหมดและกำลังอยู่ในภาวะเดือดดาล พอจินเฟยเหยาหันหน้าไป กลางอากาศด้านหลังของนางมีมารดำสูงหนึ่งร้อยจั้งยืนตระหง่านมือกุมหอกวิญญาณมารดำด้วยท่าทางดุร้ายเช่นเดียวกัน จินเฟยเหยาพอดีติดอยู่ตรงกลางระหว่างพวกมัน
นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน!
……………………………………
[1] โจวเทียน คือ การโคจรลมปราณตามลัทธิเต๋าผ่านจุดต่างๆ ของร่างกาย แบ่งออกเป็นต้าโจวเทียนและเสี่ยวโจมเทียน