คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 81 จดจำการสั่งสอนครั้งนี้ไว้ในใจ

ถึงแม้เสียงของศิษย์พี่จะเบา ทว่าไป๋เจี่ยนจู๋ก็ยังได้ยิน เขาพลันรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล เดิมทีคนก็เข้าใจผิดอยู่แล้ว ยามนี้ศิษย์พี่ยังพูดเช่นนี้อีก ยิ่งทำให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่ ยิ่งคิดก็ยิ่งมีโทสะ อยากจะร่ำร้องด่าทอ

“ศิษย์พี่ ท่านพูดจาเหลวไหลอะไร รีบดึงนางออกไป” ไป๋เจี่ยนจู๋มีโทสะจนร้องคำราม จินเฟยเหยาที่อยู่บนร่างของเขากลับส่ายศีรษะ ปากพูดอะไรอู้อี้ ได้ยินไม่ชัด

เห็นเขาร้อนใจ ศิษย์พี่ของไป๋เจี่ยนจู๋ได้แต่ถอนใจยาว เดินแหวกกลุ่มคนเข้ามา เพียงหวังว่าอีกสักครู่ท่าทางจะไม่น่าเกลียดมากนัก

เขาใช้มือดึงแขนของจินเฟยเหยา ทว่ากลับไม่ขยับสักนิด เขารู้สึกว่าแปลกหลาด จึงแผ่พุ่งพลังวิญญาณในมือ แล้วใช้มือแยกคนทั้งสองออกจากกัน พอคนรอบด้านเห็นจึงส่งเสียงฮือฮา อนาถ สตรีผู้นี้อเนจอนาถเกินไปแล้ว

เห็นโลหิตเต็มปากนาง ตลอดร่างถูกกระบี่ฟันเป็นแผล แม้แต่ใบหน้าก็ด้วย เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ยามนี้สองมือยังคว้าคมกระบี่ของไป๋เจี่ยนจู๋ไว้แน่น คมกระบี่บาดลึกลงในฝ่ามือ โลหิตสดไหลออกมาตลอด หลังจากถูกบังคับลากออกมา ไป๋เจี่ยนจู๋จึงดึงกระบี่หมื่นลูกข่างของตนเองอย่างแรง คมกระบี่จึงหลุดจากฝ่ามือของจินเฟยเหยา เห็นบาดแผลบนมือทั้งสองข้างลึกจนเห็นกระดูก อนาถจนทนดูไม่ได้

ไป๋เจี่ยนจู๋นอกจากถูกต่อยจนทั่วร่างฟกช้ำดำเขียว บนไหล่ยังมีแห่งหนึ่งที่มีโลหิตไหลตลอดเวลา คนโง่ก็ยังมองออกว่านั่นเป็นบาดแผลที่ถูกจินเฟยเหยากัด ที่แท้ต่อสู้กันพัวพัน ไม่ใช่กระทำเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผย บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องในหอชิงซวีต่างโล่งอก ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่มุงดูอยู่รอบด้านก็โล่งอกเช่นเดียวกัน

ต้องโทษพวกเขาว่าจินตนาการบรรเจิดเกินไป ตอนพวกเขาสองคนปรากฏตัวก็ได้รับบาดเจ็บทั่วร่างอยู่นานแล้ว  ดวงตาของคนเหล่านี้จับจ้องแค่สิ่งที่อ่อนไหว ทว่ากลับมองข้ามสิ่งที่มองเห็นได้ง่ายและชัดเจนไป ในความเห็นของพวกเขา ไป๋เจี่ยนจู๋ถูกสตรีกดทับไว้น่าสนใจกว่าเรื่องอื่นๆ

เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนของหอชิงซวีมองพินิจจินเฟยเหยา ถึงแม้ท่าทางไม่เหมือนคนชั่วร้าย ทว่าสามารถต่อสู้กับศิษย์น้องไป๋จนกลายเป็นแบบนี้ได้ ต้องไม่ใช่คนดีแน่ ศัตรูของศิษย์น้องไป๋ก็คือศัตรูของหอชิงซวี พอนึกถึงตรงนี้ คนของหอชิงซวีจึงมีไอสังหารผุดขึ้น คิดจะฟาดจินเฟยเหยาให้ตายคาที่ทันที

จินเฟยเหยาดูออกว่าตนเองอยู่ที่ใดนานแล้ว พอรับรู้ได้ถึงความเป็นอริของหอชิงซวี จึงรีบพ่นโลหิตเต็มปากออกแล้วร้องตะโกน “ข้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเฉวียนเซียน พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”

“สำนักเฉวียนเซียน?” ผู้บำเพ็ญเซียนของหอชิงซวีตะลึงงัน เหตุใดศิษย์น้องไป๋จึงสู้กับคนของสำนักเฉวียนเซียนจนกลายเป็นเช่นนี้ได้ ทุกคนล้วนเป็นองค์กรเดียวกัน ถือเป็นครอบครัวเดียวกัน หรือว่านี่คือน้ำไหลเข้าท่วมศาลเจ้าราชันย์มังกร[1]ที่เล่าขานกันมา?

คนของหอชิงซวีเบนสายตาไปมองไป๋เจี่ยนจู๋ คิดจะทำความเข้าใจสาเหตุของเรื่องนี้จากเขาให้ชัดเจน ทว่าไป๋เจี่ยนจู๋กลับยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าปั้นยาก อ้าปากอยู่หลายครั้งก็พูดออกมาไม่ได้ สุดท้ายได้แต่เค้นประโยคหนึ่งรอดไรฟันออกมา “ดูเหมือนจะเป็นคนของสำนักเฉวียนเซียน แต่คล้ายกับไม่มีใครในสำนักเฉวียนเซียนรู้จักนาง คนผู้นี้โกหกหลายเรื่อง เชื่อถือไม่ได้”

“เอ่อ…ลองถามคนของสำนักเฉวียนเซียนดู?” ศิษย์พี่ของไป๋เจี่ยนจู๋ตัดสินใจไม่ได้ ตัดสินใจพาจินเฟยเหยาไปสอบถามคนของสำนักเฉวียนจะดีกว่าเพื่อความสัมพันธ์อันดีของสองสำนัก ทั้งในยามนี้ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนถูกส่งตัวออกมาอย่างต่อเนื่อง กลุ่มของพวกเขายืนอยู่บนแท่นมองฟ้าจะกระทบถึงผู้อื่นอย่างร้ายแรง

ตอนนี้จินเฟยเหยาไม่มีพลังวิญญาณเลยสักนิดปล่อยให้พวกเขาฉุดลากไปยังสถานที่ซึ่งผู้อาวุโสของสำนักเฉวียนเซียนอาศัยอยู่คือตรงมุมหอรอบแท่นมองฟ้าซึ่งอยู่ใกล้กันอย่างยิ่ง และผู้อาวุโสสำนักเฉวียนเซียนที่มาในวันนี้พอดีเป็นหลี่ว์เหนียงเนียง คนที่จินเฟยเหยาคุ้นเคย

หลี่ว์เหนียงเนียงกำลังนั่งอยู่ตรงมุมหออย่างเอ้อระเหย กำลังฟังผู้เยาว์ขั้นสร้างฐานที่ปลอดภัยกลับมาเหล่านั้นรายงานเรื่องหญ้าวิญญาณ ก็ได้ยินด้านนอกมีคนมารายงานว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานของหอชิงซวีขอเข้าพบ

“มาหาข้า? อยู่ว่างๆ พอดี ให้พวกเขาเข้ามาได้” หลี่ว์เหนียงเนียงสงสัยอยู่บ้าง แต่ว่ามีความประทับใจที่ดีต่อคนของหอชิงซวีมาตลอดจึงยอมพบพวกเขา

“อาจารย์ หอชิงซวีหาคนที่มีคุณสมบัติดีมากมายปานนี้มาจากที่ใด สุ่มเลือกออกมาคนหนึ่ง คุณสมบัติก็ไม่ด้อยไปกว่าข้าเลย” อี้จือยืนอยู่ข้างหลี่ว์เหนียงเนียง เอ่ยด้วยรอยยิ้มปริ่ม

หลี่ว์เหนียงเนียงยิ้มพลางเอ่ย “ผู้ใดจะรู้ว่าตาเฒ่ากลุ่มนั้นไปหาศิษย์มาจากที่ใด แต่ละคนล้วนเป็นหัวกะทิที่เลือกออกมาจากหนึ่งในหมื่น อีกทั้งตอนเข้าสำนักอายุเพียงแค่สี่ห้าขวบเท่านั้น ถ้าจะหาคู่บำเพ็ญให้ศิษย์ เจ้าหนูของสำนักชิงซวีเหล่านี้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”

“อาจารย์ หอชิงซวีไม่เหลือบแลสตรีที่มีคุณสมบัติแย่ โดยพื้นฐานล้วนถูกสตรีของหอจิ้งฮวาจับจอง” อี้จื่อยิ้มเอ่ยติดตลก เด็กคนนี้ ไปชอบใครเข้าล่ะ บอกอาจารย์มา ข้าจะไปเจรจาเรื่องแต่งงานให้ถึงหอชิงซวี อาศัยคุณสมบัติของเจ้า คาดว่าตาเฒ่าไม่น่าจะปฏิเสธ” หลี่ว์เหนียงเนียงครุ่นคิดเล็กน้อย พลันเอ่ยกับศิษย์รักราวกับยิ้มและไม่ยิ้ม

“อาจารย์พูดจาเหลวไหล ข้าหักใจไปจากอาจารย์ไม่ได้ ข้าจะไม่แต่งงานอยู่เป็นเพื่อนท่านชั่วชีวิต” ขณะพูดคุยหยอกล้อกัน ศิษย์ของหอชิงซวีก็มา พอหลี่ว์เหนียงเนียงเห็นก็อดประหลาดใจไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าจะฉุดลากสตรีผู้หนึ่งมา

“อาจารย์ สตรีผู้นี้น่าขำยิ่งนัก ราวกับเป็นปลาที่ถูกแหจับปลากักขังไว้ ท่านดูรอยโลหิตเหล่านั้นบนร่างนาง น่าสนใจจริงๆ” พออี้จือมองก็เห็นจินเฟยเหยาในกลุ่มคน แต่จำนางไม่ได้ แค่รู้สึกว่าคนผู้นี้ถูกทุบตีจนกลายเป็นแบบนี้ น่าอเนจอนาถอย่างยิ่ง

ทว่าพอนางเห็นไป๋เจี่ยนจู๋ผู้มีสเน่ห์ก็ตะลึงงันไปในพริบตา นั่นเป็นมะเขือยาว[2]โดยแท้ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนทุบตีไป๋เจี่ยนจู๋จนกลายเป็นเช่นนี้ได้ หรือว่าล่วงเกินผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม?

ในขณะที่นางกำลังสงสัย คนของหอชิงซวีก็เดินมาถึงเบื้องหน้าพวกนาง ไม่รอให้คนของหอชิงซวีคารวะหลี่เหนียงเนียง จินเฟยเหยาก็ชิงคารวะก่อนก้าวหนึ่ง “จินเฟยเหยา ศิษย์สำนักเฉวียนเซียนคารวะหลี่ว์เหนียงเนียง”

“จินเฟยเหยา?” หลี่ว์เหนียงเนียงมองสตรีผู้นี้ นึกไม่ออกว่ายายหนูนี่คือใคร

อี้จือก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด พลันจำได้ว่าจินเฟยเหยาเป็นใคร จึงกระซิบเบาๆ ข้างหูหลี่ว์เหนียงเนียง “อาจารย์ นี่คือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณที่ได้พบกับสำนักมารเมื่อหลายปีก่อน เฟิงผอจื่อแห่งสำนักหลิงคงยังเคยทะเลาะกับท่านเพราะนางเลย”

“ที่แท้เป็นนาง คิดไม่ถึงว่าสร้างฐานแล้ว” ยามนี้หลี่ว์เหนียงเนียงจึงนึกออก ที่แท้คือยายหนูที่ทำให้ตนเองกระอักโลหิตจากนั้นเอ่ยประจบสอพลอแล้วหนีไปคนนั้น

ในเมื่อสร้างฐานแล้ว แต่สำนักเฉวียนเซียนยังไม่ได้รายงาน ท่าทางจะเพิ่งสร้างฐาน ฉวยโอกาสนี้รับไว้ดีกว่าจะได้ไม่ต้องไปแย่งชิงคนกับตาเฒ่าพวกนั้น ดังนั้นนางจึงยิ้มบางๆ เอ่ยถามอย่างเมตตา “จินเฟยเหยา เจ้ามีบาดแผลทั้งตัวเช่นนี้ได้อย่างไร”

เห็นปฏิกิริยาของนาง จินเฟยเหยาก็โล่งอก นางกลัวว่าหลี่ว์เหนียงเนียงจะจำนางไม่ได้ บอกว่าไม่รู้จักนาง จากนั้นไม่เรียกศิษย์ทำธุระมาตรวจสอบก็ไล่นางไป ถึงตอนนั้นก็จะตกอยู่ในมือของหอชิงซวีจริงๆ นางรีบเผยรอยยิ้มให้เห็นเต็มหน้า เอ่ยตอบอย่างยินดี “ขอบคุณหลี่เหนียงเนียงที่ห่วงใย ข้าเพิ่งสร้างฐานได้เพียงหนึ่งเดือน บาดแผลนี้ได้มาจากในดินแดนลึกลับลั่วเซียน บาดแผลเล็กน้อย ไม่เป็นอะไรมาก”

ไป๋เจี่ยนจู๋ที่อยู่ด้านข้างแค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เป็นศิษย์สำนักเฉวียนเซียนจริงๆ จะพาตัวไปทันทีก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว

หลี่ว์เหนียงเนียงพยักหน้า ชมเชยว่า “เจ้านี่ขวัญกล้าจริงๆ เพิ่งสร้างฐานก็กล้าไปดินแดนลึกลับลั่วเซียน เจ้ายินดีเข้าฝึกบำเพ็ญในยอดเขาของข้าหรือไม่”

“ยินยอม ข้ายินยอมแน่นอน อาจารย์อยู่เบื้องบน ศิษย์จินเฟยเหยากราบคารวะอาจารย์” จินเฟยเหยารีบคุกเข่าลง กราบเข้าสำนักของหลี่ว์เหนียงเนียง

“ลุกขึ้นเถอะ นับจากวันนี้ไป เจ้าคือคนของข้าหลี่ว์เหนียงเนียง หลังจากกลับไปข้าจะส่งคนไปรับเจ้าเข้าเกาะทองคำทันที” หลี่ว์เหนียงเนียงอารมณ์ดี ยิ้มตาหยีบอกให้นางลุกขึ้น

จากนั้น นางก็มองบรรดาผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักชิงซวี เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มกว้าง “เหล่าผู้บำเพ็ญเซียนน้อยมาหาข้ามีเรื่องใด? คงมิได้คิดจะมาขอแต่งงานกับศิษย์ของข้าหรอกนะ”

ใบหน้าของไป๋เจี่ยนจู๋เขียวคล้ำ ศิษย์พี่ของเขาจึงเอ่ยปากแทน “ผู้อาวุโส ศิษย์น้องของข้าและศิษย์น้องท่านนี้มีเรื่องผิดใจกันเล็กน้อย ทั้งสองคนต่อสู้กันตั้งแต่ในดินแดนลึกลับลั่วเซียนจนกระทั่งออกมา นางไม่มีป้ายคำสั่งของเกาะทองคำ พวกเราเกรงว่านางจะจงใจหลอกลวง เพื่อชื่อเสียงของสำนักเฉวียนเซียนจึงพานางมาพิสูจน์ความจริง คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องท่านนี้จะเป็นคนของสำนักเฉวียนเซียน เรื่องนี้ขอให้ผู้อาวุโสตัดสินด้วย”

นี่มิใช่น้ำไหลเข้าท่วมศาลเจ้าราชันย์มังกรหรือ? ทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน เหตุใดจึงต้องใส่ใจถึงปานนี้ ความเข้าใจผิดเช่นนี้เป็นเรื่องปกติ ในเมื่อทุกคนบาดเจ็บไม่หนักหนา เรื่องนี้ก็ให้แล้วกันไปเถอะ พวกเจ้าสามารถดื่มสุราขอขมาเป็นการส่วนตัวหรือมอบสิ่งของเล็กน้อยเป็นการชดเชยก็พอ” หลี่ว์เหนียงเนียงยิ้มนิดๆ จัดการเรื่องนี้อย่างยุติธรรม

“นี่…” ศิษย์พี่ของไป๋เจี่ยนจู่ลังเลเล็กน้อย แอบมองไป๋เจี่ยนจู๋แวบหนึ่ง

“ทำไม พวกเจ้าไม่พอใจการตัดสินเช่นนี้? เช่นนั้นข้าขอถามหน่อย พวกเจ้าต่อสู้กันด้วยเหตุใด?” หลี่ว์เหนียงเนียงเงยหน้าขึ้นเอ่ยถามอย่างชืดชา

“ถามเจ้าแน่ะ” ศิษย์พี่ของไปเจี่ยนจู๋ใช้ข้อศอกผลักไป๋เจี่ยนจู๋ ให้เขาออกมาพูด ขอเพียงอีกฝ่ายผิด ต่อให้ถูกหลี่ว์เหนียงเนียงรับไว้เป็นศิษย์ เพื่อความสัมพันธ์ของสำนักเฉวียนเซียนและสำนักชิงซวี และหน้าตาของสำนักเฉวียนเซียน ก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเข้าข้างศิษย์ที่เพิ่งรับเข้าสู่ยอดเขา

ไป๋เจี่ยนจู๋ครุ่นคิดไปมา ลังเลอยู่หลายครั้ง สุดท้ายถอนใจยาว ก้มหน้าผลักภาระให้จินเฟยเหยา “ผู้อาวุโส เรื่องนี้ข้าพูดอกมาไม่ได้จริงๆ ท่านถามนางเถอะ”

“หืม?” หลี่ว์เหนียงเนียงมองเขาอย่างไม่พอใจ ข้าถามเจ้า เจ้าถึงกับกล้าทำเช่นนี้

เห็นสีหน้าไม่พอใจของนาง จินเฟยเหยารีบก้าวมาข้างหน้า เอ่ยอย่างเคารพ “อาจารย์ เรื่องนี้โทษศิษย์พี่ไป๋ไม่ได้ ตอนนั้นข้าร่อนเร่อยู่ในดินแดนลึกลับลั่วเซียน บังเอิญพบผู้บำเพ็ญเซียนสองกลุ่มต่อสู้กัน นึกถึงตนเองเพิ่งสร้างฐาน ทั้งยากจนทั้งมอมแมม ข้าจึงขโมยกระเป๋าเก็บของของคนผู้หนึ่งไป บังเอิญศิษย์พี่ไป๋ผ่านมา เห็นข้าทำเรื่องฉวยโอกาสขโมยของของผู้อื่น ก็คิดจะขัดขวางข้า จากนั้นพูดจาไม่ถูกหู พวกเราจึงต่อสู้กัน”

“ตอนนี้พอคิดดูแล้ว การกระทำของข้าไม่สมควรจริงๆ กระเป๋าเก็บของใบนั้นก็ร่วงหายในขณะต่อสู้ อาจารย์ ข้าไม่อยากให้สำนักเฉวียนเซียนขายหน้า เพียงแต่ตอนนั้นข้าโลภจนเลอะเลือนไปชั่วขณะจึงทำเรื่องน่าชังแบบนั้น ศิษย์พี่ไป๋กระทำถูกต้อง หวังว่าอาจารย์อย่าได้โทษศิษย์พี่ไป๋ เป็นความผิดของศิษย์เอง ไม่มีป้ายคำสั่งของเกาะทองคำจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างเสียใจอย่างสุดซึ้ง มีท่าทางกลับตัวเป็นคนดีและสำนึกเสียใจเมื่อสายไป

“ที่แท้เรื่องเป็นเช่นนี้ แค่เข้าใจผิดกันเล็กน้อย จินเฟยเหยาเจ้าต้องจำไว้ ศิษย์พี่ไป๋คิดอ่านเพื่อเจ้าจึงได้ลงมือสั่งสอนเจ้า เจ้าห้ามคิดแค้นใจ” หลี่ว์เหนียงเนียงไม่สนใจว่านางพูดจริงหรือเท็จ อย่างไรเสียให้ดูเหมือนจริงก็พอ คร้านจะเอาเรื่องต่อ

“ค่ะ อาจารย์” จินเฟยเหยาหมุนตัวมาโค้งกายให้ไป๋เจี่ยนจู๋ เอ่ยอย่างจริงใจ “ขอบคุณศิษย์พี่ไป๋ที่สั่งสอน ศิษย์น้องจะจดจำไว้ในใจ”

ส่วนไป๋เจี่ยนจู๋เดือดดาลจนควันออกหูเพราะคำพูดเหลวไหลของนาง พอนางขอบคุณ เบื้องหน้าก็มืดมิดร่างโอนเอน

เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ หลี่ว์เหนียงเนียงรีบเอ่ยว่า “บาดเจ็บถึงขนาดนี้แล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”

คนของสำนักชิงซวีได้แต่พยุงไป๋เจี่ยนจู๋กล่าวอำลาหลี่ว์เหนียงเนียง ส่วนจินเฟยเหยาถูกหลี่ว์เหนียงเนียงไล่กลับไป นางจึงตามไปส่งพวกไป๋เจี่ยนจู๋จนถึงประตู

[1] น้ำไหลเข้าท่วมศาลเจ้าราชันย์มังกร หมายถึง คนกันเองเกิดความเข้าใจผิดเพราะไม่รู้จักกัน

[2] มะเขือยาว มีสีเขียวและม่วงเหมือนรอยฟกช้ำ

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset