คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 73 ลอบโจมตีแล้วลอบโจมตีอีก

“ทุกคนลุยพร้อมกัน กำจัดคนของสำนักอวิ๋นซาน ต้องยึดหญ้าวิญญาณผืนนี้ให้ได้” ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักจ้งเซียนตะโกน เคลื่อนไหวพรึบพรับ นำอาวุธเวทแก่นชีวิตนานาชนิดออกมาให้จินเฟยเหยาได้เห็นจนเต็มอิ่ม

นางพินิจดูอย่างละเอียด จึงพบว่าอาวุธเวทแก่นชีวิตของทุกคนนอกจากมีกระบี่เป็นอาวุธ อาวุธเวทแก่นชีวิตอื่นๆ ล้วนเป็นสิ่งที่มีรูปร่างแปลกประหลาด จอกสุรา เจดีย์ คทาหรูอี้ และธงต่างๆ ทั้งหมดล้วนไม่ใช่อาวุธเวทปกติ

จินเฟยเหยาเป็นมือใหม่ขั้นสร้างฐาน ใส่ใจอาวุธเวทแก่นชีวิตเหล่านี้เป็นพิเศษ ในดวงตาเต็มไปด้วยแสงรัศมีสีแดงสีเหลืองของอาวุธเวทนานาชนิด เปล่งประกายจนทำให้ตาพร่า

หยกหรูอี้สีเขียวมรกตทำให้พลังวิญญาณฟ้าดินรอบด้านเคลื่อนไหว ต้นไม้ยักษ์แทรกออกมาจากดิน กิ่งหยาบใหญ่พันเข้าด้วยกันเป็นรูปกำปั้นขนาดยักษ์ พกพาพลังวิญญาณสีเขียวทั่วร่างพุ่งมา ส่วนอีกด้านหนึ่ง ในจอกสุราเล็กๆ มีวิหคไฟขนาดสามจั้งตัวหนึ่งออกมา กู่ร้องยาวนานแล้วกวาดหางเพลิงมาเป็นทาง

อาวุธเวทแก่นชีวิตอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน เหมือนเจดีย์อันนั้นที่ลอยไปขยายขนาดกลางอากาศ พยายามดูดซับพลังโจมตีที่โจมตีมาอย่างสุดชีวิต ยังมีที่ใช้ธงสามเหลี่ยมและธงยาวสี่เหลี่ยมซึ่งลวดลายบนธงเคลื่อนไหวเอง สามารถใช้ทั้งเวทมนตร์และการป้องกันผสมร่วมกันได้ ทำให้คนไม่รู้ว่าจะกวาดตามองไปทางใดดี

“ความเคลื่อนไหวของการต่อสู้ครั้งนี้ใหญ่โตเกินไป ข้าก็ต้องไปหาอาวุธเวทแก่นชีวิตสักชิ้นที่น่าเกรงขามเพียงพอ” จินเฟยเหยามองอาวุธเวทแก่นชีวิตที่มีอานุภาพยอดเยี่ยมของพวกเขาอย่างอิจฉา ในใจคันยุบยิบ

ขณะที่นางยุ่งอยู่กับการครุ่นคิดว่าอาวุธเวทแก่นชีวิตเหล่านี้ชิ้นใดร้ายกาจ ศิษย์สำนักจ้งเทียนคนหนึ่งสังเกตเห็นจินเฟยเหยาที่อยู่ว่างๆ ทางด้านข้าง รู้สึกว่าถึงแม้นางจะปรากฏตัวขึ้นทีหลัง ทว่ากลับรู้จักกับสยงเทียนคุน สมควรสังหารไปพร้อมกัน เขาแค่มองผ่านๆ ก็มองออกว่าจินเฟยเหยาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่เพิ่งสร้างฐาน แม้แต่พลังการบำเพ็ญเพียรยังไม่เสถียร คิดไม่ถึงว่าจะกล้าเข้าดินแดนลึกลับเมืองลั่วเซียน เป็นคนที่เก็บของดีได้[1]แท้ๆ พอคิดถึงตรงนี้ เชือกฮุ่นหยวนในมือของเขาก็บินไปหาจินเฟยเหยา

เชือกฮุ่นหยวนกลายเป็นแสงสีเงินพุ่งมา จินเฟยเหยาลนลานยกมือขึ้น พลังวิญญาณพุ่งออกมาใช้สองมือคว้าแสงสีเงินสายนี้เอาไว้ ได้ยินเสียงดังชี่ พริบตาเชือกก็ถูกแช่แข็งผนึกเป็นน้ำแข็งนรกสีฟ้าเส้นยาว

“เอ๋?”

