คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 36 ยาสร้างฐานห้าร้อยเม็ด

“พี่ ท่านปู่ทำเพื่อความรุ่งเรืองของตระกูล ท่านในฐานะส่วนหนึ่งของตระกูล เสียสละเล็กน้อยเพื่อตระกูลมีอันใดไม่ได้ ท่านไม่ดูบ้างว่าสิ่งที่ท่านทำในอดีตคือเรื่องอะไร ไม่เห็นผู้อาวุโสอยู่ในสายตา อกตัญญู ทำให้ตระกูลของเราขายหน้าจนหมดสิ้น” น้ำเสียงจินเฟยเหวินพลันเปลี่ยนไป เริ่มตำหนิขึ้นมา

จินเฟยเหยากลับยิ้มแย้ม “เพราะอะไร? เพราะอะไรข้าจึงต้องเสียสละชีวิตเพื่อพวกเจ้า ตระกูลไม่เคยทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อข้า เหตุใดข้าจึงต้องใช้ตนเองไปแลกเปลี่ยนกับเส้นทางอันสดใสของพวกเจ้า ข้ามิได้กินต้าเฉ่าอู[1]มากไป ถูกพิษจนสมองเสื่อม”

“เจ้าคนอกตัญญู!”  เสียงคำรามด้วยโทสะพลันดังมาจากด้านหลัง

พอจินเฟยเหยาหมุนกายไป ที่แท้เป็นลุงใหญ่ของตนเองพาองครักษ์เฝ้าบ้านกลุ่มหนึ่งมา หลังจากได้รับสารจากจินเฟยเหวิน ก็รีบมาจับคนทันที และคนที่ไปส่งสารคือเด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ปี จินเฟยเหยาเห็นเขาติดตามอยู่ข้างกายลุงใหญ่ ก้มศีรษะค้อมเอวท่าทางกระตือรือร้น ก็มีโทสะอย่างยิ่ง

“เพี๊ยะ” นางก้าวเข้าไปตบเขาอย่างแรง อ้าปากด่าทอ “เจ้าคนสารเลว เสียทีที่ข้าดีต่อเจ้า ตอนทรยศคนอื่นหนีได้ปราดเปรียวนัก”

ฝ่ามือของจินเฟยเหยาไม่เบาเลย พอตบไปก็ตบจนเขาร่วงลงไปกองกับพื้น ถ่มโลหิตสดและฟันที่ปะปนกันออกมาแล้วร้องไห้โฮ ใบหน้าครึ่งซีกบวมขึ้นมาทันที เขากุมใบหน้าแล้วเอ่ยโน้มน้าวอย่างคลุมเครือ “พี่ ท่านอย่าก่อเรื่องสิ ท่านปู่บอกแล้ว ขอเพียงท่านกลับไปโดยดี เขาจะไม่เอาเรื่องท่านอีก ผู้อาวุโสสำนักหลิงคงยังขาดอนุภรรยาอีกคน ท่านไปแล้วต้องได้รับความโปรดปรานแน่ อีกทั้งขอเพียงท่านยอมไป ท่านปู่รับปากว่าจะช่วยให้ข้าเข้าสำนักในของสำนักหลิงคง ท่านรักเอ็นดูข้ามาตลอด ก็ช่วยเหลือข้าหน่อยเถอะ ข้าเป็นน้องชายแท้ๆ ของท่านนะ”

“ไสหัวไป” จินเฟยเหยายกเท้าขึ้นกำนัลเขาหลายครั้ง “น้องชายแท้ๆ อะไร เจ้าพูดออกมาได้ อยากจะเข้าสำนักใน ก็อาศัยความสามารถของตนเองเข้าไปสิ นอกจากสำนักหลิงคง ไม่มีสำนักอื่นหรือ ข้าอาศัยความสามารถของตนเองเข้าสำนักเฉวียนเซียนได้ เหตุใดเจ้าจึงไม่มีความสามารถในการหาทางออกให้กับตนเอง ถึงกับคิดจะขายพี่สาวเพื่อความเจริญก้าวหน้า ข้าจะเตะเจ้าให้ตาย”

“พวกเจ้ามัวยืนตกตะลึงอะไรอยู่ ยังไม่รีบจับคุณหนูรองกลับไปอีก อยู่บนถนนใหญ่ไม่รู้จักอับอายบ้าง” ลุงใหญ่เห็นนางไม่สนใจความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ลงมือทุบตีจินเฟยหยางอย่างรุนแรง จึงรีบโบกมือ ให้องครักษ์ที่เป็นผู้ฝึกร่างกายในเรือนด้านหลังเข้าจู่โจม คิดจะพาจินเฟยเหยากลับไป

“รนหาที่ตาย” ดวงตาของจินเฟยเหยาเผยประกายดุร้าย ตวาดอย่างเย็นชา กำหมัดขึ้นพุ่งเข้าต่อยตีองครักษ์ในเรือน องครักษ์ในเรือนถูกนางต่อยคนละหมัดจนลอยออกไปหลายจั้งเหมือนกระดาษขาดๆ กระแทกเข้ากับฝูงชนที่ยืนล้อมวงดูอยู่จนขยับเขยื้อนไม่ได้

ลุงใหญ่เห็นองครักษ์ในเรือนไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ถูกจินเฟยเหยาทุบตีจนนอนสลบบนพื้น อดคำรามอย่างเดือดดาลไม่ได้ “เจ้าคนอกตัญญู ถึงกับกล้าสู้กลับ น่าโมโหยิ่งนัก เฟยเหวิน ยังไม่ช่วยข้าจับนางกลับไปลงโทษตามกฎตระกูลอีก”

จินเฟยเหยาได้ยินคำพูดของเขา ก็มองเขาเหมือนจะยิ้มไม่เชิงยิ้ม รอให้เขาลงมือ ส่วนจินเฟยเหวินรีบก้าวเข้ามา ใช้มือฉุดดึงลุงใหญ่ที่เดือดดาลอย่างยิ่งเอาไว้ เอ่ยเสียงเบาว่า “ลุงใหญ่ อาจารย์สั่งกำชับมาเป็นพิเศษ ผู้บำเพ็ญเซียนในเมืองลั่วเซียนห้ามต่อสู้กันเอง ไม่เช่นนั้นสถานเบาจู่โจมสังหารในที่เกิดเหตุ สถานหนักขับทั้งสำนักและตระกูลออกไป ลุงใหญ่โปรดใจเย็นหน่อย”

“ทว่าเมื่อครู่นางลงมือก่อนมิใช่หรือ หรือว่านางไม่กลัว?” ลุงใหญ่ชี้จินเฟยเหยาแล้วโพล่งออกมาอย่างตื่นเต้น

จินเฟยเหวินมองลุงใหญ่ที่มีความกล้าทว่าไม่ค่อยฉลาดผู้นี้ กล่าวอธิบายอย่างช่วยไม่ได้ “ลุงใหญ่ ขอเพียงไม่ใช้พลังวิญญาณ ไม่ว่าคนธรรมดาหรือผู้บำเพ็ญเซียน ใช้กายเนื้อเข้าห้ำหั่นกันก็จะไม่อยู่ในการควบคุม ท่านก็เห็นแล้ว พละกำลังของพี่เพิ่มมากขึ้น หากพวกเราสองคนไม่ใช่พลังวิญญาณ อาศัยแค่หมัด เกรงว่าคงรับมือนางไม่ได้”

“หรือว่าจะปล่อยนางไปแบบนี้?” พอนึกถึงว่าอีกไม่กี่วัน ท่านผู้เฒ่าก็จะมาถึงเมืองลั่วเซียน หากสามารถจับจินเฟยเหยากลับไปได้ ท่านผู้เฒ่าพอยินดี ไม่แน่ว่าจะมอบสิ่งของในการฝึกบำเพ็ญให้บุตรชายของตนเองเพิ่มอีกนิด จะปล่อยนางไปแบบนี้ได้อย่างไร

“เมื่อครู่นางพูดมิใช่หรือ ว่าตนเองอยู่สำนักเฉวียนเซียน” จินเฟยเหวินเอ่ยเบาๆ

“อ้อ ข้ารู้แล้ว” ในที่สุดลุงใหญ่ก็เข้าใจ จินเฟยเหวินจึงระบายลมหายใจ

จินเฟยเหยาเห็นพวกเขากำลังพึมพำ รู้ว่าคงสู้ไม่ได้ จินเฟยเหวินเป็นคนเจ้าเล่ห์อย่างยิ่ง ย่อมต้องไม่ให้พวกเขาลงมือแน่ นางมองจินเฟยหยางที่นอนอยู่บนพื้น น้องชายที่บิดาให้กำเนิดมาจากที่อื่นเพราะความสนุกชั่วคราวคนนี้ ทำให้นางหมดวาจาจริงๆ

ตั้งแต่วันที่อุ้มกลับมา นางไม่เคยปฏิบัติต่อเขาอย่างโหดร้ายทารุณ ให้เขามีกินมีใช้ ทว่าเขากลับมีนิสัยไม่รักดี หลังจากบิดามารดาหายไป เขาที่อายุยังน้อยๆ ไปใช้ชีวิตมั่วสุมและประจบสอพลออยู่ที่บ้านลูกพี่ลูกน้องคนอื่นทั้งวัน ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไร อีกทั้งตอนเลือกเตาหลอมมนุษย์ หลังจากเจ้าเด็กนี่ได้ยินตอนนอนอยู่นอกหน้าต่าง ก็ชูมือเข้าไปอย่างตื่นเต้นยินดี แนะนำตนเองอย่างรุนแรง

เขาไม่มีพลังวิญญาณทว่าคิดฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนทั้งวัน คิดหาทุกวิถีทางอยากจะบำเพ็ญเซียน จนใกล้จะกลายเป็นมารแล้ว

จินเฟยเหยาเดินเข้าไปนั่งยองๆ ต่อหน้าเขาแล้วเอ่ยเสียงเย็นชา “ครั้งที่แล้วข้าเห็นแก่ที่เราเติบโตมาด้วยกัน จึงปล่อยเจ้าไปครั้งหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เจ้ายังเป็นแบบนี้อีก ชาติที่แล้วข้าล่วงเกินเจ้าใช่หรือไม่ ดูเหมือนเจ้าคิดจะจับข้ากลับไปแลกกับผลประโยชน์อย่างสุดชีวิต เจ้าไปวางแผนร้ายต่อคนอื่นได้หรือไม่ ข้ารำคาญเจ้าจริงๆ หากพวกเราไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน ข้าก็อยากใช้ฝ่ามือตบเจ้าให้ตายจริงๆ” หลังเอ่ยจบ นางลุกขึ้นยืน ไม่ใส่ใจคนเหล่านั้น เดินจากไปอย่างไม่หยี่หระ เหลือเพียงสายตาที่กินคนได้หลายคู่ทางด้านหลังที่ทิ่มแทงเบื้องหลังนางดุจคมมีด

พอเกิดเรื่องเช่นนี้ อารมณ์ของจินเฟยเหยาจึงไม่ดีอย่างยิ่ง  มาถึงหอซานไห่ที่คึกคักที่สุด คิดจะดื่มคลายทุกข์สักจอก ในร้านอาหารแห่งนี้มีสุราเหมยเขียวชนิดหนึ่ง อ่อนใสรสชาติดี ถูกปากนางอย่างยิ่ง

เพราะหอซานไห่มีสุราหลายชนิด ทำอาหารได้อร่อย ทุกคนจึงชื่นชอบ นางมาถึงชั้นสามจึงพบโต๊ะว่าง นางสั่งอาหารหลายจานและสุราเหมยเขียวหนึ่งกา จึงเริ่มดื่ม

ชั้นสามมีผู้บำเพ็ญเซียนนั่งอยู่จำนวนมาก ได้ยินพวกเขากำลังสนทนากันข้างหู พูดคุยกันทุกเรื่อง ส่วนมากล้วนเป็นสถานการณ์ในปัจจุบันของเมืองลั่วเซียน

“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ ช่วงนี้ในภูเขารอบด้านมีสัตว์ปิศาจปรากฏขึ้นตัวหนึ่ง กินเฉพาะผู้บำเพ็ญเซียนสตรี” หัวข้อสนทนาของผู้บำเพ็ญเซียนสามคนที่โต๊ะด้านข้างดึงดูดความสนใจจินเฟยเหยา

สัตว์ปิศาจที่กินผู้บำเพ็ญเซียนสตรี? หรือว่าหวาซียังไม่ได้เก็บสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณกลับไป? เขาเคยเอ่ยว่าศิษย์สตรีของสำนักชิงโซ่วส่วนมากล้วนถูกเขาหลอกให้กินยาบำรุงโฉมที่เติมสาร เหตุใดตอนนี้มันยังออกไปหาอาหารข้างนอกอีก จินเฟยเหยาคิดอย่างสงสัย ไม่รู้ว่าตอนตนเองออกไปข้างนอก หากพบกับเจ้านั่นจะทำอย่างไร

ได้ยินพวกเขาพูดอีกว่า “ข้าเดาว่าอาจจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสูงชิงตัวผู้บำเพ็ญเซียนสตรีไปฝึกวิชามารหรือจับไปทำเตาหลอมมนุษย์ จากนั้นแสร้งนำสัตว์ปิศาจออกมาเบี่ยงเบนสายตาของทุกคน”

จะว่าไปก็จริง มิใช่เป็นไปไม่ได้ แต่ได้ยินว่าผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่สำนักใหญ่มากมายส่งไปล้วนถูกกินหมด ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก ทำเอาพวกผู้บำเพ็ญเซียนสตรีสีหน้าซีดเซียว จิตใจตึงเครียด ไม่กล้าออกจากเมืองลั่วเซียน”

นั่นสิ คิดจะหาผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนหนึ่งออกไปล่าสัตว์ปิศาจด้วยกัน ไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็ไม่ยอมออกไป พวกที่ออกไปทั้งหมดเป็นบุรุษ น่าเบื่อจริงๆ”

“ไปหอสาวงามหาสตรีสวยๆ หลายคนเป็นเพื่อนพวกเราออกไปทำภารกิจดีกว่า”

“ฝันไปเถอะ ยังหาเงินได้ไม่พอจ่ายค่าออกท่องเที่ยวของหอสาวงามเลย”

“เป็นสัตว์ปิศาจสารเลวจากที่ใด กินบุรุษก็พอแล้วมิใช่หรือ จะกินสตรีทำไม”

จินเฟยเหยายังเงียบงัน สามคนนี้พูดอยู่ครึ่งวัน สุดท้ายคิดไม่ถึงว่าเป็นเพราะผู้บำเพ็ญเซียนสตรีไม่กล้าออกไป ทำให้ตอนออกไปพวกเขาล้วนมีแต่บุรุษ จึงรู้สึกเบื่อหน่าย เจ้าพวกนี้ ถ้าได้เจอกับสัตว์ปิศาจที่กินบุรุษโดยเฉพาะ เกรงว่าคงจะเห่าหอนอีก ว่าเหตุใดไม่กินสตรี

นางสั่นศีรษะหันไปจิบสุราเหมยเขียว กินเนื้อแผ่นที่บางดุจปีกจักจั่น ยังไม่ได้ลิ้มรสอย่างละเอียด ก็ได้ยินตรงมุมห้องมีคนร้องอุทานเบาๆ

“ยาสร้างฐานห้าร้อยเม็ด!”

ชั้นสามที่อึกทึกพลันเงียบลง สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังคนทั้งสองตรงมุมห้อง นั่นเป็นบุรุษขั้นฝึกปราณช่วงปลายสองคน เห็นสายตาอันเร่าร้อนของทุกคนมองมาที่พวกเขา ก็หวาดกลัวจนคนหนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงดังว่า “สหายเซียนหวัง สิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ? ครั้งนี้ตำหนักลั่วเซียนจะจัดกิจกรรม ให้ทุกคนแย่งชิงยาสร้างฐานห้าร้อยเม็ด?”

อีกคนก็หัวไวรีบเอ่ยเสียงดังว่า “ใช่ ข้าได้ยินอาจารย์บอกว่า ไม่ว่าเป็นสำนักใดและมีพลังการบำเพ็ญเพียรเช่นใด ขอเพียงมีระดับต่ำกว่าขั้นสร้างฐานลงไป ล้วนสามารถไปลงชื่อสมัครเข้าร่วมได้ ห้าร้อยคนแรกจะได้รับยาสร้างฐาน หากเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ ก็มีสิทธิ์เลือกเข้าสำนักใหญ่แต่ละแห่งก่อน เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง”

ทุกคนไม่รู้ข่าวสารเช่นนี้ จึงมองพวกเขาสองคนอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่าเห็นพลังการบำเพ็ญเพียรของคนทั้งสอง อย่าว่าแต่ยาสร้างฐานห้าร้อยเม็ดเลย เกรงว่าเม็ดเดียวก็เอามาไม่ได้ ทว่าสามารถได้ยินข่าวเช่นนี้ ทุกคนตื่นเต้นอย่างยิ่ง เจตนาสังหารในดวงตาเบาบางลงไม่น้อย หวังเพียงสามารถได้ฟังเนื้อหาเพิ่มขึ้นอีกหน่อย

ทั้งสองคนในยามนี้ขี่หลังเสือยากจะลงมา คนที่รู้ข้อมูลได้แต่ยืนขึ้นเอ่ยอธิบายต่อทุกคนในชั้นสามเสียงดังอย่างโง่งมที่สุด

“ทุกคนก็รู้ การแข่งขันของโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนที่ห้าร้อยปีมีหนึ่งครั้งกำลังจะมาถึงในอีกยี่สิบปี พวกเราเป็นโลกระดับดิน ได้แต่ส่งผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเข้าร่วม เกรงว่าจำนวนคนไม่พอ ดังนั้นครั้งนี้ตำหนักลั่วเซียนและสำนักใหญ่สามสิบสำนักจึงร่วมกันนำยาสร้างฐานห้าร้อยเม็ดออกมา ให้ทุกคนลงสมัครได้ตามสบาย ขอเพียงมีความสามารถ ก็นำยาสร้างฐานกลับบ้านได้”

เขาดื่มน้ำชา เห็นยังมีบางคนมองเขาอย่างสงสัย จึงกล่าวอีกว่า “ทุกคนไม่ต้องรีบร้อน อีกหลายวันต้องมีข่าวแพร่ออกมาแน่นอน อีกทั้งยาสร้างฐานห้าร้อยเม็ดก็ไม่นับว่ามาก ห้าร้อยปีก่อน เพราะการต่อสู้ของตำหนักลั่วเซียนและสำนักใหญ่ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานลดน้อยลง จึงส่งมาแปดร้อยเม็ดเต็มๆ น่าเสียดายที่สุดท้ายยังพ่ายแพ้อีก ขอเพียงมีดินแดนลึกลับลั่วเซียนอยู่ ยาสร้างฐานเล็กน้อยแค่นี้ก็หลอมออกมาได้อย่างง่ายดาย”

พอเอ่ยถึงตรงนี้ ทุกคนก็เชื่อไปเจ็ดแปดส่วน ขอเพียงไม่จำกัดอายุและพลังการบำเพ็ญเพียร ไม่สนใจชาติกำเนิด ไม่ว่าเจ้าจะมีสำนักหรือไร้สำนักล้วนสามารถไปแย่งชิงยาสร้างฐานได้ อีกทั้งมีปริมาณมาก อย่างไรก็สามารถแย่งชิงได้เม็ดหนึ่ง นี่เป็นแป้งทอดไส้เนื้อที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้ามิใช่หรือ?

ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นทั้งหมดมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณ ยาสร้างฐานเกี่ยวพันถึงปัญหาความเป็นความตายของพวกเขา ใครจะไม่อยากได้ โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเซียนอิสระที่น่าสงสาร ยามนี้ในดวงตายิ่งมืดมน มองผู้บำเพ็ญเซียนรอบด้านด้วยรังสีแห่งความตาย ขอเพียงตนเองเข้าร่วมได้ก็ดี ชั่วขณะ ชั้นสามของหอซานไห่เงียบสงัด

“ท่านเซียนทั้งสอง เชิญชั้นบน” ในขณะนี้เอง ลูกจ้างของหอซานไห่พาผู้บำเพ็ญเซียนสองคนขึ้นมา พบว่าชั้นสามเงียบกริบไม่มีเสียงใดๆ

“เกิดเรื่องใดขึ้น?” ลูกจ้างเอ่ยถามออกมาอย่างตกตะลึง ทำลายความเงียบของชั้นสามในพริบตา ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งหมดลุกขึ้นยืน โยนเศษศิลาวิญญาณจ่ายค่าอาหารลงบนโต๊ะ บางคนโยนศิลาวิญญาณออกมาทั้งก้อน แม้แต่เงินทอนก็ไม่ต้องการ ทั้งหมดพุ่งลงจากหอไป

ชั้นสามที่เดิมทีมีคนอยู่เต็ม เหลือเพียงจินเฟยเหยาและคนทั้งสองซึ่งบอกเล่าข่าวที่ยังนั่งอยู่สองโต๊ะ โต๊ะอื่นๆ ล้วนว่างเปล่า ทำให้ลูกจ้างและผู้บำเพ็ญเซียนที่เพิ่งมาสับสนงุนงง

[1] ต้าเฉ่าอู มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Aconitum bullatifolium Levl รากสามารถใช้เป็นยาได้ฉุน  มีรสขม เผ็ดร้อน และมีพิษมาก แพร่กระจายทางแถบยูนนาน

Related

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset