คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 103 ถูกผิดไม่ชัดแจ้ง

คนผู้นั้นบินเร็วอย่างยิ่ง ระยะห่างยิ่งใกล้เข้ามาทุกที ยืนอยู่บนลวี่โจวสามารถมองเห็นแสงสีขาวสายหนึ่งได้ไกลๆ และพุ่งมาด้วยความเร็วสูงสุด

“เอ๋?” เห็นทิศทางของคนผู้นั้นกำลังลงมาทางนาง แต่ความเร็วกลับไม่ลดลงเลยสักนิด จินเฟยเหยาอดตะลึงไม่ได้ นี่คือสูญเสียการควบคุม เห็นคนพุ่งมาจินเฟยเหยาก็รีบกระโดดหลบไปด้านข้าง คนบินผ่านทะเลทรายพุ่งปักเข้าไปในทะเลสาบอย่างแรงทันที

จินเฟยเหยายืนกอดอกอยู่ริมฝั่ง มองในทะเลสาบอย่างสงสัย กำลังใคร่ครวญว่าจะลงน้ำไปลากคนออกมาดีหรือไม่ ก็เห็นน้ำกระเพื่อม คนผู้หนึ่งพุ่งออกมาจากในทะเลสาบบินร่อนลงริมฝั่ง

คนผู้นี้สวมชุดกระโปรงยาวอันงดงาม ยามนี้เปียกปอนจนแนบติดร่าง ผมดำขลับแผ่กระจาย กำลังไออย่างรุนแรงอยู่ริมฝั่ง ไม่รู้ว่าเพราะอาการบาดเจ็บกำเริบหรือตกลงในทะเลสาบจนสำลักน้ำ

ที่แท้เป็นสตรี ดูจากด้านหลังเหมือนจะเป็นผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่งดงามอย่างยิ่ง พลังการบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานช่วงปลาย ลักษณะกระเซอะกระเซิงนั่น น่าจะเป็นคนที่หนีออกมาจากศิลารองรับฟ้า จินเฟยเหยาเอียงศีรษะมองพินิจอย่างสงสัย รอจนสตรีผู้นี้ได้สติคืนมา ก็เห็นนางหันหน้ามาอย่างกะทันหัน ตะโกนใส่จินเฟยเหยาอย่างเย่อหยิ่ง “บนตัวเจ้ามียาหรือไม่? เอาออกมาให้หมด”

“ชิ เจ้าจะปล้นหรือ” จินเฟยเหยารู้สึกว่าน่าขำอย่างยิ่ง คิดว่าตนเองเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่หรือ พอมองดูอย่างละเอียด กลับพบว่าคนผู้นี้ดูคุ้นตาเป็นพิเศษ จึงเบิกตากว้างมองพินิจนางอย่างเต็มที่ ส่วนสตรีผู้นั้นก็มองจินเฟยเหยาอย่างถี่ถ้วน ขมวดคิ้ว รู้สึกว่านางคุ้นตาอยู่บ้าง

“อา เป็นเจ้า!” ทั้งสองคนจดจำอีกฝ่ายได้ในเวลาเดียวกัน ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ จินเฟยเหยามีสีหน้าสะอิดสะเอียน ทว่าสตรีผู้นั้นกลับมีโทสะพวยพุ่ง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันราวกับคิดจะกินคน

นี่คืออะไร คิดไม่ถึงว่าท่านแม่ของสยงเทียนคุนจะแล่นเข้ามาอยู่ในมือนาง ไม่พบกันหลายปีรูปโฉมนางปิศาจเฒ่ากลับไม่แก่ชรา ยังมีลักษณะเหมือนตอนนั้น ถ้าออกไปกับสยงเทียนคุน แล้วไม่บอกทุกคนให้ชัดเจน ผู้อื่นยังนึกว่านางเป็นพี่สาว เห็นนาง จินเฟยเหยาก็นึกถึงเรื่องในตอนนั้น ในใจมีความไม่พอใจยิ่งกว่าฮูหยินสยง

นางยังกอดอกดังเดิม เอียงศีรษะเอ่ยถาม “เจ้าหนีออกมาจากศิลารองรับฟ้าสินะ ทำไมมีแค่เจ้าคนเดียว บุตรชายของเจ้าล่ะ?”

ฮูหยินสยงที่เดิมทีมองนางด้วยสายตาเดือดดาลได้ยินคำพูดนี้ พลันมีสีหน้าประหลาดอยู่บ้าง นางคอตก มองน้ำในทะเลสาบอย่างเหม่อลอย หลบเลี่ยงคำถามของจินเฟยเหยา

จินเฟยเหยารู้สึกไม่ถูกต้อง เห็นท่าทางของนาง หรือว่าสยงเทียนคุนตายแล้ว?

“เพราะเหตุใดเจ้าจึงไม่พูด หรือว่าสยงเทียนคุนตายแล้ว?” จินเฟยเหยาร้อนใจ รีบเอ่ยเสียงเข้ม

สยงฮูหยินเงยหน้าทันควัน คำรามลั่นใส่นางด้วยใบหน้าดุร้าย “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร บุตรชายข้ายังไม่ตาย”

“แล้วเจ้าแสดงสีหน้าเหมือนบุตรชายตายออกมาทำไม ทำเรื่องผิดมโนธรรมอะไรอีกใช่หรือไม่ ฮึ” จินเฟยเหยาแอบโล่งอก แต่ปากยังจิกกัด

สองมือของสยงฮูหยินกำหญ้าแน่น จ้องมองนางอย่างเดือดดาล แทบจะเค้นคำด่าลอดไรฟันออกมา “เจ้าถึงกับกล้าด่าว่าข้า”

จินเฟยเหยาหัวเราะพลางถามอย่างสงสัย “ทำไมข้าจะด่าเจ้าไม่ได้ เจ้านึกว่าข้ายังเป็นเด็กน้อยขั้นฝึกปราณช่วงต้นในตอนนั้นอยู่หรือ? เจ้าเชื่อหรือไม่ ด้วยสภาพพลังวิญญาณแห้งขอดและได้รับบาดเจ็บหนักของเจ้า ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้อย่างง่ายดาย ข้าจะถามอีกครั้ง ตอนนี้สยงเทียนคุนเป็นอย่างไรกันแน่?”

ฮูหยินสยงได้ยินนางเย้ยหยันอย่างไม่เกรงใจ ในสมองคิดแค่อยากจะฆ่านางทันที ทว่าสภาพของตนเองย่ำแย่จริงๆ เกรงว่าถ้าต่อสู้ตนเองจะไม่ได้เปรียบ นางจึงสะกดความเดือดดาล ในเมื่อเด็กหญิงคนนี้เป็นสหายสนิทกับคุนเอ๋อร์ เช่นนั้นข้าจะพูดดีๆ หลอกนางสักหลายประโยค ฉวยโอกาสตอนที่นางคลายความระวังป้องกันสังหารนางทิ้งเสีย ขอเพียงมีของวิเศษ ยา และศิลาวิญญาณ ตนเองก็สามารถกลับไปถึงสำนักอวิ๋นซานอย่างรวดเร็วได้

นางยังไม่รู้ว่าสำนักอวิ๋นซานในยามนี้เปลี่ยนมือแล้ว บรรดาผู้อาวุโสส่วนมากถูกสังหาร ศิษย์ในสำนักก็อยู่ในความควบคุมของคนโลกเซียวไท่ ยังฝันเฟื่องว่าจะกลับไปสำนัก จากนั้นร่วมมือกับสำนักอื่นๆ ปราบหอซวีชิง

เพื่อประจบเอาใจจินเฟยเหยา และผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดระหว่างคนทั้งสอง น้ำเสียงของนางจึงอ่อนลงมาก เอ่ยถึงที่อยู่ของสยงเทียนคุน ฮูหยินสยงอยู่นอกศิลารองรับฟ้า ไม่รู้ว่าด้านในเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลยสักนิด ยังร่ำไห้อาละวาดในเรือเหาะของสำนักอวิ๋นซานและนำศิษย์มาระบายโทสะเพราะการดับสูญของสามีตนเอง นางไม่มีความคิดจะไปดูความผิดปกติของศิลารองรับฟ้าสักนิด

ปกติถึงวันท้ายๆ ล้วนมีผู้บำเพ็ญเซียนของทั้งสองโลกหาวงเวทส่งตัวพบและออกมาจากด้านในได้ แต่ครั้งนี้จนถึงวันสุดท้าย ก็ยังไม่เห็นมีผู้บำเพ็ญเซียนออกมาจากด้านใน

ก่อนนางมา ผู้อาวุโสในสำนักเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับนาง ทว่าฮูหยินสยงไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด กลับเป็นผู้อาวุโสของสำนักอื่นๆ รู้สึกว่าเรื่องนี้ดูเหมือนมีความผิดปกติ จึงไปถามคนของตำหนักลั่วเซียนก่อน ทว่าตำหนักลั่วเซียนก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ของตำหนักลั่วเซียนและสำนักใหญ่ล้วนไม่รีบร้อน พวกเขาจึงได้แต่กลับไปรอคอยต่อ

ในขณะที่ทุกคนกำลังมองศิลารองรับฟ้าอย่างกระวนกระวายใจ ในที่สุดก็เห็นวงเวทส่งตัวที่มีลวดลายอันซับซ้อนและพื้นที่กว้างขวางปรากฏขึ้นบนศิลา ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่ยังประมือกันกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางวงเวท ไม่รอให้บรรดาผู้อาวุโสของโลกหนานซานมีปฏิกิริยา รอบศิลารองรับฟ้าพลันเปล่งแสงสีทองสว่างเจิดจ้า วงเวทขนาดยักษ์สุดเปรียบปานอันหนึ่งปรากฏออกมาจากทรายด้านล่าง ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งหมดถูกกักขังไว้ในการป้องกัน

ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานที่ปรากฏตัวขึ้นในวงเวทก็หนีมาหาผู้อาวุโสและอาจารย์ทางด้านนี้ และพาข่าวใหญ่สะท้านฟ้ามาด้วย หอซวีชิงทรยศโลกหนานซาน ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง หอเฟยเทียน สำนักเฉวียนเซียน ยังมีสำนักชางหลุนซึ่งเป็นหนึ่งในห้าตำหนัก ล้วนมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมชั้นผู้อาวุโสพลันลงมือกับคนข้างตัวอย่างกะทันหัน

ห้าตำหนักลั่วเซียน มีเพียงคนของหอจิ้งฮวาที่ไม่มีผู้ใดทรยศโลกหนานซาน ทว่าสำนักที่มีแต่สตรีเช่นนี้ ก็เลือกที่จะปกป้องตนเองอย่างชาญฉลาด แสดงออก ณ ที่นั้นว่าขอเพียงไม่ทำร้ายศิษย์และเกาะลอยได้ของพวกนาง พวกนางจะไม่ช่วยใครในเรื่องนี้ ยินดีรักษาความเป็นกลาง ใครจะควบคุมโลกหนานซานก็ไม่เป็นไร

ภาพมายาของหอจิ้งฮวาเป็นอันดับต้นๆ ของโลกหนานซาน ถ้าเลือกไม่เข้าร่วมการต่อสู้ได้ มีแต่ผลดีไม่มีผลเสียต่อโลกเซียวไท่ โลกเซียวไท่ก็ละทิ้งหอจิ้งฮวา ผู้บำเพ็ญเซียนทั้งหมดล้วนสังหารผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานคนอื่นๆ แม้แต่ผู้อาวุโสขั้นกำเนิดใหม่ของทั้งสองฝ่ายก็เริ่มลงมือ สู้กันบนศิลารองรับฟ้าจนฟ้าดินเปลี่ยนสี ทรายบนพื้นถูกเผาจนกลายเป็นแก้ว เสียงสายฟ้าและหงส์ร่ำร้องวนเวียนกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง

ฮูหยินสยงได้ยินความเคลื่อนไหวจึงออกมา ตอนนางออกมาข้างนอกก็ต่อสู้กันแล้ว เวทมนตร์อันน่ากลัวของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่บดขยี้บนเรือเหาะอย่างต่อเนื่อง ทำลายเรือเหาะของโลกหนานซานทีละลำ ส่วนเรือเหาะของสำนักอวิ๋นซานกลับถูกคงจู๋หยวนแห่งหอซวีชิงใช้มือถือกระบี่ไผ่ฟันเบาๆ ก็ขาดกลางเป็นสองท่อน ทำให้นางหวาดกลัวจนกระโดดออกจากเรือเหาะและหลบหนีอย่างกระเซอะกระเซิง

เดิมทีสำนักอวิ๋นซานก็ส่งผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมมา แต่ฮูหยินสยงมีศักดิ์ฐานะแตกต่าง ยืนกรานถือว่าตนเองเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวม ดังนั้นตอนนี้นางจึงไม่มีแม้แต่โอกาสจะต่อต้าน

นางกับสยงเทียนคุนมีคำสาปแม่ลูก ขอเพียงอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ คำสาปแม่ลูกก็จะมีการตอบสนอง รู้ว่าสยงเทียนคุนยังมีชีวิตอยู่ ฮูหยินสยงเคยคิดหาวิธีช่วยเหลือเขาออกมา ทว่าคนมากมายสับสนปนเป นางหาสยงเทียนคุนไม่พบ และขณะที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ของทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันกลางอากาศ ฮูหยินสยงหวาดกลัวจนขลาดเขลา สยงเทียนคุนถูกนางโยนทิ้งออกจากสมองไปนานแล้ว

เหตุการณ์ฟ้าถล่มดินทลายนี้ ทุกความเคลื่อนไหวสามารถก่อให้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดิน ทำให้ฮูหยินสยงสูญเสียความเย่อหยิ่งในอดีต ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานจำนวนมากก็เหมือนกับนาง เพียงแค่อานุภาพกดดันและพลังเวทของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่รั่วไหลออกมาก็ทำให้พวกเขาสูญเสียความสามารถในการต่อต้าน คนส่วนมากสองขาอ่อนยวบ ลมหายใจกระชั้น นั่งเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น มองท้องนภาที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปเกินจะคาดเดาอย่างตกตะลึง

วงเวทที่โลกเซียวไท่กางรอบศิลารองรับฟ้าไว้ล่วงหน้าถูกผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ของโลกหนานซานทำลายแล้ว ราวกับคุ้นเคยกันดีหรือรู้ว่าความได้เปรียบหมดไป ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ของโลกหนานซาน ฉวยโอกาสขณะที่วงเวทถูกทำลายหลบหนีไปจนหมด แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมของแต่ละสำนัก ก็ทยอยกันทิ้งศิษย์ไว้ หาโอกาสหลบหนีไปรอบด้าน

ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่ถูกอานุภาพกดดันของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สะกดไว้ ส่วนมากหนีไม่รอด ทว่าก็มีปลาที่เล็ดรอดจากแหไปได้หลายตัว ฮูหยินสยงคือหนึ่งในจำนวนนั้น หลังจากวงเวทถูกทำลาย คิดไม่ถึงว่านางจะยืนขึ้นราวปาฏิหาริย์ โยนความปลอดภัยของสยงเทียนคุนทิ้ง พุ่งตัวหนีออกจากวงเวทอย่างบ้าคลั่ง บินมาหลายวันเต็มๆ จึงมาถึงที่นี่

ฟังคำพูดของฮูหยินสยงจบ จินเฟยเหยาสีหน้าเขียวคล้ำ มองนางด้วยสายตาแปลกๆ “เจ้าทิ้งสยงเทียนคุนบุตรชายสุดที่รักไว้ในวงเวท แล้วหนีออกมาคนเดียว?”

เผชิญหน้ากับคำตำหนิของจินเฟยเหยา ฮูหยินสยงก็เอ่ยอย่างเดือดดาล “ตอนนั้นข้าจะมีวิธีอะไรได้ ตัวเขาก็หาไม่พบ ถ้าข้าไม่หนี จุดจบคือถูกฆ่าตายคาที่ อีกทั้งข้ารู้ว่าตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ เขาต้องหาวิธีหนีออกมาได้แน่”

“เจ้าเป็นท่านแม่ของเขา เจ้าทิ้งเขาไว้โดยไม่สนใจได้อย่างไร? ตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ กลับไปช่วยอาจจะยังทัน” จินเฟยเหยาจ้องมองนางแน่วนิ่ง สายตาทำให้คนเกิดความรู้สึกหวาดกลัว

“เจ้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่รู้ถึงความน่ากลัวของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ ข้าก็อยากมีชีวิต ข้าก็กลัวตาย ข้ายังอยู่ได้อีกร้อยกว่าปี ข้ายังอยากเจี๋ยตาน[1] วันหน้ายังมีชีวิตที่ดียิ่งกว่านี้รอข้าอยู่ ข้าจะตายที่นี่ไม่ได้” การไล่บี้อย่างไม่ลดละของจินเฟยเหยาบีบให้ฮูหยินสยงต้องคำรามออกมา นางตะโกนใส่จินเฟยเหยาราวกับเป็นบ้า “ข้าไม่ไป ข้ายังสามารถให้กำเนิดบุตรชายใหม่ได้ แต่ถ้าสูญเสียชีวิตก็นำกลับคืนมาไม่ได้แล้ว”

“เจ้าช่างทำให้คนสะอิดสะเอียน ข้ารู้สึกเสียใจแทนสยงเทียนคุนจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีมารดาอย่างเจ้า” จินเฟยเหยายืนหันหลังให้แสงอาทิตย์ เงามืดบนใบหน้าทำให้นางแลดูดุร้ายอย่างยิ่ง

นางเดินเข้ามาใกล้ฮูหยินสยงช้าๆ ยื่นมือข้างหนึ่งมาจับบนศีรษะของฮูหยินสยงอย่างกะทันหัน

ฮูหยินสยงมือไม้ปั่นป่วนคิดจะแกะมือนางออก แต่กลับแกะนิ้วของนางไม่ได้สักนิ้ว ปากร้องเสียงแหลมว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร เจ้าฆ่าข้าไม่ได้นะ สยงเทียนคุนจะแค้นเจ้ามาก”

“เขาจะไม่รู้ เจ้าไม่คู่ควรเป็นมารดา ข้าแค่ช่วยเขาจัดการเรื่องเล็กน้อย” จินเฟยเหยาสีหน้าอึมครึม ไอสังหารในดวงตาบีบคั้นผู้คน หลังเอ่ยประโยคนี้ออกมาอย่างเย็นชา ไฟนรกในมือก็ปะทุ เผาฮูหยินสยงจนกลายเป็นมนุษย์เพลิงในพริบตา ครู่ต่อมา ในมือของนางก็ว่างเปล่าไร้สิ่งใด มีเพียงเถ้าธุลีจางๆ ล่องลอยไปตามสายลม

[1] เจี๋ยตาน คือ การควบรวมพลังให้เป็นตาน หากสำเร็จจะทะลวงขึ้นขั้นหลอมรวมได้

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset