“สหายเซียนหวา ตอนนี้ข้าย้ายมาอยู่บนเกาะทองคำแล้ว ต่อไปถ้าจะมาหาข้าก็ส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงมาที่นี่ มีเวลาว่างเจ้าก็มาเกาะทองคำบ้าง ข้าจะพาเจ้าไปดูให้ทั่ว ที่นี่ต้องเหนือกว่าที่เจ้าเคยคาดคิดแน่” จินเฟยเหยาทิ้งคำพูดไว้ในยันต์ถ่ายทอดเสียง แล้วส่งยันต์ถ่ายทอดเสียงไปให้หวาซี
ขุดถ้ำเซียนเสร็จ โต๊ะศิลาเก้าอี้ศิลาก็ใช้ศิลาทำเสร็จ ต่อไปต้องใช้สิ่งของใดก็ค่อยไปซื้อหา นางไล่พั่งจื่อให้ออกไปซ่อมแท่นราบตรงประตูถ้ำเซียน ทว่าพั่งจื่อกลับทำงานอย่างซังกะตาย แท่นราบทั้งอัปลักษณ์ทั้งย่ำแย่ ทั้งยังทำครึ่งวันหยุดครึ่งวัน พอมีผู้บำเพ็ญเซียนผ่านมา มันก็นั่งอยู่บนแท่นราบทอดถอนใจแสร้งทำท่าน่าสงสาร น่าเสียดายที่สามวันมานี้มีผู้บำเพ็ญเซียนผ่านมาเพียงคนเดียว สิ้นเปลืองความคิดของมันไปเปล่าๆ
“พั่งจื่อ เจ้าเสแสร้งให้มันน้อยๆ หน่อย ลองเงยหน้ามองชื่อถ้ำเซียนด้านบน เห็นชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ นั่นเป็นจวนกบ ดังนั้นเจ้านั่งอยู่หน้าประตูแบบนี้ คนอื่นจะนึกว่าเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่กินยันต์เปลี่ยนร่าง เห็นเจ้าเป็นตัวตลก เจ้านึกว่าพวกเขาจะสงสารหรือ อีกอย่าง เจ้าก็เคยเห็นมาแล้วคนหนึ่ง” จินเฟยเหยาพิงประตูถ้ำ มือถือถ้วยหยกหลิงหลงดื่มน้ำเหมย[1]เปรี้ยวที่ใช้น้ำแข็งไฟนรกแช่เย็นอึกหนึ่งแล้วจุปากเอ่ยยิ้มๆ
พั่งจื่อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ชี้ไปยังแสงแดดที่แผดเผาเหนือศีรษะอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “อ๊บๆ”
“เจ้าว่าอะไรนะ ร้อน? ร้อนอะไร เหตุใดข้าจึงไม่รู้สึกร้อนเลยสักนิด เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เป็นแสงสีทองวิบวับด้านบน เจ้าเพิ่งรู้สึกร้อน ที่จริงไม่ร้อนเลย เจ้ารีบซ่อมที่นี่ให้เสร็จเถอะ อีกสักครู่ข้าจะพาพวกเจ้าออกไปเดินเล่น มาที่นี่หลายวันแล้วยังไม่ได้ออกไปดูเลย อากาศแบบนี้ ดื่มน้ำเหมยเปรี้ยวแช่เย็นหน่อยสบายจริงๆ” จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมองแสงแดดแผดเผาเสียดแทงนัยน์ตาเหนือศีรษะ แสงอาทิตย์หลายวันนี้ดูเหมือนจะแรงไปนิดจริงๆ นางเลือกถ้ำเซียนผิดหรือไม่ วันหนึ่งเวลาส่วนมากล้วนถูกแสงแดดสาดส่อง มิน่าเล่าถ้ำรอบด้านล้วนว่างเปล่าไม่มีคนอาศัย
ได้ยินว่าจะออกไปเที่ยว พั่งจื่อส่งเสียงร้องอ๊บด้านหลังจินเฟยเหยา ต้านิวซึ่งถือชามใหญ่ดื่มน้ำเหมยเปรี้ยวปรากฏตัวขึ้น มันดื่มน้ำเหมยเปรี้ยวมองพั่งจื่ออย่างว่างเปล่า ไม่รู้ว่าพั่งจื่อเรียกมันมามีธุระอะไร ส่วนพั่งจื่อเห็นต้านิวกำลังดื่มน้ำเหมยเปรี้ยวก็ตะลึงงัน พลันมีโทสะ โยนค้อนที่ก่อสร้างในมือลงบนแท่นราบทันที ได้ยินเสียงเคร้ง แท่นราบที่กำลังจะเสร็จถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง ตัวมันเอียงกะเท่เร่แล้วร่วงลงจากแท่นราบ
“อ๊บ…” พั่งจื่อร้องลั่นอย่างโศกเศร้า ร่วงหล่นลงไป
“งี่เง่า” จินเฟยเหยารีบโยนถ้วยหยกหลิงลงในมือทิ้งทันที กระโดดลงไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบโยนพรมบินออกมา พรมบินได้บินอย่างรวดเร็วพุ่งเข้าไปหาพั่งจื่อและรับพั่งจื่อที่ตกลงมาได้ จากนั้นก็รีบบินกลับมารับจินเฟยเหยา
“ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเจ้าจริงๆ แท่นราบที่ซ่อมแซมอย่างยากลำบากพังเสียหายไปครึ่งหนึ่ง กลับไปเจ้าไม่ต้องทำแล้ว ทำงานนิดหน่อยเจ้าก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม น้ำเหมยเปรี้ยวส่วนของเจ้านั้นเตรียมไว้นานแล้ว ต้านิวแค่ดื่มไม่กี่อึก เจ้าก็อิจฉาจนกลายเป็นเช่นนี้ ไม่รู้สึกขายหน้าบ้างหรือ” จินเฟยเหยามองพั่งจื่อที่เสียใจจนมองเมินพลางเอ่ยยิ้มๆ
พั่งจื่อก้มหน้าไม่พูดจา จินเฟยเหยานึกว่ามันคิดได้ปรุโปร่งแล้ว คงไม่ก่อเรื่องอีก กลับคิดไม่ถึงว่ามันจะเงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน ส่งเสียงออกมาว่า “เชอะ”
จินเฟยเหยามองมันอย่างตกตะลึง สงสัยว่าตนเองหูฝาดไป คิดไม่ถึงว่าพั่งจื่อไม่ร้องอ๊บแล้ว แต่พูดภาษาคน หลังจากนางตกตะลึงก็เปลี่ยนเป็นยินดี สัตว์ภูติที่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ ไม่น่าเชื่อ นั่นเป็นของล้ำค่า นางใช้มือฉุดดึงพั่งจื่อ เรียกอย่างดีอกดีใจ “เร็ว พูดอีกหลายๆ ประโยค เจ้ารีบพูดสิ”
พั่งจื่อมองจินเฟยเหยาที่ตื่นเต้นเหลือแสน ยิ้มอย่างดูแคลน อ้าปากพูดเหมือนที่นางปรารถนา “อ๊บๆ”
“เจ้าตัวโง่งม” จินเฟยเหยาคลายมือ หลังด่าทอประโยคหนึ่งก็หมุนตัวไปไม่สนใจมันอีก พั่งจื่อกลับร้องอ๊บๆ แสดงความไม่พอใจ มันไม่ใช่ตัวโง่งม ทว่าเป็นกบเทพที่หาได้ยากตัวหนึ่ง จินเฟยเหยาปล่อยให้มันอาละวาดไป คร้านจะสนใจมัน
กลับถึงถ้ำเซียน ต้านิวส่งน้ำเหมยเปรี้ยวอ่างใหญ่ให้พั่งจื่อ ทำให้มันตกตะลึงและหายโกรธ การที่ต้านิวดีกับมัน มันไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาและไม่รู้สึกขอบคุณเลยสักนิด รู้สึกแค่เช่นนี้จึงสมควรแล้ว
รอจนพั่งจื่ออารมณ์ดีขึ้น จินเฟยเหยาก็ซ่อมแท่นราบที่เสียหายได้กว่าครึ่ง ลองใช้เท้าเหยียบดูก็ถือว่าแข็งแรงดี ขอเพียงไม่ออกแรงทุบสิ่งของบนนั้น น่าจะไม่มีปัญหามากนัก แต่มีแห่งหนึ่งทะลุเป็นรูขนาดใหญ่ ต้องหาสิ่งของมาซ่อม
“ข้าจะออกไปข้างนอก พวกเจ้าสองตัวดื่มพอแล้วหรือไม่ ถ้าอย่างไรพวกเจ้าดื่มต่ออยู่ในถ้ำเซียนก็ได้ ข้าจะออกไปเที่ยวเอง” จินเฟยเหยาล้างมือ เอ่ยถามพวกมันสองตัว
“อ๊บๆ” พั่งจื่อยืนขึ้นอย่างวางมาด บ่งบอกว่าข้าจะไป ข้าจะฝืนใจไปเป็นเพื่อนเจ้าสักรอบ
จินเฟยเหยาแอบยิ้ม เจ้านี่เป็นแบบนี้เสมอ มักจะแสร้งทำท่าทางฉลาดเฉลียว ที่จริงยังเป็นเด็กน้อยที่ไม่เชื่อฟัง “ก็ได้ พวกเจ้าสองตัวรีบหน่อย”
พั่งจื่อนำต้านิวนั่งบนพรมบิน จินเฟยเหยาขับเคลื่อนให้บินขึ้นเหนือตำหนักสีทอง หาสถานที่แห่งหนึ่งหยุดลง ครุ่นคิด อย่างไรเสียตำหนักสีทองเหล่านี้ก็สร้างขึ้นล้อมรอบ ขอเพียงเดินไปตามตำหนักรอบหนึ่งก็สามารถเดินทั่วทุกแห่ง จึงสุ่มเลือกทิศทางหนึ่ง นำร่มดอกไม้ออกมาบดบังแสงอาทิตย์อันร้อนแรง พาพวกมันสองตัวเดินเอ้อระเหยไปตามถนนหลักที่เป็นหินหยก
สำนักเฉวียนเซียนถือว่ามีจำนวนคนมากในบรรดาสำนักทั่วไป ดูได้จากที่อยู่อาศัยของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณในเมืองลั่วเซียน ทุกวันตรงประตูใหญ่ของที่พักอาศัยล้วนมีคนไปมาอย่างคึกคัก มีจำนวนคนมากมายนับไม่ถ้วน
ทว่าหลังจากมาถึงเกาะทองคำ กลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง บางครั้งวันหนึ่งยังไม่เห็นเงาใครสักคน ได้ยินว่าในสำนักเฉวียนเซียนมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานมากที่สุด เหตุใดจึงไม่เห็นเงาใครสักคน ต่อให้อาศัยอยู่ในถ้ำศิลาในหลุมยักษ์ ทว่าก็ไม่ใช่มด ขนาดมดยังออกมาหาอาหารเลย
จินเฟยเหยาที่เพิ่งสร้างฐานพกพาความสงสัยเต็มอกมาถึงหน้าลานกว้างแห่งหนึ่ง ตรงกลางลานกว้างมีสระน้ำเล็กๆ ในสระปลูกดอกบัวขอบทอง เป็นสีเขียวซึ่งหาได้ยากยิ่งในเกาะทองคำ ในลานกว้างไม่มีใครสักคน มีเพียงนกไม่กี่ตัวกำลังกินน้ำอยู่ริมสระอย่างเบื่อหน่าย
จินเฟยเหยาก็นั่งอยู่ริมสระอย่างเบื่อหน่าย ถือร่มดอกไม้บดบังแสงอาทิตย์อันร้อนแรง ส่วนพั่งจื่อและต้านิวร้อนจนแห้งเหี่ยว
“ทนไม่ไหวแล้ว พวกเรากลับ รอดวงอาทิตย์ลับภูเขาแล้วค่อยมาอีกที น่าแปลก สูงกว่าเมืองลั่วเซียนเพียงนิดเดียวเท่านั้น เหตุใดจึงร้อนเช่นนี้ ข้าว่าเกาะอื่นๆ ก็เย็นสบายดีนะ” ออกมาครึ่งชั่วยามยังเดินได้ไม่ทั่ว นางก็ด่าอย่างสาดเสียเทเสียแล้วกลับไป
พอกลับมาถึงถ้ำเซียน พริบตาก็รู้สึกว่าตลอดร่างเย็นสบาย นางพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างว่าเพราะเหตุใดด้านนอกจึงมองไม่เห็นใคร
รอจนมืดค่ำ หลังจากเข้าสู่ราตรีกาล หินแสงราตรีน้อยใหญ่บนเกาะทองคำก็สว่างขึ้น ภายนอกเปลี่ยนเป็นเย็นสบาย ตอนนางพาพวกพั่งจื่อออกมาอีกครั้ง จึงค้นพบอย่างตกตะลึง เหนือตำหนักสีทองมีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนมากกำลังขี่อาวุธเวทเหินบิน ทั้งหมดบินไปยังลานกว้างที่นางเคยไปตอนกลางวัน
จินเฟยเหยาติดตามผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นไปอย่างฉงน บินไปยังทิศทางนั้นด้วย พอเข้าใกล้จึงเห็นว่าบนลานกว้างมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานจำนวนมากมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น คนมากมายปูผืนผ้าหรือหนังสัตว์บนพื้น นั่งอยู่ด้านหลังตั้งแผงขายของแบกะดิน เห็นได้ชัดว่ากลายเป็นตลาดกลางคืนแห่งหนึ่ง
ทั้งยังมีผู้บำเพ็ญเซียนของเกาะอื่นๆ บินมาที่นี่ด้วย ขนาดผู้ตรวจสอบยังไม่มี เข้ามาในเกาะทองคำได้อย่างสะดวกสบาย จินเฟยเหยาเห็นสภาพเช่นนี้ อดนึกถึงคำพูดของไป๋เจี่ยนจู๋ไม่ได้ มิน่าเขาจึงบอกว่าตนเองสามารถเข้าเกาะทองคำได้ทุกเมื่อ ไม่มีคนดูแลและไม่มีการรับรองความปลอดภัยเลยสักนิด นางยืนอยู่บนลานกว้างมองลงไป พริบตาก็เห็นได้ว่าตนเองไม่ได้ติดศิลาแสงราตรี ตรงปากถ้ำเซียนมืดมิด
ไม่ได้ ข้าต้องซื้ออาวุธเวทดีๆ คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ถ้าเอาอ่างมายาจิ่งเทียนไป ข้าจะไปร้องทุกข์กับใคร ในสมองจินเฟยเหยาเกิดความคิดนี้ขึ้นมาทันที รู้สึกว่าสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเซียนต้องร่ำเรียนมีมากมายจริงๆ จะเรียนทั้งหมดคงต้องใช้เวลาหลายร้อยปี
นึกได้ว่าทั้งหมดเป็นแผงแบกะดินของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน อาจจะเอาเปรียบซื้ออาวุธเวทได้ในราคาถูก นางนำพวกพั่งจื่อสองตัวไปดูหน้าแผง ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเหล่านี้แค่ขายของที่ไม่ได้ใช้ ดังนั้นบนแผงล้วนมีสิ่งของทุกอย่างกองยุ่งเหยิง บางอย่างนางก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ศิษย์น้องจิน” ขณะที่จินเฟยเหยาหาอยู่นานก็ยังหาอาวุธเวทที่เหมาะสมไม่พบ ก็ได้ยินคนเรียกนางจากในฝูงชน
จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นไกลๆ มีบุรุษสวมชุดสีขาวท่วงท่าไม่ธรรมดาคนหนึ่ง ที่แท้เป็นศิษย์พี่เฟิงแห่งหอชิงซวีกำลังตั้งแผงอยู่ไม่ไกลกำลังมองนางด้วยรอยยิ้ม นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าไป๋เจี่ยนจู๋น่าจะไม่พูดเรื่องจริงออกมาจึงทำใจกล้าเดินเข้าไปหาอย่างใจกว้าง
“ศิษย์พี่เฟิง เจ้าก็มาขายของที่นี่ด้วย?” จินเฟยเหยาทักทายด้วยรอยยิ้ม
ศิษย์พี่เฟิงหัวเราะอย่างแจ่มใสพลางเอ่ย “ท่าทางอาการบาดเจ็บของศิษย์น้องจินจะดีขึ้นมาก เมื่อใดจะไปเที่ยวที่หอชิงซวีของพวกเราบ้าง ศิษย์น้องไป๋รู้สึกผิดที่ทำร้ายเจ้าบาดเจ็บ วันวันคิดแต่จะมาพบเจ้า แต่เขาถูกอาจารย์กักบริเวณ ออกมาไม่ได้ชั่วคราว”
อยากจะเจอข้าอะไร อยากจะมาฆ่าข้ามากกว่า จินเฟยเหยาเย้ยหยันในใจ ใบหน้ากลับยิ้มแย้มเอ่ยถาม “ศิษย์พี่ไป๋ไม่เป็นไรนะ ข้าเห็นวันนั้นพวกเจ้าฉุดลากเขาไปอย่างดุร้าย”
“ไม่เป็นไร ก่อนหน้านี้พวกเรานึกว่าเขาถูกคนชิงร่าง ดังนั้นจึงมัดตัวพากลับไปให้อาจารย์ดู ต่อมาอาจารย์ตรวจสอบแล้ว เขาไม่ได้ถูกคนชิงร่าง แต่ก่อนหน้านี้การกระทำของเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก เดาว่าคงถูกเวทมายาชั้นสูงในดินแดนลึกลับลั่วเซียนไม่รู้ว่าผู้ใดลงมือ จึงทำให้ศิษย์น้องไป๋กลายเป็นเช่นนี้ แต่ผ่านการฟื้นฟูหลายวัน เขาดีขึ้นมาแล้ว เพียงแต่อาจารย์เป็นห่วงว่าเวทมายายังมีผลอยู่ ดังนั้นจึงห้ามไม่ให้เขาออกมาชั่วคราว” ศิษย์พี่เฟิงนึกว่าจินเฟยเหยาเป็นห่วงสภาพของศิษย์น้องไป๋จึงอธิบายให้นางฟัง เพื่อให้นางวางใจ
จินเฟยเหยาไม่ได้เป็นห่วงเขา ได้ยินว่าเขาออกมาไม่ได้ชั่วคราว นางก็โล่งอก ฉวยโอกาสที่เขายังถูกขังอยู่ซื้ออาวุธเวทที่ร้ายกาจจึงเป็นเรื่องสำคัญ อย่างไรก็ต้องสกัดเขาไว้ด้านนอก
นางก้มหน้าลงมองแผงของศิษย์พี่เฟิง เห็นบนแผงมีงานฝีมืออันยอดเยี่ยมซึ่งใส่ศิลาวิญญาณสิบกว่าชิ้นวางอยู่ นางอดเอ่ยถามอย่างสงสัยนิดๆ ไม่ได้ “ศิษย์พี่เฟิง สิ่งที่ท่านขายคืออะไร?”
“เป็นวงเวทที่ข้าทำขึ้นเอง ศิษย์น้องจินสนใจหรือ? ถ้าเจ้าต้องการข้าจะขายให้ถูกๆ ขายแค่ราคาทุนก็พอ” ศิษย์พี่เฟิงดวงตาเป็นประกายรีบเอ่ยแนะนำจินเฟยเหยา เห็นท่าทางกระตือรือร้นของเขา ต้องไม่มีคนซื้อมาตลอดแน่เลย
[1] เหมย คือ บ๊วย