คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 40 แผนการร้ายอะไร?

อย่างไรเสียแมงมุมตาผีขั้นหนึ่งก็ไม่เป็นอันตรายต่อพวกเขา ทุกคนจึงไม่ได้บังคับให้ผู้บำเพ็ญเซียนโคลนเหลืองนำหินแสงราตรีออกมา ทุกคนติดตามอยู่ด้านหลังจินเฟยเหยา เดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

เสียงซ่าซ่าของแมงมุมตาผีอยู่ข้างหู ทว่ากลับรักษาระยะห่างจากพวกเขามาตลอด จินเฟยเหยาเบิกทางได้อย่างง่ายดาย เดินมาเกือบหนึ่งชั่วยาม ตลอดทางไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ ปีนขึ้นเดินลง กระโดดข้ามหลุมลึกสิบกว่าจั้ง ข้ามแม่น้ำใต้ดินที่เย็นจัด ทรมานอยู่นาน ในที่สุดก็มาถึงถ้ำที่ถือว่าใหญ่แห่งหนึ่ง

ด้านบนของถ้ำมีหินงอกขนาดใหญ่น้อยไม่เท่ากันอยู่เต็มไปหมด บนพื้นก็เต็มไปด้วยหินย้อยที่สูงต่ำไม่เท่ากัน ตรงกลางถ้ำมีหินย้อยที่สูงอันหนึ่ง ด้านบนของหินมีถ้ำขนาดเท่าอ่างล้างหน้า ด้านในเต็มไปด้วยของเหลวสีดำ

ดอกบัวสูงสามฉื่อทั่วดอกมีสีแดงเพลิง เบ่งบานอยู่ในของเหลวสีดำ ในของเหลวสีดำยังมีใบบัวสองใบที่มีสีแดงเพลิงเช่นเดียวกัน กลิ่นหอมสดชื่นจางๆ ล่องลอยอยู่ในถ้ำ

“พวกเจ้าเฝ้าทางออกไว้ ข้าจะไปเด็ดบัวเซียนอัคคี” เฉียนเฟิงเห็นบัวเซียนอัคคี ดวงตาก็เปล่งประกาย ให้ทุกคนเฝ้าทางออกไว้

เดิมทีจินเฟยเหยายังมองรอบด้านอย่างตึงเครียด เกรงว่าภูติศพขั้นสามจะกระโดดออกมาอย่างกะทันหัน ทว่าในถ้ำอย่าว่าแต่ภูติศพขั้นสามเลย ขนาดแมงมุมตาผีขั้นสองก็ยังไม่มีสักตัว นางติดตามอยู่ข้างกายหลิ่วฉี่ปออย่างสงสัย เดินมาเฝ้าตรงทางออก

เฉียนเฟิงและผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสองคนที่เขาพามา ล้วงขวดหยกออกมาสามใบ คนหนึ่งถือพู่กันวิญญาณ จุ่มของเหลวสีแดงประหลาดในขวดหยก เริ่มวาดวงเวทตามหินย้อยน้ำสีดำที่บัวเซียนอัคคีงอกออกมา

ทุกคนเห็นการกระทำแปลกๆ ของพวกเขา ยังสนใจเฝ้าทางออกที่ไหน มองพวกเขาตาไม่กระพริบ ในที่สุดก็มีคนอดเอ่ยถามไม่ได้ “ผู้อาวุโส วงเวทนี้มีไว้ทำอะไร?”

เฉียนเฟิงไม่เงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “บัวเซียนอัคคีเด็ดยากหากไม่วาดวงเวท ตอนเด็ดจะกลายเป็นบอลไฟ ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ได้ตัวยาเลย มีโอกาสจะถูกไฟเผาตายได้ พวกเจ้าตั้งใจเฝ้าทางออกให้ดี อย่าให้แมงมุมตาผีปิดผนึกปากถ้ำ”

“แค่แมงมุมตาผีเหล่านั้น จะขัดขวางพวกเราได้อย่างไร”

ยังเอ่ยไม่จบ ก็ได้ยินคนร้องอุทานด้วยความตกใจ “ทางออกถูกปิดผนึกแล้ว!”

ทุกคนจึงพบว่า ขณะที่ความสนใจของทุกคนถูกวงเวทดึงดูดไว้ ในเวลาอันสั้นทางออกหกทางในถ้ำก็ถูกใยแมงมุมสีขาวปิดผนึกไว้ ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าแมงมุมตาผีปิดทางออกไว้ตั้งแต่เมื่อใด

“อ๊า…” ในขณะนี้เอง ในถ้ำมีเสียงร้องหนักๆ ดังมา พื้นถ้ำพลันมีเนินห้าเนินผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน แขนสีเขียวเข้มหลายข้างยื่นออกมาจากกลางเนินดิน สัตว์ประหลาดสีเขียวเข้มที่เป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงห้าตัวแทรกตัวออกมาจากเนินดิน

“ภูติศพขั้นสาม คิดไม่ถึงว่าจะมีภูติศพขั้นสามถึงห้าตัว!”

ทุกคนเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ ก็อดอุทานออกมาไม่ได้ บอกไว้ว่ามีภูติศพขั้นสามตัวเดียวชัดๆ เหตุใดตอนนี้จึงกลายเป็นห้าตัว อีกทั้งทางออกยังถูกใยแมงมุมปิดผนึก คิดจะหนีไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าพอนึกถึงว่าในถ้ำยังมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานอีกสามคน พวกเขาก็วางใจนิดๆ ขอเพียงพวกเฉียนเฟิงสามคนลงมือ ต่อให้เป็นภูติศพห้าตัว ก็มีแต่ตายสถานเดียว

ทว่าพวกเฉียนเฟิงสามคน กลับไม่คิดจะหยุดพู่กันในมือ และไม่สนใจภูติศพที่แทรกตัวออกมาจากในเนินดิน ทว่าวาดวงเวทอย่างตั้งใจแทน วงเวทสีแดงโลหิตยิ่งวาดก็ยิ่งใหญ่ พื้นที่ของวงเวทค่อยๆ แผ่ขยายออกไปรอบด้านอย่างช้าๆ

ภูติศพสั่นร่าง พบว่าคนทั้งสามนั่งยองๆ อยู่กลางถ้ำจึงคำรามแล้วพุ่งเข้าใส่พวกเขาทันที เพิ่งเดินเข้าไปใกล้วงเวท และย่างเท้าเข้าไปข้างในเพียงก้าวเดียว วงเวทสีแดงโลหิตก็สว่างขึ้นและมีเสียงดัง ‘ชี่’ แสงสีแดงประหลาดกระพริบวาบ ภูติศพเหมือนถูกไฟเผาไหม้ มีควันสีเขียวออกมา มันร้องเสียงดังและถอยออกไป

หลังจากทดลองอยู่หลายครั้งอย่างไม่ยินยอม บรรดาภูติศพพบว่าพวกมันเหยียบย่างเข้าไปในสิ่งของสีแดงไม่ได้เลย มองอาหารที่มาถึงปากแต่กลับกินไม่ได้ พวกมันได้แต่อ้าปากถ่มพิษร้ายสีเขียวเข้าไปข้างใน ทว่าน่าเสียดาย พิษที่ถ่มเข้าไปในวงเวท กลายเป็นควันสีเขียวทันที ทำให้การโจมตีของพวกมันไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

ผู้บำเพ็ญเซียนที่เหลือแนบตัวติดกับข้างถ้ำ เห็นภูติศพจับจ้องผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานสามคนที่อยู่ข้างวงเวท และหมุนตัวอย่างช่วยไม่ได้ ภูติศพทำอะไรวงเวทไม่ได้ก็เบนสายตามามองผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ สั่นร่างและพุ่งเข้าหาพวกเขา

อย่าเห็นว่าภูติศพดูแล้วแขนขาทั้งสี่ข้างแข็งทื่อ ที่จริงแล้วความเคลื่อนไหวรวดเร็ว เดินพลางกระโดดเข้าใส่พวกเขา เล็บมืองอกยาว มีสีเขียวน่าขยะแขยง เข้ากับพิษที่ถ่มออกมาจากในปาก เริ่มโจมตีมาตั้งแต่ไกล

บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนเปิดม่านแสงและม่านป้องกันนานาชนิด ขวางกั้นพิษของภูติศพ จากนั้นก็ใช้เวทธาตุไฟทั้งหมดออกมา ชั่วขณะ ในถ้ำมีแสงเพลิงพวยพุ่งขึ้นฟ้า อึกทึกอย่างยิ่ง

ภูติศพและแมงมุมตาผีมีนิสัยใกล้เคียงกัน ต่างเกรงกลัวไฟ เพียงแต่พลังการบำเพ็ญเพียรต่างกัน ระดับก็ต่างกัน เวทอัคคีธรรมดาโจมตีใส่แมงมุมตาผีขั้นหนึ่งได้ผลดี ทว่าโจมตีใส่ภูติศพขั้นสาม กลับไม่มีประโยชน์ใดๆ เดิมทีบอกว่ามีภูติศพเพียงตัวเดียว ทว่าจำนวนที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ามีมากมายเกินไป ทุกคนจึงนำอาวุธเวทนานาชนิดออกมาต้านทานการโจมตีของภูติศพ ในใจเกิดความเดือดดาล หากรู้ว่ามีภูติศพมากมายขนาดนี้ พวกเขาคงไม่มา

และที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงคือในภูติศพห้าตัว สองตัวเป็นขั้นสามช่วงปลาย สามตัวเป็นขั้นสามช่วงกลาง ภูติศพที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นสามที่เฉียนเฟิงบอก แม้แต่เงาผีก็ยังไม่มี ในขณะที่ทุกคนตื่นตระหนกตกใจ พอได้สติคืนมา ปฏิกิริยาแรกก็คือคิดจะถกเหตุผลกับเฉียนเฟิงให้เพิ่มราคาหน่อย ครั้งนี้ต้องเสี่ยงชีวิต แค่หนึ่งพันศิลาวิญญาณจะเพียงพอได้อย่างไร

บรรดาภูติศพไม่รอให้พวกเขาหารือเรื่องราคาเสร็จก็ลงมือ เนื้อมนุษย์แสนอร่อยอยู่เบื้องหน้า ระบบย่อยของคนตายเริ่มขยับอย่างรุนแรงขึ้นมา ความปรารถนาอยากกินอาหารพุ่งทะยานอย่างเป็นประวัติการณ์ ภูติศพขั้นสามช่วงปลาย มีพละกำลังเทียบได้กับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงกลางและช่วงปลาย ต่อให้ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลายสามคนต่อกรกับภูติศพตัวเดียว ก็ได้แต่ถูกโจมตีฝ่ายเดียว

พวกจินเฟยเหยาสามคนยืนอยู่ในมุมหนึ่ง สิ่งที่ต่อสู้พัวพันกับพวกเขาคือภูติศพขั้นสามช่วงกลาง มือซ้ายของหลิ่วฉี่ปอถือคันธนูเล็กๆ สีทอง พลังวิญญาณในมือขวากลายเป็นลูกธนูวิญญาณสีทอง ยิงใส่ร่างของภูติศพดอกแล้วดอกเล่า ส่วนติงเทียนเฉิงใช้เวทควบคุมวัตถุควบคุมกระบี่วิญญาณชั้นยอดเล่มหนึ่งที่มีแสงรัศมีเจิดจ้าฟาดฟันใส่ภูติศพ

สามารถควบคุมกระบี่วิญญาณธรรมดาด้วยเวทควบคุมวัตถุได้เหมือนเวทขี่กระบี่ซึ่งเมื่อถึงขั้นสร้างฐานจึงจะได้เรียน ทำให้จินเฟยเหยาทอดถอนใจอย่างชื่นชม ในใจนับถือเขาอย่างยิ่ง ทุกคนล้วนต้านทานภูติศพอย่างสุดกำลัง จินเฟยเหยากลับจงใจซ่อนฝีมือเอาไว้ นางไม่ได้ใช้หัตถ์ไฟนรก ทว่าใช้แค่ดาบโค้งวงเดือนในมือประสานเข้ากับเวทอัคคีต่อกรภูติศพ

ในขณะที่ทุกคนกำลังต่อกรกับภูติศพอย่างยากลำบาก ก้อนหินด้านบนถ้ำพลันขยับอย่างกะทันหัน แมงมุมตัวใหญ่ครึ่งจั้ง แบกร่างกายที่เหมือนกับก้อนหินมาปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าทุกคน

“แมงมุมตาผีขั้นสอง!” คิดไม่ถึงว่าแมงมุมตาผีจะเข้ามาร่วมสนุกด้วยในยามนี้ ทุกคนร้อนใจจนเดือดดาล

จินเฟยเหยาขมวดคิ้ว คิดไม่ถึงว่าแมงมุมตาผีขั้นสองเหล่านั้นจะปลอมเป็นก้อนหินซุ่มโจมตีพวกเขา เดิมทีแค่ภูติศพก็ต้านทานได้อย่างยากลำบาก ตอนนี้ยังมีแมงมุมตาผีขั้นสองจำนวนสามสิบกว่าตัวโผล่มา พวกเขาจะเอาชนะได้อย่างไร

แมงมุมตาผีส่งเสียงซ่าๆ เคลื่อนไหวบนก้อนหินอย่างรวดเร็ว จากนั้นเห็นสิ่งของสีขาวพุ่งออกมาจากปากพวกมันเข้าใส่ผู้บำเพ็ญเซียนอย่างรวดเร็ว สิ่งของสีขาวกลายเป็นใยแมงมุมกลางคัน ในถ้ำกลายเป็นฝนใยแมงมุมในพริบตา

“อ๊า!” มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงกลางคนหนึ่งหลบไม่ทันถูกใยแมงมุมห่อหุ้ม ทั้งร่างแปะติดกับพื้น ภูติศพทางด้านข้างฉวยโอกาสเข้ามากอดรัดเขาเอาไว้ อ้าปากที่มีน้ำพิษสีเขียวกัดลงไป

มีเพียงเฉียนเฟิงที่อยู่ในวงเวทที่ยังคงวาดวงเวทอย่างสงบนิ่งดังเดิม ไม่สนใจใยแมงมุมที่ปลิวว่อนไปทั่วแม้แต่น้อย ส่วนใยแมงมุมเหล่านั้นพอลอยมาในวงเวท ก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่านทันที ทำอันตรายพวกเขาไม่ได้สักนิด เห็นภายในวงเวทปลอดภัยขนาดนี้ มีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยกระโดดเข้าไปในวงเวทเพื่อหลบการโจมตีของสัตว์ปิศาจ

พวกเขาหนีเข้าไปในวงเวท แมงมุมตาผีและภูติศพก็ได้แต่แยกเขี้ยวยิงฟันใส่พวกเขาอยู่นอกวงเวท ทว่ากลับทำอะไรพวกเขาไม่ได้ เห็นวงเวทมีประสิทธิภาพถึงเพียงนี้ ทุกคนต่างโล่งอก ยืนอยู่ในวงเวทโจมตีใส่ภูติศพ ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกภูติศพกัดก็ถูกพวกเขาลากเข้ามาในวงเวท แล้วให้เขากินยาแก้พิษ

แมงมุมตาผีและภูติศพที่ยืนอยู่นอกวงเวทได้แต่ถูกทุบตีเพียงฝ่ายเดียว อารมณ์ของทุกคนในตอนนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง พูดคุยและหัวเราะไปพลางลงมือโจมตีเป้าหมายที่เคลื่อนไหวอยู่นอกวงเวทตามสบาย

ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่เข้าไปในวงเวท นอกจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณช่วงปลายสองคนที่ไม่ได้เข้าไป ยังมีพวกจินเฟยเหยาอีกสามคน

เห็นทางออกถูกปิดกั้นและมีแมงมุมตาผีขั้นสองเต็มถ้ำ ยังมีภูติศพที่พ่นของเหลวสีเขียวซึ่งจับจ้องเหมือนพยัคฆ์จ้องมองเหยื่อ จินเฟยเหยาเอ่ยกับหลิ่วฉี่ปออย่างช่วยไม่ได้ว่า “เจ้าดูสภาพนี้สิ ดูเหมือนกำลังบีบให้พวกเราเข้าไปในวงเวท หากไม่เข้าไปก็ได้แต่รอความตาย”

หลังจากหลิ่วฉี่ปอยิงลูกธนูวิญญาณใส่แมงมุมตาผี ก็เอ่ยอย่างร้อนใจ “ห้ามเข้าไปเด็ดขาด สถานการณ์เช่นนี้น่าสงสัยมาก พวกเราเปิดทางออกสายหนึ่งหนีออกไป”

“อืม” จินเฟยเหยาในยามนี้ไม่สนใจแล้ว พอหัตถ์ไฟนรกคู่ปรากฏ ก็พุ่งเข้าไปหาแมงมุมตาผีตัวหนึ่ง

ผู้บำเพ็ญเซียนอีกสองคนดูเหมือนจะมีความคิดเช่นเดียวกันจึงฟาดฟันใยแมงมุมที่ปิดผนึกทางออกไว้วุ่นวาย เพียงแต่อาวุธเวทฟันไปก็ถูกแปะติดไม่ได้ผลเลยสักนิด ด้านหลังถูกสัตว์ปิศาจขวางไว้ทั้งยังพุ่งขึ้นมา คนทั้งสองร้อนใจจนเหงื่อท่วมศีรษะ ได้แต่หันกายกลับไปจัดการพวกมันอีกครั้ง

เห็นพวกเขาห้าคนเผชิญหน้ากับอันตรายถึงชีวิตก็ไม่คิดจะเข้ามาในวงเวท ผู้บำเพ็ญเซียนในวงเวทรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง มีผู้บำเพ็ญเซียนสองคนเล็งสถานที่ที่มีสัตว์ปิศาจน้อยคิดจะวิ่งออกนอกวงเวท ผู้ใดจะรู้ว่าเพิ่งพุ่งมาถึงข้างวงเวท วงเวทสีแดงโลหิตพลันเปล่งแสงสีแดง พวกเขาชนเข้ากับขอบอันว่างเปล่าแล้วกระเด้งกลับมา ออกไปไม่ได้เลยสักนิด

“ในที่สุดก็วาดวงเวทเสร็จแล้ว พวกเจ้าไม่กี่คนเข้ามาเถอะ ข้าจะได้ไม่ต้องลงมือ” เฉียนเฟิงยืดกายลุกขึ้น เก็บอุปกรณ์ในมือลงในกระเป๋าเก็บของ เอ่ยกับคนทั้งห้าที่ต่อสู้อย่างห้าวหาญและยากลำบากข้างนอก

เห็นสถานการณ์เช่นนี้ คนโง่ก็ยังรู้ว่าเรื่องนี้มีอะไรไม่ถูกต้อง ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ในวงเวทคิดจะหนี ผู้บำเพ็ญเซียนโคลนเหลืองขยับตัวก่อน เพิ่งขยับร่าง ก็ถูกผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานอ้วนเตี้ยที่วาดวงเวทกับเฉียนเฟิงหายตัวแวบมาถึงเบื้องหน้าของเขาในพริบตา ใช้เท้าเตะเขาคว่ำลงกับพื้น

จากนั้นเขาก็นำธงสีดำในมือออกมาสั่นเบาๆ มีควันสีดำพุ่งออกมาจากธงสีดำ ควันสีดำแบ่งเป็นหลายสายเข้ามัดทุกคนไว้ มีใบหน้าคนปรากฏขึ้นในควันสีดำ คำรามใส่พวกเขาอย่างต่อเนื่อง

“ไม่อยากตายก็รออยู่นิ่งๆ เสร็จธุระแล้ว ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป” เฉียนเฟิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง

Related

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset