คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 207 นางมารผู้เย่อหยิ่ง

“ว่าอย่างไร? พวกเราจะอยู่ชมเรื่องสนุกที่นี่ หรือเข้าไปค้นสิ่งของก่อน?” จู๋ซวีอู๋มองจินเฟยเหยาแล้วเอ่ยถาม ถึงอย่างไรเขาก็เพียงมาร่วมความครึกครื้น จะชิงสิ่งของหรือไม่เป็นเรื่องรองลงมา

จินเฟยเหยารั้งสายตากลับเอ่ยอย่างหนักแน่น “แน่นอนว่าต้องไปหยิบสิ่งของ ความครึกครื้นนี้มีอะไรน่าดู ฉวยโอกาสที่พวกเขาไม่อยู่ พวกตัวเล็กๆ ทั้งหมดด้านในมอบให้เป็นหน้าที่ท่าน”

“เจ้าตัวเลวร้าย รีบไปเถอะ” จู๋ซวีอู๋ด่าทอยิ้มๆ ลากจินเฟยเหยาวิ่งขึ้นไปบนภูเขาอย่างรวดเร็ว

จินเฟยเหยาหันหน้าไปมองหวาหวั่นซีแวบหนึ่ง เหมือนจริงๆ เหมือนราวกับพิมพ์เดียวกัน

พวกเขาสองคนวิ่งขึ้นภูเขา ตลอดทางไม่ได้พบคนของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยสักคน ขนาดผ่านคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ในสวนขนาดใหญ่ตรงไหล่เขายังไม่พบเงาคนแม้ครึ่งคน

ตามหลักเหตุผลแล้ว อย่างไรก็ต้องมีคนออกมาชมดูเรื่องสนุก เงียบผิดปกติเกินไปจริงๆ แต่พวกเขาสองคนไม่ได้หยุดลงพุ่งตรงไปยังยอดเขาทันที ส่วนหวาหวั่นซีหลังจากโต้เถียงกับหวาหนานจื้อที่นอกภูเขาก็ต่อสู้กัน

หวาหนานจื้อควบคุมสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณในมือไปต่อกรกับหวาหวั่นซี พลังบำเพ็ญเพียรใกล้เคียงกัน หวาหวั่นซีกลับควบคุมสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณสีขาวหิมะห้าตัว สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณสีขาวเหล่านี้ ระหว่างที่หมุนตัว ยกขา ก็สามารถปลดปล่อยพลังมหาศาล คำรามส่งๆ ทีหนึ่ง เสียงร้องก็ทะยานสู่ฟ้า ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสั่นสะเทือนจนต้องถอยหลังกรูด คนธรรมดาที่ถูกไล่ไปยังทุ่งหญ้ามีโลหิตไหลออกห้าทวารทันที เจ็บปวดทรมานอย่างยิ่ง

ต่อให้ผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์มีวิญญูชนจอมปลอมมากมาย ทว่าคนที่มีหลักการยังมีไม่น้อย มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สามคนเสนอตัวไปล้อมรอบคนธรรมดาเหล่านั้น รวมพลังกันสร้างม่านแสงมาต้านทานผลกระทบของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณที่มีต่อคนธรรมดา

สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณของหวาหนานจื้อยกเท้าขึ้น ยอดเขาลูกด้านข้างก็ถูกตัดไปครึ่งหนึ่ง อานุภาพยิ่งใหญ่จนทำให้คนตกตะลึง

แต่หวาหวั่นซีมีสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณห้าตัว นางเพียงนั่งโบกมือเบาๆ บนรถเหาะโดยไม่ลุกขึ้น สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณห้าตัวก็พุ่งไป ใช้หนึ่งต้านรับห้า ต่อให้สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณของหวาหนานจื้อร้ายกาจก็ทนการโจมตีเช่นนี้ไม่ไหว

สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณหกตัวต่อสู้กันชุลมุน สะบัดขาส่งๆ ทีหนึ่ง โจมตีวายุคมกริบมาก็สามารถฟันทำร้ายร่างของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมให้บาดเจ็บได้ ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยได้รับผลกระทบจากการโจมตีด้วยวายุแหลมคม ส่งเสียงร้องโหยหวนไม่หยุด

สุดท้ายทุกคนรวมกัน เหาะไปอยู่ด้านหลังผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยยังมีผู้แข็งแกร่งต้านทานอยู่เบื้องหน้า

ผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกหวาหนานจื้อเชิญมาส่วนมากเป็นคนในสำนักส่งมา คนที่มีการคบหากับเขาอย่างแท้จริงมีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ไม่กี่คน พวกเขาไม่ลงมือผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ก็ได้แต่มองดู

ผู้บำเพ็ญเซียนไม่กี่คนนี้กำลังรอโอกาส ทว่ารออยู่นานก็ไม่เห็นผู้บำเพ็ญเซียนของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยคนอื่นๆ ออกมายืนต่อต้านอยู่ข้างหวาหนานจื้อ

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าใจอย่างยิ่ง หวาหนานจื้อเป็นประมุขคฤหาสน์มาหลายร้อยปี เหตุใดความประพฤติจึงแย่ถึงขั้นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะไม่มีใครออกมาสักคน ถ้าทุกคนคัดค้านการเป็นประมุขคฤหาสน์ของเขา นี่คือถูกตระกูลถอดถอน ถ้ามาชิงตำแหน่งประมุขต่อไปจะสยบทุกคนได้อย่างไร คงสังหารคนของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยทุกคนไม่ได้

“ทุกคนรีบช่วยเหลือข้า! นางมารแบบนี้ ไม่ต้องถกเหตุผลกับนาง ทุกคนลุยพร้อมกัน” ในเวลานี้เอง สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณของหวาหนานจื้อร่วงลงจากท้องฟ้า โลหิตท่วมร่างนอนอยู่บนพื้น ส่วนเขากุมทรวงอก กระอักโลหิตสดออกมา

“แค่กๆ…” ได้ยินคำพูดนี้ มีคนส่งเสียงไอหลายที คำพูดประโยคนี้ทุกครั้งที่รุมทุบตีผู้อื่นฝ่ายที่มีคนมากมักเป็นผู้ตะโกน และถูกคนเผ่ามารถือเป็นเรื่องตลกขบขันไปนานแล้ว ตอนนี้ได้ยินอีกครั้ง ทำให้คนรู้สึกกระอักกระอ่วนทันที

ได้รับเงินทองก็ต้องทำงานให้ ต่อให้กระอักกระอ่วนก็ไม่อาจมองดูอย่างเดียวโดยไม่ต่อสู้ ดังนั้นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ที่เชิญมา สบตากันก็รู้ชัด แต่ละคนต่างลงมือ

“ฮึ! ข้านับถือทุกท่านที่เป็นบุคคลมีชื่อเสียง ขอเพียงพวกท่านไม่ลงมือข้าสามารถทำเป็นไม่รู้ คฤหาสน์กุ่ยเม่ยจะยังอยู่ร่วมกับทุกท่านอย่างสันติดังเดิม ในเมื่อพวกท่านช่วยคนที่ถูกตระกูลถอดถอนและเป็นศัตรูกับข้า ก็คือเป็นศัตรูกับคฤหาสน์กุ่ยเม่ยทั้งหมด หรือนึกว่าข้าหวาหวั่นซีจะเกรงกลัวพวกท่าน” หวาหวั่นซียืนขึ้นบนรถเหาะ เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ยี่สิบกว่าคน เอ่ยอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย

หวาซีที่นั่งอยู่ด้านหน้านาง หลับตาลงอย่างจนใจและไม่ใส่ใจความเป็นความตาย

คำพูดของนางทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่เหล่านี้ไม่พอใจ เดิมทีทุกคนเพียงคิดจะลงมือตามสบายไม่กี่กระบวนท่าขับไล่นางไป ตอนนี้กลับถูกความเย่อหยิ่งของนางยั่วโทสะ ต่อให้เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ช่วงปลาย พวกเราก็มิใช่ขั้นฝึกปราณ เพียงด้านจำนวนคนก็มากกว่าเจ้าหลายเท่า คิดไม่ถึงว่าจะกล้าพูดจาโอหังบังอาจ ไม่รู้จักตายเสียแล้ว

พอมีโทสะ ระดับพลังของวิเศษและเวทมนตร์ในมือก็แตกต่างออกไป มีสีแดงสีเหลืองสีเขียวทันที ของวิเศษหลากรูปแบบปลดปล่อยแสงรัศมีพร่าพราย อานุภาพยิ่งใหญ่ทำให้คนเห็นรู้สึกรื่นหูรื่นตา

“สวยงามจริงๆ ขอเพียงสู้กันต่อไปแบบนี้ เขตแดนของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยต้องไม่เหลือแน่” จินเฟยเหยาและจู๋ซวีอู๋วิ่งมาถึงบนเกาะลอยได้เหนือคฤหาสน์กุ่ยเม่ยแล้ว ยืนที่สูงมองเห็นได้ไกล มองดูของวิเศษห้าแสงสิบสีเหล่านั้นแล้วอดทอดถอนใจไม่ได้

จู๋ซวีอู๋ก็เอ่ยวาจาอยู่ด้านข้าง “สตรีผู้นี้อวดดีเกินไปจริงๆ หนึ่งคนต้านรับยี่สิบกว่าคน คิดไม่ถึงว่าจะบ้าคลั่งจนกลายเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่ามีไพ่ตายหรือไม่”

“คิดไม่ถึงว่าท่านจะวิเคราะห์อย่างเยือกเย็นได้? ทำให้ข้าตกใจจริงๆ” ถึงแม้จินเฟยเหยาจะมองไม่เห็นจู๋ซวีอู๋ ทว่าไม่กระทบกับการแสดงสีหน้าประหลาดใจไปยังทิศทางที่ถูกต้องของนางสักนิด

จู๋ซวีอู๋ตะโกนอย่างเดือดดาล “หมายความว่าอย่างไร! ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่นะ ในมือยังมีศิษย์คุณสมบัติยอดเยี่ยมอีกโขยงหนึ่ง ไหนเลยจะทำตัวเป็นเด็กๆ และไม่เยือกเย็น”

“ฮึ คุยโวให้น้อยๆ หน่อย คนอย่างท่านหมื่นปียังไม่มีสักคน” จินเฟยเหยาส่งเสียงฮึและเอ่ยปฏิเสธ

จู๋ซวีอู๋กลอกตาใส่นาง “คนอะไร ยังมีหน้ามาว่าคนอื่นอีก ไม่ใช้ปัสสาวะส่องดูตนเองบ้าง พอกันนั่นแหละ ถ้าอย่างข้าหมื่นปีจะมีสักคน เจ้าก็หนึ่งแสนปีจึงจะมีสักคน”

“พี่จู[1] ท่านรีบดูเร็ว นางเรียกสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณออกมาอีกแล้ว!” จินเฟยเหยาฉุดดึงจู๋ซวีอู๋ ชี้ไปที่หวาหวั่นซีที่อยู่ไกลๆ พลางเอ่ยอย่างตกตะลึง

จู๋ซวีอู๋ด่าทออย่างเดือดดาล “พี่จูอะไร! พูดจาให้มันชัดเจนหน่อย”

“ก็ได้ พี่จู๋ รีบดูเร็ว นางเรียกสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณสีขาวสิบห้าตัวออกมา” จินเฟยเหยาหัวเราะหึๆ รีบชี้ไปเบื้องหน้า

“เรียกก็เรียกสิ มีอะไรน่าตกใจ” จู๋ซวีอู๋พึมพำ มีอะไรน่าดูกัน

จินเฟยเหยาส่ายศีรษะเอ่ยว่า “สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณของสตรีผู้นี้เป็นสีดำ หกสิบปีก่อนข้าเคยเห็น อีกทั้งสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณของคฤหาสน์กุ่ยเม่ย หนึ่งคนสามารถเรียกได้หนึ่งตัว เป็นไปไม่ได้ที่จะเหมือนนาง หนึ่งคนเรียกออกมาสิบกว่าตัว ต้องมีเรื่องประหลาดแน่”

“จะสนใจทำไมว่านางประหลาดหรือไม่ พวกเราไม่ได้มาช่วยหนึ่งในจำนวนนั้นเสียหน่อย รีบเข้าไปก่อนเถอะ” จู๋ซวีอู๋ไม่หลงกลเลยสักนิด ตอนนี้ไม่ว่ามีเรื่องน่าสนใจมากเพียงใดก็ไม่น่าสนใจเท่าเรื่องของยายหนูข้างกายคนนี้ คิดจะให้เขาแล่นไปชมเรื่องสนุก ไม่มีทางเสียหรอก

“เชอะ เช่นนั้นพวกเรารีบไปเถอะ” จินเฟยเหยาเบ้ปาก ทิ้งฉากการต่อสู้ไว้โดยไม่ดู วิ่งเข้าไปในเกาะลอยได้กับจู๋ซวีอู๋

ภายนอกต่อสู้กันอย่างสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ภูติเทพร้องคร่ำครวญ บนเกาะลอยได้ซึ่งเป็นศูนย์กลางของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยกลับเงียบกริบทำให้คนเกิดความรู้สึกไม่ดีนิดๆ

บนเกาะมีตึกเล็กๆ ที่ตกแต่งอย่างงดงามจำนวนมากอยู่ท่ามกลางพุ่มพฤกษ์ ไม่รู้ว่าควรจะไปหาที่ใดดี

จินเฟยเหยาจึงเอ่ยถามจู๋ซวีอู๋ “พี่จู๋ ท่านมีประสบการณ์มากกว่าข้า ท่านว่าสถานที่ซึ่งเหมือนหอสมบัติจะอยู่ที่ใด?”

“ใครบอกว่าข้ามีประสบการณ์มากกว่าเจ้า นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเป็นโจร” จู๋ซวีอู๋ตอบอย่างอารมณ์ไม่ดี

จินเฟยเหยาหยิกมือเขา เอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปไม่ได้ พี่จู๋ พอข้าเห็นท่านก็รู้แล้ว ปกติท่านต้องทำเรื่องแบบนี้ไม่น้อยแน่ๆ ไม่ต้องมาเสแสร้ง ข้าไม่พูดออกไปหรอก รีบบอกข้ามา สถานที่ใดอาจจะเป็นหอสมบัติ”

“ถ้ามิใช่สถานที่สูงที่สุดก็เป็นสถานที่ซึ่งมีคนเฝ้าแน่นหนาที่สุด ถ้าไม่มีทั้งสองอย่างก็เป็นในบ้านที่ใหญ่ที่สุด” จู๋ซวีอู๋จนใจอย่างยิ่ง ได้แต่บอกสถานที่เก็บสมบัติล้ำค่าในสำนักในยามปกติออกมา

“ไม่เสียทีที่เป็นพี่จู๋ ประสบการณ์มากมายจริงๆ” จินเฟยเหยาพยักหน้าเอ่ยชมเชย

มีประสบการณ์กะผีสิ จู๋ซวีอู๋ไม่พอใจอย่างยิ่ง ถึงแม้เขากระทำการตามอำเภอใจ อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย และชอบอาละวาด ทว่าเพิ่งทำเรื่องลักขโมยเป็นครั้งแรกจริงๆ ก่อนหน้านี้เพียงแค่กวนน้ำจับปลา[2]เท่านั้น

ครั้งนี้กลายเป็นจินเฟยเหยาลากเขาเดินไปเดินมาในคฤหาสน์ค้นหาสถานที่ซึ่งแลดูสูงหรือมีคนเฝ้าแน่นหนา ทว่าวนรอบหนึ่งก็ไม่พบสถานที่อื่นๆ ที่มีการป้องกัน ทั้งหมดเป็นตึกเล็กๆ ที่ไร้ผู้คน

“ไม่มี หาไม่พบเลย ขนาดคนยังไม่มีเลยสักคน คิดจะจับคนมาถามทางก็ไม่ได้ คนเหล่านั้นไปตายที่ใดหมด” จินเฟยเหยาเดินวนรอบหนึ่งก็ฉุดลากจู๋ซวีอู๋มาถึงด้านหน้าตำหนักที่ใหญ่ที่สุดในคฤหาสน์

นี่เป็นตำหนักที่กว้างและสูงใหญ่หลังหนึ่ง เหนือตำหนักแขวนป้ายซึ่งเขียนอักษร ‘วิญญาณ’ ตัวหนึ่ง ประตูใหญ่ปิดสนิทรอบด้านไร้ผู้คน ท่าทางได้แต่เข้าไปค้นหาด้านใน หวังว่าจะหาสถานที่ซ่อนสมบัติได้โดยเร็ว

จินเฟยเหยาเดินไปถึงหน้าประตูอย่างเงียบเชียบพบว่าบนประตูไม่มีการป้องกัน จากนั้นใช้การรับรู้กวาดดูพบว่าด้านในไม่มีคน คิดว่าฉุดลากจู๋ซวีอู๋มาก็เกะกะ นางจึงปล่อยมือของจู๋ซวีอู๋แล้วผลักประตูเปิดเบาๆ แวบเข้าไปในภายในตำหนัก

จากนั้นนางหมุนตัวมาปิดประตูก็ได้ยินเสียงของจู๋ซวีอู๋ดังมา “ทำอะไรน่ะ! ข้าถูกประตูหนีบ เจ้าปิดช้าหน่อยไม่ได้หรือ!”

จินเฟยเหยาได้แต่คลายประตูให้จู๋ซวีอู๋เข้ามา จากนั้นถ่ายทอดเสียงไปอย่างไม่พอใจ “ใครใช้ให้ท่านซ่อนกายเล่า ข้ามองไม่เห็น ถ้าท่านสอนเวทเนตรชิงหมิงแก่ข้า ข้าคงไม่ปิดประตูหนีบท่าน”

“ฝันไปเถอะ เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม คิดจะหลอกเอาเคล็ดวิชาจากข้า” จู๋ซวีอู๋ไม่หลงกล มองแผนการของนางออกในพริบตา

“ดูท่านพูดเข้าสิ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ท่านระแวงไปเอง” จินเฟยเหยายิ้มตาหยี เริ่มค้นหาภายในตำหนัก

วิธีที่สะดวกที่สุดคือใช้การรับรู้กวาดดู จู๋ซวีอู๋ก็ไม่ได้อยู่ว่างใช้การรับรู้ขั้นกำเนิดใหม่ค้นหาภายในตำหนัก

“หืม? ด้านหลังมีคนจำนวนมาก สิบกว่าคนแน่ะ” ขณะที่จู๋ซวีอู๋กวาดมองผ่านกำแพงที่สลักสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณหลังบัลลังก์ก็พบว่าด้านหลังกำแพงมีปัญหา

…………………………..

[1] จู ในที่นี้แปลว่า สุกร

[2] กวนน้ำจับปลา หมายถึง ถือโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ขณะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset