“ทางนั้นคือตำหนักเทียนเฟิง หลังไกลๆ นั่นคือตำหนักฉวนฝ่า ศิษย์ขั้นฝึกปราณก่อนที่จะถูกแต่ละตำหนักรับเป็นศิษย์ผู้สืบทอดล้วนฝึกบำเพ็ญอยู่ทางนี้ โรงอาหารที่ข้าเคยบอกเจ้าก็อยู่ที่นั่น เห็นทะเลสาบหรือไม่ วันที่สิบห้าของทุกเดือนจะมีตลาดนัดที่ทุ่งหญ้าริมทะเลสาบ ศิษย์ในสำนักสามารถค้าขายกันได้ ยอดเขาลูกที่พวกเราเพิ่งผ่านมาคือตำหนักเพียวหลิง เจ้าตำหนักของมันคือตาเฒ่าน่าเบื่อคนหนึ่ง” จู๋ซวีอู๋ลากจินเฟยเหยาเหยียบบนแสงสีเขียวของเขาด้วยกัน กำลังแนะนำทิวทัศน์ภายในสำนักให้จินเฟยเหยารู้จัก
พั่งจื่อและต้านิวก็ยืนอยู่บนแสงสีเขียวติดตามจินเฟยเหยาไม่ห่าง ทำให้จินเฟยเหยาอยากจะเปลี่ยนชื่อให้พวกมันสองตัว เป็นชื่อเด็กชายทองและเด็กหญิงหยก[1] แล้วกัน
สำนักตงอวี้หวงใหญ่โตจริงๆ มีทิวทัศน์งดงามมากมาย สิ่งเดียวที่ไม่ดีคือคนมากมายเกินไป ตลอดทางมักจะมีผู้บำเพ็ญเซียนบินผ่านระหว่างภูเขา บางครั้งมีเป็นกลุ่มๆ อึกทึกคึกคักอย่างยิ่ง
“ท่านพูดมามากขนาดนี้ ข้าจำไม่ได้เลยสักนิด ตำหนักนั่นตำหนักนี่ ข้าจำเพียงยอดเขาที่ตำหนักซวีชิงและโรงอาหารตั้งอยู่ก็พอ ถ้าสถานที่อื่นๆ มีสวนผลไม้หรือสวนหญ้าวิญญาณที่ไม่มีคน ท่านค่อยชี้ให้ข้าดู” จินเฟยเหยาล้วงหู เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
เห็นท่าทางเกียจคร้านของนาง จู๋ซวีอู๋เหล่มองและเอ่ยว่า “ที่นี่ไม่เหมือนภายนอกที่จะก่อเรื่องตามใจชอบได้ เจ้าจำไว้ให้ดี ถ้าทำเรื่องชั่วจะถูกไล่ออกไป”
ถูกไล่ออกไป! จินเฟยเหยาตาเป็นประกาย ในใจอดวางแผนการไม่ได้ รอจนอยู่เพียงพอแล้วจะก่อเรื่องขึ้น จากนั้นถูกเจ้าสำนักขับไล่ออกไป ดูสิว่าจู๋ซวีอู๋จะบังคับรั้งตนเองไว้ได้หรือไม่
ครู่หนึ่งทั้งสองคนก็มาถึงด้านหน้ายอดเขาแห่งหนึ่ง มีน้ำตกไหลระหว่างภูเขา และต้นไม้ขึ้นหนาแน่น มีทางเดินศิลาหลายสายอยู่ในนั้น ทางสายน้อยหลายแห่งเป็นทางเดินไม้ระแนงที่สร้างแขวนอยู่บนหน้าผา เพียงใช้รั้วไม้เล็กๆ ที่สูงแค่เอวกั้นไว้ ลานบ้านเล็กๆ ยี่สิบสามสิบหลังแต่ละหลังต่างมีรสนิยมของตนเอง ผสมผสานกันอยู่ท่ามกลางยอดเขา ม่านหมอกคลี่คลุมเป็นทิวทัศน์อันงดงาม
“นี่คือยอดเขาซวีชิง อาคารหลังบนสุดคือตำหนักซวีชิง ต่อไปที่นี่ก็คือบ้านของเจ้า” จู๋ซวีอู๋เอ่ยพลางเหาะไปที่ตำหนักซวีชิง
เนื่องจากคนของตำหนักซวีชิงมีน้อย ต่างคนต่างมีธุระของตนเองจึงไม่มีใครเฝ้าอยู่นอกตำหนัก จู๋ซวีอู๋พาจินเฟยเหยาร่อนลงหน้าตำหนักซวีชิงก็ไม่มีใครออกมาทักทายสักคน
จู๋ซวีอู๋ลากจินเฟยเหยาเข้าไปในตำหนักซวีชิง ใบหน้าก็ชนเข้ากับคงจู๋อู๋
คงจู๋อู๋คิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะกลับมาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง เขารีบเข้ามารับหน้า ดวงตากวาดเห็นจู๋ซวีอู๋ฉุดลากจินเฟยเหยา จึงเอ่ยถามโดยไม่คิด “อาจารย์ ท่านกลับมาได้อย่างไร?”
“ทำไม ข้ากลับมาไม่ได้หรือ” คำถามที่คงจู๋อู๋ถามทำให้จู๋ซวีอู๋รู้สึกไม่สบายใจราวกับไม่อยากให้เขากลับมา
“กลับมาต้องดีแน่นอน อาจารย์ สหายเซียนท่านนี้คือ?” คงจู๋อู๋รู้จักนิสัยของอาจารย์ดี ถ้าประคารมกับเขาจริงๆ หลายวันหลายคืนคงไม่ได้หยุด ดังนั้นจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
จู๋ซวีอู๋ใช้มือลากจินเฟยเหยามา และเอ่ยโดยไม่ต้องคิด “นี่คือจินเฟยเหยา ต่อไปเรียกนางว่าศิษย์น้องเล็กก็ได้”
“จินเฟยเหยา?” พอจู๋ซวีอู๋ได้ยินก็โง่งมไปทันที นี่เป็นคนที่ไป๋เจี่ยนจู๋คิดจะสังหารมาตลอดมิใช่หรือ อาจารย์ว่างงานยิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะไปตามหาคนผู้นี้มาจริง ทั้งยังพาคนมาถึงในสำนัก คิดจะทำอะไรกันแน่
“อาจารย์ เชิญมาสนทนาด้านนี้หน่อย” เขารีบลากจู๋ซวีอู๋ไปด้านข้าง กระซิบถามว่า “อาจารย์ ท่านพานางกลับมาทำไม?”
จู๋ซวีอู๋เอ่ยด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “ทำไมหรือ? ข้าเห็นตำหนักซวีชิงของพวกเราไม่มีสตรีสักคน จึงช่วยหาศิษย์น้องกลับมาให้พวกเจ้าคนหนึ่ง ยังไม่ดีใจอีก”
“แต่เจี่ยนจู๋…” คงจู๋อู๋เอ่ยอย่างลำบากใจ
จู๋ซวีอู๋โบกไม้โบกมือ “พอดีเลย เจี่ยนจู๋อยู่ที่ใด ข้ามาคลี่คลายบุญคุณความแค้นระหว่างพวกเขาสองคน ต่อไปทุกคนคือครอบครัวเดียวกันจะมีความแค้นข้ามคืน[2]อะไรได้”
“ครอบครัวเดียวกัน? อาจารย์ ท่านรับนางเป็นศิษย์แล้ว?” คงจู๋อู๋เอ่ยถามอย่างตกตะลึง
“เปล่า ข้าบอกกับคนนอกว่านางเป็นบุตรสาวของข้า ดังนั้นจึงเป็นครอบครัวเดียวกัน” จู๋ซวีอู๋เล่าอย่างกระหยิ่มใจ
คงจู๋อู๋อ้าปากพูดอะไรไม่ออก เห็นจู๋ซวีอู๋ท่าทางกระหยิ่ม เขาก็ได้แต่เอ่ยเตือนอย่างสุภาพ “อาจารย์ ขนาดคู่บำเพ็ญท่านยังไม่มี แล้วจะมีบุตรมาจากไหน อีกทั้งซือจู่ก็รู้สภาพของท่าน ท่านบอกว่านางคือบุตรสาวของท่าน ผู้ใดจะเชื่อ”
“รับมาเลี้ยงไม่ได้หรือ? ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว เจ้าไปเรียกศิษย์ทั้งหมดมา ข้าจะแนะนำเสี่ยวเหยาให้ทุกคนรู้จัก แล้วก็ เจี่ยนจู๋ยังอยู่ในถ้ำเซียนหรือ?” จู๋ซวีอู๋ไม่รับฟังเลยสักนิด และไม่คิดจะพัวพันกับปัญหานี้
คงจู๋อู๋จนหนทาง ผู้ใดให้ที่นี่เขาใหญ่ที่สุดเล่า จึงได้แต่ปล่อยให้เขาทำเรื่องเหลวไหล “หลายวันนี้เจี่ยนจู๋เพิ่งหาเวลาว่างมาปิดด่านกักตนได้ งานเลี้ยงพวกนั้นทำให้เขารำคาญมาก ตอนนี้น่าจะยังอยู่ในถ้ำเซียนของตนเอง”
จู๋ซวีอู๋หัวเราะหึๆ “งานเลี้ยง? เจ้าวางใจ อีกไม่กี่วันข้าจะทำให้ไม่มีใครกล้าส่งบัตรเชิญมาที่ตำหนักซวีชิงอีก”
“อาจารย์ ท่านหมายความว่าอย่างไร?” คงจู๋อู๋ไม่วางใจ ผู้ใดจะรู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรอีก เดิมทีตำหนักอื่นก็เห็นตำหนักซวีชิงเป็นที่ขัดตา ถ้าก่อเรื่องยุ่งอีกคงไม่ดีแน่
จู๋ซวีอู๋จงใจทำท่าทางลึกลับ อย่างไรก็ไม่ยอมบอกคงจู๋อู๋ เพียงแค่ลอบยิ้มพลางเอ่ยว่า “ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะรู้เอง รีบเรียกศิษย์ทุกคนมา ข้าจะพาเสี่ยวเหยาไปหาเจี่ยนจู๋ คลี่คลายบุญคุณความแค้นของพวกเขาสองคนก่อน”
เอ่ยจบ เขาก็ลากจินเฟยเหยาที่ไม่ยินยอมเหาะไปยังถ้ำเซียนเล็กๆ ของไป๋เจี่ยนจู๋ทันที
ศิษย์ของตำหนักซวีชิงล้วนอาศัยอยู่บนยอดเขาซวีชิง ไป๋เจี่ยนจู๋ก็ไม่ยกเว้น ในไม่ช้าจู๋ซวีอู๋ก็มาถึงหน้าถ้ำเซียนของเขา
บ้านไม้แกะสลักกินพื้นที่สี่หมู่หลังหนึ่งตั้งอยู่บนสนามหญ้า บนสนามหญ้าอันกว้างขวางจัดวางเตาหลอมยาสูงครึ่งตัวคนใบหนึ่ง ด้านหลังบ้านปลูกไผ่เขียวจำนวนไม่น้อย ส่วนด้านข้างก็มีแปลงสมุนไพรขนาดห้าหมู่ ด้านในปลูกหญ้าวิญญาณนานาชนิดไว้เต็มไปหมด มีกระต่ายตัวอ้วนท้วนตัวหนึ่งกำลังกินใบหญ้าวิญญาณในแปลงสมุนไพร
“กระต่ายตัวอ้วนท้วนยิ่ง ย่างแล้วต้องอร่อยแน่” พอจินเฟยเหยาเห็นกระต่ายตัวนี้ดวงตาก็เป็นประกายทันที
จู๋ซวีอู๋รีบเอ่ยว่า “ไป๋เจี่ยนจู๋เป็นคนเลี้ยงกระต่ายตัวนี้ เป็นของรักของเขา เจ้าขโมยกินไม่ได้นะ”
“ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมเลี้ยงกระต่ายทำไม ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่งามหยาดเยิ้มเสียหน่อย” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างดูแคลน ในใจกลับวางแผนจะกินกระต่ายอวบอ้วนตัวนี้
นางเพิ่งพูดจบ ก็เห็นสัตว์ภูติขนปุกปุยสองตัวทะเลาะกันและวิ่งมากลิ้งบนพื้นหญ้าไม่ไกลนัก ตัวหนึ่งเป็นหมีขนสีดำปลอดตัวจ้ำม่ำบนหัวมีลวดลายสีขาว ส่วนอีกตัวหนึ่งเป็นแมวลายที่มีหางยาวสองหาง บนตัวมีลายสามสี พวกนี้ล้วนเป็นสัตว์ภูติขั้นหนึ่งขั้นสอง ไม่มีพลังโจมตีอะไร พูดอีกอย่างหนึ่งคือเป็นสัตว์เลี้ยงที่ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีเลี้ยงไว้ดูเล่น
เห็นสีหน้าตกตะลึงของจินเฟยเหยา จู๋ซวีอู๋จึงเอ่ยอย่างขัดเขิน “ศิษย์หลานของข้าคนนี้ อะไรก็ดีทุกอย่างเพียงแต่ชอบเลี้ยงสัตว์เล็กๆ น่ารัก เจ้าอย่าจับไปกินนะ ครั้งที่แล้วข้าใช้ผลไม้เล่นกับกระต่ายของเขาจนจุกตายไปตัวหนึ่ง เขาไม่สนใจข้าถึงยี่สิบปีเต็มๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนั้นเขาอายุเท่าใด? เพิ่งห้าขวบ จนกระทั่งอายุยี่สิบกว่าปีจึงยอมพูดกับข้า เนื่องจากข้ามอบสัตว์ขนฟูๆ ให้เขาหลายตัว เขาจึงสนใจข้า”
“สวรรค์ ท่านฆ่าข้าเถอะ” จินเฟยเหยารู้สึกเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง
“เจี่ยนจู๋ รีบออกมาเร็ว เจ้าดูสิว่าใครมา” จู๋ซวีอู๋ตะโกนเรียกด้านใน ทว่ากลับไม่มีใครออกมา
“ไปที่ใดแล้ว?” จู๋ซวีอู๋เอ่ยพึมพำ จากนั้นใช้มือปาดผ่านบนการป้องกันด้านหน้า การป้องกันของไป๋เจี่ยนจู๋ถูกเขาเปิดออกโดยไม่ส่งเสียง
เขาลากจินเฟยเหยาที่ทำหน้าอมทุกข์เดินไปที่บ้าน ได้ยินเสียงน้ำด้านหลัง ก็เข้าใจทันที
จู๋ซวีอู๋เคลื่อนไหวเงียบกว่าจินเฟยเหยาเสียอีก จากนั้นเดินลับๆ ล่อๆ ไปหลังบ้าน จินเฟยเหยาก็สงสัยอย่างยิ่ง จึงเลียนแบบท่าทางของเขาเดินตามมาถึงหลังบ้าน
เบื้องหน้านางมีกำแพงไผ่ซึ่งทำจากต้นไผ่แถวหนึ่ง สูงเพียงหนึ่งคนกว่า ด้านในมีไอน้ำฟุ้งตลบ จู๋ซวีอู๋ลากจินเฟยเหยาปีนขึ้นบนกำแพงไผ่แอบมองไปด้านใน
พอจินเฟยเหยามองไปด้านใน พริบตาก็หมดคำพูด
ด้านในเป็นสระน้ำพุร้อนขนาดหนึ่งหมู่ ใบหน้าของไป๋เจี่ยนจู๋ปิดด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งแช่อยู่ในน้ำพุร้อน ร่างท่อนบนของเขาพิงขอบสระโดยไม่ขยับเขยื้อนราวกับหลับไป บนโต๊ะข้างสระมีเสื้อผ้าวางอยู่ ยังมีผลไม้ น้ำชา และสิ่งอื่นๆ ทำให้จินเฟยเหยาอดตำหนิในใจไม่ได้ ช่างรื่นรมย์จริงๆ ยอดเขาซวีชิงท่าทางไม่เลว คิดไม่ถึงว่าจะมีน้ำพุร้อน
จู๋ซวีอู๋ปีนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่เหมาะสมเลยสักนิด ส่ายศีรษะมองซ้ายมองขวาราวกับคิดจะค้นหาสิ่งใด จินเฟยเหยาถูกเขาทำให้หงุดหงิด จึงเอ่ยถามอย่างอารมณ์ไม่ดี “จะส่ายไปส่ายมาทำไม!”
พอนางพูด ไป๋เจี่ยนจู๋ในสระพลันเลิกผ้าเช็ดหน้าบนใบหน้า เรียกไผ่วั่นคงมาอยู่ในมือทันที และลุกขึ้นยืนในพริบตา สวมเสื้อผ้าด้านข้างลงบนร่างอย่างง่ายๆ ในเวลาเดียวกันก็ได้ยินเขาตวาดด้วยโทสะว่า “ใคร!”
คิดไม่ถึงว่าจะมีคนทำลายการป้องกันบุกเข้ามาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง เรื่องนี้ทำให้ไป๋เจี่ยนจู๋เดือดดาลอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ดูถูกกันเกินไปแล้ว
“ข้าเอง!” เมื่อจู๋ซวีอู๋กระโดดออกจากหลังกำแพงไผ่และมองเขาด้วยสีหน้าผู้บริสุทธิ์ ความเดือดดาลของไป๋เจี่ยนจู๋ก็เหลือเพียงความจนใจ
“ซือจู่ ท่านกลับมาเมื่อใด มาหาข้ามีธุระอะไร?” ไป๋เจี่ยนจู๋มองจู๋ซวีอู๋อย่างงุนงง ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาจะก่อเรื่องอะไรอีก เพิ่งกลับสำนัก ไม่ไปหาคนอื่นกลับตรงมาแอบดูเขาอาบน้ำ
จู๋ซวีอู๋ยิ้มแย้ม กวักมือตะโกนเรียกด้านหลังกำแพง “ไม่ต้องซ่อนแล้ว รีบออกมาเร็ว”
จากนั้นก็ยิ้มให้ไป๋เจี่ยนจู๋พลางเอ่ยว่า “ข้าพาคนผู้หนึ่งมาพบเจ้า และคลี่คลายความขัดแย้งของพวกเจ้า”
ขณะที่ไป๋เจี่ยนจู๋ยังงุนงงดังเดิม ก็เห็นด้านหลังกำแพงไผ่มีสตรีผู้หนึ่งเดินเข้ามา สตรีผู้นั้นพยักหน้าให้ไป๋เจี่ยนจู๋ ทำหน้าทะเล้นเอ่ยทักทาย “ไม่ได้พบกันเสียนาน สภาพแวดล้อมที่นี่ดีจริงๆ”
“จินเฟยเหยา!” ไป๋เจี่ยนจู๋จ้องมองนาง สงสัยว่าตนเองเข้าไปในกระจกสี่วิตกอีกครั้งใช่หรือไม่ เพราะเหตุใด ซือจู่ของตนเองพาจินเฟยเหยามาปรากฏตัวทั้งยังแอบดูตนเองอาบน้ำด้วยกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ขณะที่เขากำลังจิตหลุด คำพูดของจู๋ซวีอู๋ราวกับอัสนีบาตรฟาดลงในสมองของเขากลางวันแสกๆ “ต่อไปนางคือศิษย์น้องเล็กของเจ้า พวกเจ้าต้องอยู่ร่วมกันดีๆ ห้ามรังแกนาง”
จากนั้นเสียงของจินเฟยเหยาก็ดังมา พี่จู๋ ผิดรุ่นหรือไม่? เมื่อครู่ท่านเพิ่งบอกว่าข้าเป็นศิษย์น้องของศิษย์ท่าน ตอนนี้จะให้ข้าเป็นศิษย์น้องของศิษย์หลานท่านอีกได้อย่างไร?”
“ก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นใคร เจ้าเรียกศิษย์พี่ก็พอ”
“ท่านก็เป็นพี่ ศิษย์ของท่านก็เป็นศิษย์พี่ ศิษย์หลานของท่านก็เป็นศิษย์พี่ นี่ท่านจะให้ศิษย์ทั้งหมดรวมหัวกันมาเอาเปรียบข้าสินะ?”
“ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น พวกเรามาคลี่คลายบุญคุณความแค้น ใช่ไหม เจี่ยนจู๋”
เผชิญหน้ากับปิศาจร้ายสองตัวนี้ ยามนี้ไป๋เจี่ยนจู๋จิตหลุดไปแล้วกำลังอยู่ในภาวะเหม่อลอย ขนาดจู๋ซวีอู๋เรียกเขา เขาก็รู้สึกได้ยินไม่ชัดราวกับอยู่นอกขอบฟ้า
………………………………….
[1] เด็กชายทองและเด็กหญิงหยก หมายถึง เด็กชายและเด็กหญิงที่คอยรับใช้เซียนในลัทธิเต๋า
[2] ครอบครัวเดียวกันไม่มีความแค้นข้ามคืน หมายถึง อยู่ด้วยกันต้องมีกระทบกระทั่งกัน ถ้าจดจำความแค้นต้องมีชีวิตอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อย ขนาดคนในครอบครัวเดียวกันยังจดจำความแค้น ใครจะอยู่ด้วยได้ ถึงทะเลาะกันก็อย่าจดจำใส่ใจ