จินเฟยเหยาสงสัยนิดๆ เหตุใดไฟนรกจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ เชือกฮุ่นหยวนด้านในก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยร่วงลงพื้นตามน้ำแข็งนรกไปด้วย

เชือกฮุ่นหยวนเส้นนี้เปราะบางเกินไป เหตุใดบีบเบาๆ ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ จินเฟยเหยามองฝ่ามือ หรือว่านี่คือไฟนรกหลังสร้างฐาน คิดไม่ถึงว่าเลื่อนขั้นแล้วจะมีประสิทธิผลในการผนึกแข็งสูงสุด

ผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นตกตะลึง นี่คืออาวุธเวทชั้นยอดที่ตนเองหลอมสร้างขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะถูกจินเฟยเหยาบีบเบาๆ ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ จะดูเบาสตรีผู้นี้ไม่ได้ เขาสะกดความตกตะลึงไว้ในใจ คายพัดลิ่วเหอที่แพรวพรายออกมา

บนตัวพัดด้ามนี้ไร้รูปภาพ ตัวพัดเป็นสีพื้นมีหกสีสลับสับเปลี่ยนไม่หยุด ปราณวิญญาณที่พัดลิ่วเหอส่งออกมาจะเปลี่ยนแปลงไปตามสีของตัวพัดที่ปรากฏขึ้น แต่ละสีมีปราณแตกต่างกัน

เขากำลังคิดจะใช้อาวุธเวทแก่นชีวิตของตนเองโจมตีจินเฟยเหยา ก็เห็นฝั่งตรงข้ามมีหมัดน้ำแข็งสีฟ้าลอยมาหาอย่างกะทันหัน หมัดน้ำแข็งพุ่งเข้าต่อยใส่ใบหน้า เขาโบกพัดลิ่วเหอในมือ  แสงสีขาวลอยออกมาจากพัดปะทะเข้ากับหมัดน้ำแข็ง ทั้งสองฝ่ายกระทบกันทำให้ปราณวิญญาณกระเพื่อม เศษน้ำแข็งกระจายเกลื่อนพื้น

แสงสีขาวเพิ่งวาบผ่าน แสงสีเขียวก็ลอยออกมาจากพัดลิ่วเหออีก หมัดน้ำแข็งหมัดที่สองก็ตามมาถึง แล้วหมัดที่สาม หมัดที่สี่ก็ตามมาติดๆ ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักจ้งเทียนคนนี้ใช้พัดลิ่วเหอในมือโจมตีหมัดน้ำแข็งที่บินมาไม่หยุด พลังหมัดแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ปริมาณก็มาก ถึงดูภายนอกจะไม่มีอะไรเด่นสะดุดตาเหมือนลูกศรน้ำแข็งจากเวทลูกศรน้ำแข็งกลายเป็นหมัด ทว่าพลังกลับเป็นคนละเรื่อง

แต่ละครั้งที่ใช้พัดลิ่วเหอโจมตีหมัดน้ำแข็งให้แตกกระจาย แรงขับเคลื่อนมหาศาลก็จะกระแทกให้เขาถอยหลังไปหนึ่งฉื่อ ส่วนหมัดน้ำแข็งถูกจินเฟยเหยาต่อยออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับมีไม่หมดสิ้น ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ยังเห็นว่าเศษน้ำแข็งที่ถูกต่อยกระจายของหมัดน้ำแข็ง หลังจากร่วงพื้นก็กลายเป็นดอกไม้เพลิงสีฟ้าเผาไหม้อยู่บนพื้นไม่ขาดสาย

ตอนกำหมัดต่อยไปกลางอากาศ จินเฟยเหยาพบว่าไฟนรกและพลังวิญญาณที่พุ่งออกจากหมัดกลายเป็นหมัดน้ำแข็งที่มีอานุภาพเท่ากันโดยไม่บังเอิญ เปรียบเทียบกับหมัดในอดีตนางต้องเข้าใกล้อีกฝ่ายจึงจะสามารถโจมตีได้ ตอนนี้อยู่ห่างๆ ไม่ต้องขยับก็สามารถโจมตีอีกฝ่ายได้

เมื่อครู่ตอนนางขโมยดูเคล็ดวิชา เวลาไม่เพียงพอได้แค่กวาดตามองอย่างเร่งรีบ ไม่รู้ว่าด้านในมีบันทึกการเปลี่ยนแปลงเวทมนตร์หลังจากไฟนรกเลื่อนขั้นหรือไม่ การโจมตีระยะไกลชนิดนี้ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกว่าน่าสนใจ จึงยืนอยู่ที่เดิมใช้มือสองข้างสลับกันต่อยหมัดน้ำแข็งนรกใส่ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักจ้งเทียนคนนี้อย่างต่อเนื่อง

ไม่รู้ว่าเป็นภาพหลอนหรือไม่ ศิษย์สำนักจ้งเทียนผู้นี้รู้สึกว่าอานุภาพพัดลิ่วเหอของตนเองดูเหมือนจะอ่อนลง เขาฉวยโอกาสช่วงระหว่างที่หมัดน้ำแข็งบินมามองบนพัดลิ่วเหอ พอเห็นก็อดตกตะลึงไม่ได้ ไม่รู้ว่าพัดลิ่วเหอถูกกัดกร่อนเป็นรูจำนวนมากตั้งแต่เมื่อใดดูราวกับถูกแมลงกัดแทะ

ไม่รอให้เขามองดูอย่างละเอียดหมัดน้ำแข็งก็พุ่งเข้ามาอีก เขารีบยกพัดลิ่วเหอขึ้นพัด การพัดครั้งนี้ ปะทะเข้ากับหมัดน้ำแข็งอีก จากนั้นเขาจึงมองเห็นชัดเจน ที่แท้ตอนหมัดน้ำแข็งปะทะจนแตกเป็นชิ้นๆ เศษน้ำแข็งหลายอันกระเด็นไปรอบด้าน มีจำนวนไม่น้อยที่โดนพัดลิ่วเหอ เมื่อเวลาผ่านไปพัดลิ่วเหอก็ถูกเศษน้ำแข็งที่หลอมละลายกลายเป็นไฟนรกเล็กๆ กัดกร่อน ดังนั้นอานุภาพจึงลดลง

พลังสะท้อนกลับของหมัดน้ำแข็งนรกยิ่งมายิ่งมากขึ้นตามอานุภาพของพัดลิ่วเหอที่ลดลง ศิษย์สำนักจ้งเทียนผู้นี้เปลี่ยนจากถอยครั้งละหนึ่งฉื่อเป็นสองฉื่อ เห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนนี้ถืออาวุธเวทแก่นชีวิตทว่ากลับเริ่มยืนหยัดไม่ไหว จินเฟยเหยารู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง

ความประทับใจที่นางมีต่อผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานมีอยู่พักเดียวแล้วผ่านไปดังเดิม ตอนนี้พบว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานไม่ได้เอาชนะยากอย่างที่คิดก็รู้สึกยินดี คิดไม่ถึงว่าตนเองเพิ่งสร้างฐาน การรับรู้ พลังวิญญาณ และอานุภาพของตนเองจะเพิ่มมากขึ้น พลังการบำเพ็ญเพียรหลังสร้างฐานยังไม่เสถียรก็สามารถต้านทานผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่มีอาวุธเวทแก่นชีวิตได้

จินเฟยเหยาย่อมรู้ว่านี่เป็นความชอบของไฟนรก ถ้าตนเองไม่มีไฟนรกตอนนี้คงนอนอยู่บนพื้นไปนานแล้ว ในใจยิ่งมีความเชื่อมั่นในอานุภาพของไฟนรกในวันหน้าอย่างเต็มเปี่ยม ยิ่งต่อยหมัดน้ำแข็งนรกอย่างสุดกำลัง บีบให้ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักจ้งเทียนคนนี้ล่าถอยครั้งแล้วครั้งเล่า

นางฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน แอบปล่อยฟองแสงนรกให้พวกมันซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ ค่อยๆ ลอยไปถึงข้างกายของผู้บำเพ็ญเซียนสำนักจ้งเทียนรอคอยโอกาสเหมาะ

ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักจ้งเทียนถูกหมัดน้ำแข็งบีบคั้นอย่างต่อเนื่อง แลเห็นว่าพัดลิ่วเหอถูกไฟนรกกัดกร่อนก็อดมีเพลิงโทสะแผดเผาไม่ได้ เขาตวาดลั่นพัดลิ่วเหอในมือพลันขยายใหญ่ จะใช้กระบวนท่าอันร้ายกาจจัดการกับจินเฟยเหยา

เห็นพัดลิ่วเหอขยายใหญ่จนมีขนาดเจ็ดฉื่อกว่า ตรงที่ถูกไฟนรกกัดกร่อนยิ่งเห็นได้ชัดเจน ทว่าแสงหกสียังปรากฏอยู่เช่นเดิม ตัวพัดเปล่งแสงหกสีพร้อมกันทำให้คนมองไม่เห็น แสงสีในตัวพัดรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนราวกับพร้อมจะทลายพัดออกมาได้ทุกเมื่อและเคลื่อนไหวเองโดยไร้ลมไปรอบด้าน ปราณวิญญาณระหว่างฟ้าดินได้รับผลกระทบนี้ก็ปั่นป่วนอย่างผิดปกติ

“บรรจบ” โอกาสนี้แหละ จินเฟยเหยาตวาด ฟองแสงนรกที่ซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ลอยออกมาในเวลาเดียวกัน พริบตาก็รวมตัวเป็นฟองแสงขนาดใหญ่ปกคลุมทั่วร่างศิษย์สำนักจ้งเทียนคนนี้ ไม่ยอมให้เขาเอ่ยวาจาไร้สาระ จินเฟยเหยาใช้สองนิ้วจิ้ม ไฟนรกก็ลุกท่วมฟองแสงนรกกลืนกินเขาจนหมดทันที

จินเฟยเหยาใช้การรับรู้หลังสร้างฐาน จึงควบคุมไฟนรกในฟองแสงนรกได้อย่างง่ายดาย ทำให้ไฟนรกหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าและของใช้ของผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้ ครู่หนึ่ง ในไฟนรกก็เหลือเพียงกระเป๋าเก็บของและเสื้อผ้า ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นไม่เหลือแม้แต่ซาก

จินเฟยเหยาเก็บไฟนรกและฟองแสงนรกกลับคืน ใช้มือคว้าสิ่งของของผู้บำเพ็ญเซียนสำนักจ้งเทียนคนนี้ก็ตกอยู่ในมือนาง จินเฟยเหยายังไม่ทันใส่พัดลั่วเหอที่ชิงมาไว้ในมือได้ลงในกระเป๋าเก็บของ พัดก็ทำลายตนเองกลายเป็นควันสีดำเนื่องจากแก่นชีวิตของผู้บำเพ็ญเซียนเสียดับสูญ

จินเฟยเหยาผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็เคยได้ยินมาว่าไม่อาจช่วงชิงอาวุธเวทแก่นชีวิตได้ เจ้านายสิ้นชีพอาวุธเวทแก่นชีวิตจะสลายหายไปเอง ทว่าเห็นพัดลิ่วเหอสลายหายไปกับตา นางยังปวดใจ นางยังไม่เห็นไพ่ตายของอาวุธเวทแก่นชีวิตชิ้นนี้เลย มันก็หายไปเช่นนี้

จินเฟยเหยารีบโยนกระเป๋าเก็บของใส่ในอกอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ใช้ไฟนรกเผาเสื้อผ้ามีราคาทิ้ง เห็นทุกคนกำลังต่อสู้กันอย่างคึกคัก นางจึงปล่อยฟองแสงนรกออกมากลุ่มหนึ่งให้พวกมันแทรกซอนเข้าไปในพุ่มไม้ ไปหาเป้าหมายที่เล็งไว้ด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

ศิษย์สำนักจ้งเทียนแปดคน จินเฟยเหยากำจัดไปหนึ่งคนอย่างงงๆ ส่วนศิษย์สำนักอวิ๋นซานคนอื่นๆ คนหนึ่งกำลังรับมือกับศิษย์สำนักจ้งเทียน สยงเทียนคุนในฐานะที่เป็นศิษย์น้องกลับรับมือศิษย์สำนักจ้งเทียนสองคนตามลำพัง เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงต้นสองคน สยงเทียนคุนรับมือได้อย่างปลอดโปร่งโดยที่หน้าไม่แดงหัวใจไม่เต้น

ระหว่างคนทั้งสาม เห็นเจตนาสังหารรูปดอกจวี๋ฮวากำลังจะชนะ สยงเทียนคุนอยู่กลางดอกจวี๋ฮวาราวกับผีเสื้อหลากสีร่ายรำ ด้านหนึ่งคือสัตว์ปิศาจเมฆขาวในธงเมฆขาว อีกด้านหนึ่งยังรับมือวิหคไฟในจอกสุรา ถึงจะใช้หนึ่งต้านรับสอง ทว่าความแข็งแกร่งก้ำกึ่งกัน กินกันไม่ลง ไม่อาจสังหารอีกฝ่ายในหนึ่งกระบวนท่า

ทุกคนต่อสู้พัวพันกันอุตลุด ผู้บำเพ็ญของสำนักจ้งเทียนไม่ทันสังเกตเห็นว่าจำนวนคนฝั่งตนเองหมดแล้วหรือไม่ ในเวลาที่สำคัญเช่นนี้ แบ่งแยกจิตใจเพียงเล็กน้อยก็อาจจะตายคาที่ได้ จึงไม่มีใครกล้าแบ่งแยกสมาธิไปตรวจสอบ ส่วนจินเฟยเหยาก็คลำทางมาถึงที่ใกล้ๆ สยงเทียนคุนอย่างลับๆ ล่อๆ เขากำลังใช้หนึ่งต้านรับสอง ถ้าแบ่งผู้บำเพ็ญเซียนไปจากเขาสักคนจะทำให้ผู้อื่นขอบคุณนางที่ช่วยเหลือ เมื่อสบช่อง จินเฟยเหยาก็ใช้หมัดน้ำแข็งนรกต่อยผู้บำเพ็ญเซียนที่ถือจอกสุราจนมึนงง ดึงความสนใจของเขา จากนั้นฟองแสงนรกกองใหญ่พลันออกมาจากพุ่มไม้ด้านหลังเขารวมตัวเป็นฟองแสงนรกขนาดใหญ่ปกคลุมเขาไว้

ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักจ้งเทียนยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขั้นก็ถูกจินเฟยเหยาเผาทั้งร่างทั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมไปพร้อมกันจนสิ้นอีกคน

ในขณะนี้เอง สยงเทียนคุนก็สามารถถอนตัวออกมาต้านทานเฮ่าชางที่ถือธงเมฆขาวอย่างสุดกำลังได้ ได้ยินเสียงร้องอนาถ เฮ่าชางถูกสยงเทียนคุนแทง ปราณกระบี่รูปดอกจวี๋ฮวาขนาดห้าจั้งดอกนั้นโอบล้อมเฮ่าชางไว้ ปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนเชือดเฉือนเขาอย่างบ้าคลั่ง ดอกจวี๋ฮวาขนาดห้าจั้งระเบิดออกทันทีตามเสียงร้องอนาถของเขาที่ยุติลง ปราณกระบี่รูปดอกจวี๋ฮวาขนาดเท่าฝ่ามือล่องลอยเต็มท้องนภา

ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักอวิ๋นซานรีบนำวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดออกมาสกัดกั้นอย่างรวดเร็วราวกับพบเห็นจนเคยชิน แล้วโจมตีศิษย์สำนักจ้งเทียนพร้อมกับป้องกันตนเองอย่างสุดกำลัง ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักจ้งเทียนไหนเลยจะเคยพบเห็นการโจมตีตามใจชอบที่ไม่แยกแยะและไม่สนใจศิษย์สำนักเดียวกันมาก่อน หากป้องกันไม่ทันจะถูกปราณกระบี่รูปดอกจวี๋ฮวาทั่วท้องนภาฟันโดนเข้า

“รีบไป!”

ได้ยินทางสำนักจ้งเทียนมีผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง

พริบตา เห็นเงาแสงหลายสายทะลวงปราณกระบี่รูปดอกจวี๋ฮวาทั่วท้องนภาเสี่ยงตายหนีออกไป ตอนดอกจวี๋ฮวาขนาดห้าจั้งระเบิดจินเฟยเหยากำลังคิดจะใช้ฟองแสงนรกก็ถูกสยงเทียนคุนใช้มือดึงมาไว้ในอ้อมอก ยืนอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด

[1] เก็บของดีได้ หมายถึง ซื้อของโบราณล้ำค่าได้ในราคาถูกโดยผู้ขายไม่ทราบ

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset