คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย – ตอนที่ 105 งานใหม่

จินเฟยเหยาติดตามอยู่ด้านหลังเจ้าอัน ปะปนเข้าไปในศิลารองรับฟ้าอย่างราบรื่น นางตามติดอยู่ด้านหลังเขา ดวงตาเหลียวซ้ายแลขวามองดูรอบด้าน

อืม…ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานบนศิลารองรับฟ้ามีประมาณร้อยกว่าคน รอบนอกยังมีสองร้อยกว่าคน ทิ้งคนไว้มากมายที่นี่ทำไม น่าชังจริงๆ จินเฟยเหยาเห็นเรือเหาะบางลำที่ค่อนข้างสมบูรณ์ยังจอดอยู่บนศิลารองรับฟ้า แต่คงถูกผู้บำเพ็ญเซียนโลกเซียวไท่ยึดไว้ใช้แล้วแน่ ทันใดนั้นบนเรือเหาะลำหนึ่ง มีเงาร่างสายหนึ่งวาบผ่าน ทำให้นางหวาดกลัวจนขนลุก อดลูบหน้าไม่ได้ เกือบลืมไปว่าตนเองใช้เวทแปลงโฉม

“ตุ้บ” เจ้าอันที่เดินอยู่ข้างหน้าพลันหยุดลง จินเฟยเหยาไม่ได้สังเกตจึงชนเขาเข้าทันที นางรีบเอ่ยขออภัย ก็ได้ยินเจ้าอันเอ่ยถามอย่างสงสัย “เจ้าตามข้ามาตลอดทำไม?”

“อ๋า? เอ่อ ข้ามาคนเดียว นอกจากศิษย์พี่เจ้าแล้วก็ไม่รู้จักคนอื่น ข้าได้แต่ติดตามศิษย์พี่เจ้า” จินเฟยเหยามีสีหน้าลนลาน มองเขาด้วยสายตาไม่ได้รับความเป็นธรรม แค่ดูก็รู้ว่าอยากจะเกาะติด

เจ้าอันขมวดคิ้ว ทำไมถึงมีคนประเภทพอให้บันไดก็ปีนขึ้นมานะ ตนเองไม่ขาดอนุภรรยา ไม่รู้สึกสนใจเรื่องเช่นนี้เลยสักนิด แต่ไม่เหมาะที่เขาจะพูดอย่างโจ่งแจ้ง ครุ่นคิดอย่างรำคาญใจแล้วได้แต่เอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งดูแลผู้บำเพ็ญเซียนอิสระโดยเฉพาะ ถึงแม้เจ้าจะมีสำนัก ทว่ากลับอยู่ตัวคนเดียว ก็ไปหาที่พักที่นั่นเถอะ ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนแรกเจ้าตามมาได้อย่างไร ทำไมถึงไม่มีคนดูแล”

“ตอนข้ามากองทัพออกเดินทางแล้ว ไม่ได้สนใจข้า แค่ให้ข้าตามมา เห็นคนอื่นทำอะไร ก็ทำเหมือนกันก็พอ ต่อมาชุลมุนเกินไป ยิ่งไม่มีคนสนใจข้า” จินเฟยเหยาเอ่ยปากพร้อมกับมีสีหน้าเข้ากันดังอาภรณ์ฟ้าไร้ตะเข็บ พูดจนราวกับเป็นความจริง

“เหตุใดเจ้าจึงไม่มาเร็วหน่อย ชักช้าเสียเวลา” เจ้าอันเอ่ยตำหนิอย่างไม่พอใจ จินเฟยเหยามีสีหน้าหวาดกลัว ก้มหน้าเอ่ยเสียงเบา “เนื่องจากไม่มีศิลาวิญญาณซื้อยา ดังนั้นข้าจึงหาร้านค้าเพื่อขายอาวุธเวทที่ตลาด ทว่าไม่มีคนซื้อ ดังนั้นจึงล่าช้า”

สำนักของสตรีผู้นี้ยากจนเกินไป คิดไม่ถึงว่าต้องขายอาวุธเวทจึงซื้อยาได้ ไม่ได้ ข้าต้องรีบไล่นางไป ไม่เช่นนั้นถ้านางคิดพัวพันข้า คิดจะหาประโยชน์จากข้าจะทำอย่างไร ข้าไม่ใช่คนที่จะเสียเงินไปเปล่าๆ นะ ดวงตาของเจ้าอันสว่างวาบ วางแผนในใจ ต้องรีบส่งจินเฟยเหยาไปสถานที่ของผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ

เมื่อตัดสินใจแล้ว เจ้าอันก็มองจินเฟยเหยาแล้วเอ่ยอย่างลำบากใจ “สหายเซียนจิน ข้าต้องกลับไปรายงานอาจารย์ อยู่เป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้ชั่วคราว เจ้าไม่มีคนดูแลแบบนี้ไม่ใช่หนทางที่ดี ถ้าวิ่งวุ่นแบบนี้ นอกจากจะไม่ถูกบันทึกความดีความชอบแล้ว ต่อไปอาจไม่ได้ส่วนแบ่งรางวัล ถ้าถูกถือเป็นผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซาน ถูกสังหารโดยไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างไร?”

“อา มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ไม่มีรางวัลไม่ได้นะ ศิษย์พี่ยังรอข้านำรางวัลกลับไป ทำให้สำนักเจริญรุ่งเรืองอยู่นะ ศิษย์พี่เจ้า ท่านว่าข้าควรทำอย่างไร? ถ้าอย่างไร ข้าอยู่ใต้บังคับบัญชาของสำนักพวกท่าน ทำความชอบก็ช่วยข้าจดบันทึกหน่อย?” จินเฟยเหยามีสีหน้าหลากหลาย ครู่หนึ่งก็แตกตื่นลนลาน ครู่หนึ่งก็สับสนโกรธเคือง ครู่หนึ่งก็มองเจ้าอันด้วยสีหน้าวาดหวัง

คิดจะพัวพันไม่เลิกรา? เจ้าอันยังไม่เคยเจอสตรีหน้าหนาถึงปานนี้มาก่อน เดิมทีก็รู้สึกรำคาญ ยามนี้จึงเผยความไม่พอใจออกมาบนสีหน้า “เจ้าตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าไปสถานที่ของผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ ที่นั่นเหมาะสมจะให้เจ้าอยู่มากกว่า”

เห็นเขามีสีหน้าเย็นชาลง จินเฟยเหยาก็มีสีหน้าไม่กล้าพูดมากความ ตามหลังเขาไปด้วยท่าทางระแวดระวัง ทว่านางกลับแอบมองสถานที่ซึ่งมีเงาคนวาบผ่านก่อนหน้านี้ เชื่อมั่นว่าตนเองจำไม่ผิด ชุดสีขาวมีลายใบไผ่สีเข้มต้องเป็นคนของหอซวีชิงแน่

เจ้าอันเห็นว่านางยังรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ความไม่พอใจจึงหายไปนิดหน่อย ใบหน้าจึงไม่กระด้างมากนัก

ทั้งสองคนมาถึงข้างการป้องกันแบบหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้น ดวงตากวาดมองบนร่างของคนเหล่านั้น คิดจะหาว่าสยงเทียนคุนอยู่ที่ใด ทว่าที่มองตอบนางล้วนเป็นสายตาเคียดแค้นของผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซาน

“ผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานเหล่านี้ดุร้ายยิ่งนัก สายตาชั่วร้ายปานนี้ หน้าตายังหยาบกร้าน ไม่มีลักษณะของเซียนแม้แต่น้อย เป็นกลุ่มคนธรรมดาสามัญจริงๆ” จินเฟยเหยาเบ้ปาก พึมพำอย่างไม่พอใจ ฉวยโอกาสปิดบังเจตนาของตนเอง

เด็กน้อยจริงๆ เจ้าอันยิ่งมั่นใจ สตรีผู้นี้เป็นประเภทไม่รู้ความ คิดแต่จะพึ่งพาคนอื่น และเป็นคนที่ไม่มีความสามารถสักนิด

“สหายเซียนหลี่ เจ้าจะไปไหน? ข้าจะไปหาเจ้าพอดี” บนเรือเหาะลำหนึ่งข้างการป้องกัน พอดีมีผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษคนหนึ่งเดินลงมา เจ้าอันรีบเดินเข้าไปรับหน้า

“สหายเซียนเจ้ามีธุระหรือ?” คนผู้นี้อายุห้าสิบกว่าปีมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานช่วงปลาย หน้าตาสัตย์ซื่อดีงาม ยืนอยู่เบื้องหน้าเจ้าอัน ท่าทางเช่นนั้นทำให้คนรู้สึกเชื่อถืออย่างยิ่ง

เจ้าอันผลักจินเฟยเหยาออกมา ชี้นางพลางเอ่ยว่า “สหายเซียนหลี่ นี่คือสหายเซียนจินแห่งสำนักมู่เซียน นางมาช้า ยังไม่ได้รับมอบหมายสถานที่ ที่นี่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ น่าจะเหมาะกับนาง ทั้งสำนักส่งนางมาเพียงคนเดียว ไม่มีที่ไป”

“ทั้งสำนักมาเพียงคนเดียว…ในเมื่อสหายเซียนเจ้าพามา น่าจะไม่มีปัญหา พอดีคนของพวกเรามีไม่เพียงพอ ทิ้งไว้กับข้าที่นี่เถอะ” เรื่องนี้ลำบากเพียงยกมือเท่านั้น สหายเซียนหลี่ยิ้มและรับตัวจินเฟยเหยาไว้อย่างยินดี

หลังจากมอบจินเฟยเหยาให้สหายเซียนหลี่ เจ้าอันก็จากไปอย่างเร่งรีบ กลัวว่านางจะต้องการยันต์ถ่ายทอดเสียงเพื่อติดต่อกับเขา

หลังเห็นเจ้าอันจากไป สหายเซียนหลี่แค่หยิบแผ่นหยกออกมาชิ้นหนึ่ง บันทึกชื่อแซ่และสำนักที่จินเฟยเหยารายงานมาลงไป จากนั้นชี้ไปยังผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกการป้องกันกักขังเหล่านั้นแล้วเอ่ยว่า “สหายเซียนจิน ภารกิจของพวกเราคือเฝ้าจับตาดูผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานเหล่านี้ เดิมทีมีคนไม่เพียงพอ เจ้ามาได้พอดี เฝ้าที่นี่ทันทีนะ นี่คือป้ายห้อยเอว เจ้าต้องพกไว้ จะมีคนซักถาม”

“แบบนี้ก็เริ่มทำงานได้แล้ว?” จินเฟยเหยารับป้ายห้อยเอวมา ง่ายดายเกินไปแล้ว ปะปนเข้ามาได้ง่ายๆ ทั้งยังหางานได้

สหายเซียนหลี่พยักหน้า เอ่ยให้กำลังใจ “เจ้าตั้งใจทำให้ดี ถึงคนที่เฝ้าจับตาดูจะมีความชอบน้อยหน่อย แต่คนกลุ่มนี้ไม่ต้องจับตาดูนานเกินไป อย่างมากพรุ่งนี้ก็สามารถกำจัดทิ้งทั้งหมด ถึงตอนนั้นเจ้ากับข้าก็จะเข้าสนามรบไปรับความดีความชอบในการสู้รบ”

“กำจัดคนมากมายขนาดนี้ทิ้ง หรือว่าพรุ่งนี้จะสังหารทั้งหมด?”

จินเฟยเหยากระพริบตาปริบๆ เอามือปาดผ่านลำคอ เอ่ยถามเสียงเบา

เห็นท่าทางขลาดเขลาของนาง สหายเซียนหลี่ก็ตบไหล่นาง “พรุ่งนี้ก็รู้ พวกเขามีประโยชน์อย่างยิ่ง วันนี้เจ้ากับผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ ต้องเฝ้าไว้ให้ดี ถ้าหนีไปได้สักคน ท่านเซียนหยวนหยางจะมีโทสะ”

“ได้ ข้าจะเฝ้าไว้ให้ดีแน่ จะไม่ให้พวกเขาหนีไปได้สักคน” จินเฟยเหยาทำหน้าเคร่ง เอ่ยอย่างจริงจัง

“แต่ว่า สหายเซียนจิน รองเท้าของเจ้าล่ะ?” สหายเซียนหลี่พลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา มองสองเท้าของนางที่ห่อด้วยหนังสัตว์

จินเฟยเหยากระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง แม้แต่คิดก็ยังไม่คิด เอ่ยตอบว่า “ขายแลกยาไปแล้ว”

สหายเซียนหลี่นิ่งอึ้ง ในมือเขาก็ไม่มีรองเท้าที่สตรีสวมได้ ได้แต่ปล่อยไป แค่สั่งนางถึงเรื่องที่ต้องระวังเล็กน้อย

สั่งการเสร็จ สหายเซียนหลี่ก็จากไป จินเฟยเหยาเอามือไพล่หลัง วางมาดเดินรอบการป้องกัน ฐานะของนางในตอนนี้คือเฝ้าจับตาดู การกระทำเช่นนี้ถูกมองว่ารับผิดชอบหน้าที่อย่างจริงจัง

ผู้บำเพ็ญเซียนที่ถูกกักขังในการป้องกันมีประมาณร้อยกว่าคน นอกจากส่วนมากเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมสี่ห้าคน แต่โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาแต่ละคนล้วนบาดเจ็บ โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมหลายคนนั้นบาดเจ็บหนัก นอนอยู่บนพื้นไม่ขยับเลยสักนิด ราวกับตายไปแล้ว

จินเฟยเหยามองอยู่ครึ่งวัน กลับไม่พบสยงเทียนคุนในคนที่กำลังนั่งอยู่ แต่เห็นสตรีขั้นฝึกปราณที่กำลังแตกตื่นลนลานผู้หนึ่ง นี่คืออี้จือมิใช่หรือ คิดไม่ถึงว่ายังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ อีกทั้งบนร่างยังไม่มีบาดแผล หรือว่าเนื่องจากพลังการบำเพ็ญเพียรต่ำเกินไป จึงไม่มีคนสนใจนาง โยนเข้ามาไว้ในการป้องกันทันที

จินเฟยเหยาเห็นนางก็ประหลาดใจ แต่เป้าหมายในการมาครั้งนี้ไม่ใช่อี้จือ ต่อให้นางน่าสงสาร ก็แค่มองดูไม่กี่ครั้งแล้วเบนสายตาออก ค้นหาสยงเทียนคุนต่อไป

แย่แล้ว หาคนไม่พบ หรือว่าตายไประหว่างที่ข้าเร่งรุดมา? หรือว่า…เพราะหน้าตางามเย้ายวนเกินไป จึงถูกทำเป็นชายบำเรอจินเฟยเหยาตกตะลึงในใจ ใช้สายตามองพลังวิญญาณแข็งแกร่งที่เข้าออกบนเรือเหาะเหล่านั้น นั่นเป็นที่อยู่ของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมและผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ ต่อให้นางหยิบยืมความกล้า นางก็ไม่บังอาจไปแย่งชิงคนจากบนเตียงของคนเหล่านั้น ดูท่าจะมาเสียเที่ยว

จินเฟยเหยาแอบสวดภาวนาในใจ “พี่สยง ไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วยเจ้า ข้ามาแล้วแต่ข้าหาเจ้าไม่พบ ถ้าเจ้าตายแล้ว ก็คุ้มครองให้ข้าหนีรอดปลอดภัย ถ้าเจ้ายังไม่ตาย ข้าก็หวังว่าเจ้าอย่าตำหนิข้า เป็นชายบำเรอก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่”

สวดขอพรในใจเสร็จ จินเฟยเหยาคิดจะก่อเรื่อง จากนั้นฉวยโอกาสจากไป ในขณะนี้เอง นางก็เห็นผู้บำเพ็ญเซียนที่น่าเวทนาซึ่งอาจจะเคยได้รับบาดเจ็บหนักมาก่อนจึงทนไม่ไหวหมดสติไป ร่างล้มลง เผยให้เห็นสตรี? หรือบุรุษ? คนหนึ่งที่นอนโลหิตเปียกชุ่มอยู่บนพื้น

จินเฟยเหยาไม่ต้องมองอย่างละเอียดก็รู้ว่าเจ้าคนที่ไม่ชายไม่หญิงมีโลหิตเปียกชุ่มคนนี้คือสยงเทียนคุน คิดไม่ถึงว่าจะบาดเจ็บจนกลายเป็นเช่นนี้ คงไม่ได้ขาดใจตายไปแล้วหรอกนะ จ้องมองอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็โล่งอก ทรวงอกยังขยับขึ้นลง ยังหายใจอยู่ แต่ก็อยู่ห่างจากความตายไม่ไกลนัก ถ้ามียารักษาบาดแผล สภาพน่าจะดีกว่านี้

มองผู้บำเพ็ญเซียนกลุ่มนี้ จินเฟยเหยาเกิดความรู้สึกถึงวิกฤติอย่างหนึ่ง ต่อไปต้องนำยาเหล่านี้ออกมาซ่อนไว้ยังแห่งอื่นๆ บนร่าง ถ้ากระเป๋าเก็บของถูกคนแย่งชิงไป จะได้เหลืออะไรไว้บ้าง ถ้าคนเหล่านี้ซ่อนยาไว้ในรองเท้าสักหลายเม็ด ตอนนี้คงไม่น่าเวทนาถึงปานนี้

เดินรอบการป้องกันหลายรอบ จินเฟยเหยายังนึกหาวิธีช่วยคนไม่ได้ สยงเทียนคุนก็นอนราวกับสุนัขตาย จะถ่ายทอดเสียงก็ถูกการป้องกันขัดขวาง เขาไม่มีปฏิกิริยาเลยสักนิด ผู้บำเพ็ญเซียนที่เฝ้าจับตาดูด้วยกันโดยรอบก็มีสามสิบกว่าคน อีกทั้งยังมีการป้องกันอันแข็งแกร่ง สำหรับนางที่โง่งมเรื่องวงเวท ไม่มีหนทางเลยสักนิด ต้องใช้แผนการจริงๆ ด้วย สมองของนางทึ่มเกินไป

ช่างเถอะ อย่างไรเสียพรุ่งนี้ก็ต้องจัดการพวกเขา พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน สยงเทียนคุน เจ้าต้องทนให้ถึงพรุ่งนี้นะ จะให้ข้ามาเสียเที่ยวไม่ได้ จินเฟยเหยาลูบศีรษะอย่างจนปัญญา นางไม่มีความสามารถส่งยาเข้าไป ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเปิดเผยฐานะ ได้แต่พึ่งพาตัวเขาเองแล้ว

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตายเวลาเช้าตรู่ บนเส้นทางอันยาวไกลของยอดเขาลั่วซี มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังแบกถังไม้ขนาดใหญ่สูงเจ็ดฉื่อ[1]เดินไปยังวังอวิ๋นเย่ที่สร้างอยู่กลางยอดเขาด้วยฝีเท้าเบาและรวดเร็ว นางอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เกล้าผมเป็นมวยสาวน้อยคู่หนึ่ง บนมวยแต่ละอันมีแถบผ้าสีเขียวพันประดับ บนร่างสวมชุดศิษย์สายนอกสีเทาทั้งตัว บนเข่ามีรอยปะชุนแห่งหนึ่ง หน้าตางดงามน่ารัก รูปร่างพอเหมาะพอดี ทว่ากลับแบกถังไม้ที่สูงกว่านางสองเท่า ก้าวเดินบนบันไดศิลาดุจเหินบิน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset