คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 29 กลุ่มคนวิปริต

ผู้ที่ส่งจินเฟยเหยาลงเขาคือศิษย์สำนักชิงโซ่วคนอื่นๆ เพราะเรื่องสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ หวาซีจึงห้ามออกจากสำนักชั่วคราว เนื่องจากอาการบาดเจ็บของนางยังไม่หายดีทั้งหมด ดังนั้นจึงส่งกระเรียนเซียนมาสองตัวโดยมีศิษย์นำนางมาส่งถึงวงเวทส่งตัวโดยเฉพาะ

จินเฟยเหยาเสพสุขกับรสชาติของการเหินบินอีกครั้ง และทำให้นางตัดสินใจอย่างแน่วแน่ จะต้องเลี้ยงแมวบินได้ให้ดี อีกทั้งหวาซียังอธิบายว่า ตอนฟักไข่ห้ามขาดศิลาวิญญาณ เช่นนี้แมวบินได้ที่ฟักออกมาจึงมีคุณสมบัติดี มีการพัฒนาได้โดยง่าย

จินเฟยเหยาขอบคุณศิษย์ที่มาส่งตนเอง ก็เดินกระเผลกส่งตัวกลับไปเมืองลั่วเซียน แล้วจ้างรถคันหนึ่งกลับไปสำนักเฉวียนเซียน เพิ่งเข้าเรือนก็เห็นในเรือนมีคนเพิ่มมาหลายคน เวิงเหล่ากำลังสนทนากับบุรุษอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง

“สหายเซียนจิน เหตุใดเจ้าจึงหายไปหลายวันไม่กลับมาโดยไม่บอกกล่าว ข้านึกว่าเจ้าเกิดเรื่องเสียอีก มานี่เร็ว ข้าจะแนะนำคนกลุ่มเราให้เจ้ารู้จัก” เวิงเหล่าเห็นว่าในที่สุดจินเฟยเหยาก็กลับมา จึงเรียกนางให้รีบมา

เห็นท่าทางเช่นนี้ น่าจะเป็นหัวหน้านำพาคนกลับมา ได้รู้จักกับทุกคนพอดี ต่อไปยังต้องอยู่ร่วมกันอีกนาน นางยิ้มตาหยีเดินเข้าไปหา “ทำให้เวิงเหล่าต้องเป็นห่วงแล้ว ข้าไปทำภารกิจอย่างหนึ่งกับคนรู้จัก คิดไม่ถึงว่าเกือบจะเสียชีวิต รักษาบาดแผลอยู่หลายวันจึงกลับมา”

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว สหายเซียนจิน ข้าขอแนะนำให้เจ้ารู้จัก นี่คือหัวหน้าของกลุ่มสี่สิบสี่เรา” เวิงเหล่าแนะนำบุรุษข้างกายให้จินเฟยเหยารู้จักก่อน

“ข้าน้อยอู๋เฮ่าคงดูแลกลุ่มสี่สิบสี่ชั่วคราว ต่อไปทุกคนต้องช่วยเหลือและประคับประคองกัน” อู่เฮ่าคงยิ้มอย่างปลอดโปร่ง ทำให้คนรู้สึกสบายใจ

จินเฟยเหยายิ้มพร้อมประสานมือคารวะเขานี่คือหัวหน้าของตนเองในวันหน้า พลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณช่วงปลายอย่างสมบูรณ์ มีคุณสมบัติแย่งชิงยาสร้างฐานแล้ว ต่อไปต้องประจบให้มากหน่อย เห็นท่าทางเขาดูเหมือนจะอยู่ด้วยง่าย ไม่รู้ว่าจะเป็นคนประเภทส่งลูกน้องไปเผชิญอันตรายโดยเฉพาะหรือไม่

แนะนำหัวหน้าเสร็จสิ้น เวิงเหล่าก็แนะนำอีกหลายคนที่เหลือ มีสองคนนั่งอยู่ข้างอู๋เฮ่าคง หน้าตาสุภาพเรียบร้อยเหมือนบัณฑิตในโลกมนุษย์ ทั้งคู่มีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณช่วงกลาง สิ่งที่ทำให้คนไม่สบายใจคือทั้งสองนั่งด้วยกันยังฉุดดึงมือกัน ลักษณะเหมือนผู้บำเพ็ญคู่

“สองคนนี้คือฟั่นไฉ่ผิงและฟั่นฉวนผิง เขาสองคนเป็นพี่น้องกัน”

คนที่ชื่อฟั่นไฉ่ผิงเงยหน้าขึ้นพยักหน้าให้จินเฟยเหยานิดๆ ก่อนก้มหน้าลงอย่างขัดเขิน ทั้งยังแอบอิงพี่ชายที่อยู่ข้างกาย ส่วนฟั่นฉวนผิงกลับยิ้มให้จินเฟยเหยาอย่างใจกว้าง แล้วกุมมือฟั่นไฉ่ผิงบีบอย่างหนักหน่วง คิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะมองหน้ากันอย่างลึกซึ้ง

จินเฟยเหยาพยายามสะกดความตกตะลึง ความรังเกียจ และเต็มไปด้วยคำถามในใจ หัวเราะโง่งมอย่างขัดเขินไปหลายครั้งถือเป็นการทักทาย

“เวิงเหล่าเหตุใดจึงแนะนำแต่พวกเขา ไม่ยอมแนะนำข้าบ้าง” ด้านข้างมีบุรุษเบียดแทรกเข้ามา ดวงตาดอกท้อที่มีอารมณ์หลากหลาย มองพินิจจินเฟยเหยาขึ้นลงอย่างมีราคะ ในมือถือพัดดอกท้อกระดูกหยกขาว บางครั้งบางครายังแสดงท่าทางสง่างาม

“สหายเซียนจิน ข้าชื่อติงจี้ ต่อไปพวกเราเป็นกลุ่มเดียวกันแล้ว  ต้องอยู่ร่วมกันดีๆ เมืองลั่วเซียนมีร้านสุราแห่งหนึ่ง บรรยากาศดียิ่ง อีกสักครู่พวกเราไปดื่มกันสักจอกดีกว่า?” ติงจี้ประสานมือคารวะจินเฟยเหยา คลี่พัดดอกท้อออกดังฟุ่บ แสร้งพัดอย่างสง่างาม กลิ่นหอมขุมหนึ่งพุ่งเข้ามาปะทะหน้า

จินเฟยเหยารังเกียจท่าทางโจรสวาทของเขา และถูกกลิ่นหอมทำให้สำลัก อดถอยหลังมาก้าวหนึ่งไม่ได้

ส่วนติงจี้ยังคงไม่ถอดใจ ก้าวเข้ามาใกล้อย่างมั่นใจในตนเอง กระพือพัดในมือคิดจะสนทนาด้วย

“ฮัดชิ้ว!” จินเฟยเหยาพลันจามเสียงดัง ติงจี้หลบไม่ทัน ถูกน้ำลายพ่นใส่เต็มหน้า “สหายเซียนติง ขออภัยด้วย ตั้งแต่เล็กข้าก็ดมกลิ่นหอมไม่ได้ พอดมก็จะจาม ขอโทษด้วยจริงๆ”

เห็นสีหน้าของติงจี้ตกตะลึงอยู่ตรงนั้น จินเฟยเหยาจึงรีบล้วงผ้าชิ้นหนึ่งออกมาจากในอก ขออภัยไปพลางเช็ดใบหน้าเขาอย่างกระตือรือร้นไปพลาง เช็ดบนใบหน้าขาวเนียนของติงจี้อยู่หลายครั้ง ก็ปรากฏรอยดำหลายรอย  ทั้งยังมันเยิ้ม พอจินเฟยเหยามองผ้าที่ถืออยู่ในมือ ก็เอ่ยอย่างขัดเขิน “สหายเซียนติง ขออภัยด้วยจริงๆ ข้าพลั้งมือหยิบผ้าขี้ริ้ว ถ้าอย่างไร ท่านไปล้างหน้าดีหรือไม่?”

เห็นท่าทางของเขา คนโดยรอบต่างหัวเราะกันครืน แม้แต่ฟั่นไฉ่ผิงก็ปิดปากแอบหัวเราะ

“เจ้า…เจ้าเป็นเด็กผู้หญิง เหตุใดจึงพกผ้าขี้ริ้วสกปรกเช่นนี้ติดตัว” ติงจี้ที่ปกติถือว่าตนเองหล่อเหลาสง่างาม ไม่ว่าเมื่อใดก็มีท่วงท่าที่ดี ไม่เคยพบกับเรื่องสกปรกเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกอยากจะอาเจียน เค้นคำพูดออกมาประโยคหนึ่ง ก็พุ่งกลับไปยังเรือนเล็กของตนเอง

ส่วนจินเฟยเหยาตะโกนอธิบายเสียงดังอย่างรู้สึกผิด “สหายเซียนติง นี่ไม่ใช่ผ้าขี้ริ้วสกปรกนะ เป็นเพียงแค่ผ้าที่ใช้สำหรับเช็ดมีดตอนข้าเข้าป่าย่างเนื้อกิน น้ำมันด้านบนก็สะอาด สีดำนั่นคือขี้เถ้าฟืนที่ถูกเผา”

เพียงแต่น่าเสียดายที่ติงจี้พุ่งเข้าไปในเรือนแล้ว ไม่ได้ยินคำอธิบายที่ตามมาของจินเฟยเหยา

“เขาก็เป็นแบบนี้แหละ หากทุ่มเทพลังให้กับการฝึกบำเพ็ญ จะเพิ่งอยู่ขั้นฝึกปราณช่วงกลางได้อย่างไร น้องสาว อย่าไปสนใจเขา ต่อไปอยู่ห่างจากเขาหน่อย เขาเห็นสตรีก็เดินไม่ไหวแล้ว” แขนขาวเนียนข้างหนึ่งวางลงบนไหล่จินเฟยเหยา กลิ่นหอมอันเข้มข้นลอยมาอีก นางกลับไม่ได้จามทันที หากได้กลิ่นเหม็นก็จาม ผีสางจึงเชื่อคำพูดของนาง

พอหันหน้าไปมอง คนที่วางมือบนไหล่นางคือสตรีอายุสามสิบกว่าเผยให้เห็น***ครึ่งหนึ่ง  ผิวขาวเนียนละเอียด ผมดำสนิททั้งหนาทั้งเงางาม แต่งกายสวยหยาดเยิ้ม เครื่องประดับงดงาม เรือนร่างอวบอิ่มแสดงให้เห็นความเผ็ดร้อนของสตรีขั้นฝึกปราณช่วงปลายผู้นี้

“สหายเซียนผู้นี้คือเสวี่ยเหนียงจื่อ ข้าเคยได้ยินเวิงเหล่าเอ่ยถึงเจ้าแล้ว บอกว่าเจ้าเป็นคนร่าเริงเปิดเผยทั้งยังตรงไปตรงมา” จินเฟยเหยาทายได้ คนผู้นี้น่าจะเป็นเสวี่ยเหนียงจื่อในคู่สามีภรรยา

“อายุยังน้อย ปากหวานจริงๆ” เสวี่ยเหนียงจื่อหัวเราะเสียงดัง

“เหนียงจื่อ มีเรื่องอะไรจึงหัวเราะอย่างเบิกบานขนาดนี้” บุรุษเรือนร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากในเรือนหนึ่ง ใบหน้าดุร้ายเสียงดังเป็นพิเศษ สะเทือนแก้วหูจนเจ็บปวด

“ท่านพี่ นี่คือสหายร่วมทีมคนใหม่ของพวกเรา เพิ่งมาก็พ่นน้ำลายใส่หน้าติงจี้แล้ว” เสวี่ยเหนียงจื่อหัวเราะจนร่างสั่นสะเทือน หน้าอกอวบอิ่มก็กระเพื่อมตามไปด้วย

บุรุษร่างใหญ่ไมได้หัวเราะ ทว่าเอะอะเสียงดัง “ถุย เรื่องของเจ้าหน้าขาวนั่นมีอะไรน่าขำ บอกให้เจ้าอยู่ห่างๆ เขาตั้งนานแล้ว เจ้าคนที่พาสตรีกลับมาตลอดแบบนั้น อยู่กลุ่มเดียวกับเขาน่าขายหน้าแทบตายแล้ว”

จินเฟยเหยามองเขาแล้วยิ้มล้อเลียน เวิงเหล่าเคยเอ่ยถึงคนผู้นี้มาก่อน เฟยเทียนหลง สามีของเสวี่ยเหนียงจื่อ บุรุษที่อารมณ์ร้อนที่สุดในเรือนสี่สิบสี่ เพราะว่าพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำกว่าภรรยาหนึ่งขั้น จึงไม่ค่อยมีหน้ามีตา ดังนั้นยิ่งมีนิสัยเลือดร้อน กังวลว่าบุรุษอื่นจะมาล่อลวงภรรยาของเขาไปทั้งวัน

“ไปทางนั้นเลย เอะอะโวยวายทั้งวัน อย่าทำให้มารดาไม่พอใจ” เสวี่ยเหนียงจื่อค้อนควักเขา ด่าทออย่างดุร้าย เฟยเทียนหลงถูกภรรยาหักหน้า ทั้งยังไม่กล้าทะเลาะกับนาง ได้แต่ส่งเสียงฮึอย่างหนัก แล้วหันหน้ากลับไป

“เสวี่ยเหนียงจื่อ ข้ายังมีเรื่องจะอธิบายให้สหายเซียนจินฟัง เจ้าอย่าเพิ่งพัวพันนาง” อู๋เฮ่าคงเอ่ยยิ้มๆ

เสวี่ยเหนียงจื่อฉุดดึงมือจินเฟยเหยาไม่ยอมปล่อย ยืดอกเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าไม่ไปเสียอย่าง มาที่เรือนสี่สิบสี่หลายปีแล้ว หนึ่งปีสามร้อยหกสิบห้าวันล้วนมีแต่พวกผู้ชายกลุ่มใหญ่อย่างพวกเจ้า เบื่อหน่ายแทบตายแล้ว ตอนนี้น้องสาวอายุเยาว์คนหนึ่งมาอย่างยากลำบาก ข้าไม่ยอมให้พวกเจ้าหรอก”

หน้าอกขาวๆ อวบอิ่มดันใบหน้าจินเฟยเหยา ถึงจะอ่อนนุ่ม ทว่ากลับทำให้จินเฟยเหยาเดือดดาลยิ่ง นี่เรียกว่าอะไร ทันใดนั้น ความเย็นก็มาแปะบนผิวหนัง ทำให้นางรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาด นางอดขมวดคิ้วไม่ได้ พลังวิญญาณแฝงไอสังหารรั่วไหลออกมา

“สหายเซียนตัวน้อยอย่างเจ้า หรือว่าจะไม่ยอมอยู่กับพี่สาว?” เสวี่ยเหนียงจื่อทำปากยื่น ปลดปล่อยจินเฟยเหยาอย่างไม่ยินยอม

หลังจากนางผละออก ความเย็นขุมนั้นก็หายไป จินเฟยเหยายิ้มและเอ่ยว่า “ข้าคิดจะใกล้ชิดกับเสวี่ยเหนียงจื่อ ทว่าร่างกายของเสวี่ยเหนียงจื่อเย็นเกินไป ข้ากลัวหนาวมาตลอด ได้แต่ยืนอยู่ห่างๆ”

ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เสวี่ยเหนียงจื่อคิดจะทำอะไร พอถูกจับได้ก็ไม่รู้สึกเสียหน้า โยนเรื่องนี้ทิ้งไปอย่างสบายอกสบายใจ นางเอ่ยยิ้มๆ โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ในเมื่อสหายเซียนน้อยไม่ยินยอม เช่นนั้นข้าก็ไม่ฝืนใจ หัวหน้ายังมีเรื่องจะพูดคุยกับเจ้า ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว มีเวลาข้าจะมาคุยเล่นด้วย”

เอ่ยจบ นางก็บิดเอวเดินยั่วยวนจากไป

จินเฟยเหยาแอบใช้การรับรู้ตรวจสอบดูรอบหนึ่ง ไม่พบว่าบนร่างตนเองมีสิ่งใดแปลกประหลาด จิตใจที่ตึงเครียดก็ผ่อนคลายลง ส่วนคนอื่นๆ ก็รู้จักคุ้นเคยกันดี ย่อมรู้ว่าเมื่อครู่เสวี่ยเหนียงจื่อคิดจะทำอะไร กลับถูกคนใหม่จับได้ ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยเปิดโปง

อู๋เฮ่าคงเห็นเสวี่ยเหนียงจื่อเดินจากไป ก็หยิบแผ่นหยกสีหมึกชิ้นหนึ่งเอ่ยกับจินเฟยเหยาว่า “สหายเซียนจิน นี่คือแผ่นหยกภารกิจของสำนักเฉวียนเซียน ภารกิจทั้งหมดที่เหมาะสมกับขั้นฝึกปราณอยู่ด้านบน โดยพื้นฐานแล้วทุกวันจะมีภารกิจใหม่บันทึกไว้ ส่วนแผ่นหยกก็แบ่งให้แต่ละกลุ่ม และทุกกลุ่มอย่างน้อยต้องรับภารกิจบังคับที่ไม่ได้รับเงินรางวัลหนึ่งครั้งต่อปี ถึงตอนนั้นจะแจ้งล่วงหน้าผ่านป้ายหยกนี้”

จินเฟยเหยารับแผ่นหยกขนาดเท่าฝ่ามือมา ใหญ่กว่าแผ่นหยกทั่วไปที่มีขนาดยาวเท่านิ้วมือมากนัก นางไม่ได้ตรวจสอบแผ่นหยกชั่วคราว ทว่าซุกเก็บไว้ รอให้อู๋เฮ่าคงพูดเรื่องอื่นๆ อีก

ต่อมาโดยพื้นฐานแล้วก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่เอ่ยถึงว่าทุกคนห้ามต่อสู้กัน จากนั้นก็เอ่ยถึงการแข่งขันแย่งชิงยาสร้างฐานในปีหน้า จินเฟยเหยามีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณช่วงกลาง ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติในการลงสมัคร อู๋เฮ่าคงเพียงแค่บอกนางตามกฎระเบียบ

ในขณะที่จินเฟยเหยาสนทนากับหัวหน้า สองพี่น้องวิปริตไม่รู้ว่าจูงมือกันไปเที่ยวเล่นที่สวนดอกไม้ใดแล้ว ติงจี้กลับถึงเรือนก็ไม่ปรากฏตัวอีก คาดว่าคงกำลังล้างหน้าซ้ำไปซ้ำมาอยู่ จินเฟยเหยาคาดเดาอย่างใจร้ายยิ่ง เขาคงไม่ล้างร่างกายไปด้วยหลายรอบหรอกนะ

อู๋เฮ่าคงอธิบายจบ ก็บอกว่ามีธุระขอตัวก่อน เหลือเพียงเวิงเหล่าที่บอกจินเฟยเหยาอย่างกระตือรือร้น ยังมีอีกสี่คนที่ออกไปข้างนอก ไม่ได้พักผ่อนในเรือนของตนเอง ตอนพวกเขากลับมาจะแนะนำให้นางรู้จัก จินเฟยเหยาเอ่ยขอบคุณสหายเซียนเฒ่าที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นอย่างสุภาพ ขอเพียงเขาไม่มีเจตนาร้าย หากชอบทำความดีก็ทำไป อย่างไรเสียตนเองก็ไม่ขาดทุน

เพียงแต่…จินเฟยเหยากวาดตามองเรือนเล็กที่สมาชิกอาศัยอยู่ ต่อให้เป็นกลุ่มเดียวกัน จิตใจระวังป้องกันคนมิอาจไม่มี เพิ่งพบหน้าก็คิดจะใช้ลูกไม้ แม้จะไม่รู้สึกถึงเจตนาสังหาร แต่ว่าผู้ใดจะชอบให้คนวางยาบนร่างของตนเองเล่า

นางตัดสินใจว่า ขอเพียงไม่ใช่ภารกิจบังคับ เวลาอื่นๆ จะพยายามไม่ออกไปทำภารกิจกับคนที่มีพฤติการณ์ไม่ปกติเหล่านี้ ทว่าพอครุ่นคิดดูอย่างละเอียด นอกจากเวิงเหล่า หัวหน้า และหลิวเกาอี้ นางก็ไม่ค่อยอยากคบค้าสมาคมกับคนอื่นๆ เลยจริงๆ

Related

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset