หนึ่งปีต่อมา
ฮ่องกง
“พี่ใหญ่พี่ต้องช่วยฉันนะ ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้วคุณแม่ของฉันท่านเสียแล้ว ฉันกำลังจะทำบริษัทของท่านพัง ต้องโทษฉัน โทษฉันเองที่ไม่สามารถดูแลสิ่งที่คุณแม่ทิ้งไว้ให้ฉันได้ พวกมันดูถูกฉัน พวกมันรวมทั้งน้องสาวบุญธรรมของฉันด้วย บริษัทของฉันกำลังจะกลายเป็นบริษัทที่พัวพันเกี่ยวกับการฟองเงินแล้ว”
หลิวไห่คลึงแก้วเหล้าในมือแล้วส่งให้น้องชายฝาแฝดของตัวเอง น้องของเขาที่เขาเฝ้าอิจฉามาตลอดและได้ยินดีด้วยที่เขาพบครอบครัวอุปถัมภ์ที่แสนวิเศษ ทั้งร่ำรวยรักเขาจริง ชีวิตน้องชายของเขาไม่ควรจะมีเรื่องพวกนี้จนกระทั่งแม่บุญธรรมของเขาตายไปเมื่อหลายเดือนที่แล้ว
คนที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบตามใจและไม่เคยหยิบจับอะไรจริงจังแบบนี้ย่อมกลายเป็นเหยื่อของเสือร้ายที่พร้อมจะขย้ำเขาให้ตายทั้งเป็น
“ลุกขึ้นเถอะ แล้วทำไมแต่งตัวแบบนี้ไม่กลัวคนเขาจับได้เหรอ”
เขามองน้องชายที่แต่งหน้าทาปากแล้วยังใส่เสื้อผ้าสีสันเจิดจ้า มีประกายทองวิบวับจนเขารู้สึกแสบตา
“ที่นี่ฮ่องกงจะกลัวใครล่ะ แต่ถ้าพี่ไม่ช่วยฉัน ฉันไม่ลุกขึ้นหรอก”
“หัวเข่าของลูกผู้ชายมีค่ายิ่งกว่าทองคำไม่เคยได้ยินเหรอ”
น้องชายของเขาส่ายหน้า
“ฉันไม่ใช่ผู้ชาย ฉันไม่สนพี่ต้องไปช่วยฉันได้โปรดทำเพื่อฉันสักครั้ง”
หลิวไห่ถอนหายใจ คิดย้อนไปถึงเมื่อครั้งที่พวกเขาอายุเจ็ดขวบและอาศัยอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าแล้วถูกจับแยกกันไปเพราะครอบครัวอุปถัมภ์แล้วต้องดึงตัวของน้องชายขึ้นมานั่งข้าง ๆ
“นายมีคู่หมั้นแล้วและยังอยู่บ้านเดียวกันกับผู้หญิงคนนั้นอีกจะให้ฉันสวมรอยเป็นนายได้ยังไงกัน”
“ทำไมจะไม่ได้ฉันกับเสี่ยวเจี่ยเป็นเหมือนเพื่อนกัน พี่ก็แค่แสดงละครเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อหน้าเธอ เวลาปกติฉันก็ปิดบังตัวเองเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งอยู่แล้วมีแต่เวลาที่อยู่กับเสี่ยวเจี่ยเท่านั้นที่จะกลายเป็นตัวของตัวเอง อีกอย่างพี่ไม่ต้องดูแลเธอเลยเสี่ยวเจี่ยแข็งแรงและต่อสู้เก่งมาก เธอเก่งทุกอย่างเลยนะพี่ยังคุ้มกันพี่ได้อีกด้วย”
“รู้สึกเสี่ยวเจี่ยคู่หมั้นของนายคนนั้นจะดีเกินไปแล้ว ทั้งเข้าอกเข้าใจทั้งเป็นบอดี้การ์ด ผู้หญิงพวกนั้นล้วนหิวเงินนายอย่าซื่อให้ม้นมาก” หลิวไห่ถอนหายใจแล้วถามต่อ “แล้วนายอยู่ทางนี้จะไหวเหรอ”
หลิวไห่ไม่ได้ห่วงตัวเอง แต่ห่วงว่าน้องชายของเขาจะรับมือไม่ไหวถึงเขาจะมีเลขาคู่ใจที่เก่งกาจคอยปกป้องก็ตามที
“ไหวสิ มีอะไรไม่ไหวกันฉันทำได้อยู่แล้วบริษัทนี่ของพี่ถ้าต้องตัดสินใจอะไรฉันก็แค่โทรไปปรึกษากับพี่ไม่มีใครกล้ามายุ่ง แต่บริษัทของฉันถ้าปล่อยไว้แบบนี้ต้องพังลงมาแน่นอน คนพวกนั้นพยายามจะเอาของสกปรกมาฟองเงินที่นี่ฉันไม่ต้องการแบบนั้น พี่เป็นญาติคนเดียวของฉันนะเราเกิดมาแทบจะพร้อมกันพี่จะไม่ดูดำดูดีฉันเลยเหรอ”
“เพราะฉะนั้นเลยวิ่งมาหาฉันถึงฮ่องกงล่ะสิ”
“จะพูดแบบนั้นก็ถูก”
“พี่พวกนั้นมันร่วมหัวกับคนสกุลกู้คิดจะยึดบริษัทของฉัน ถ้าพี่ไม่ช่วยฉันลำบากแน่”
“สกุลกู้อีกแล้วเหรอ”
“ใช่ คนเลวพวกนั้นฉันอยากจะตบ ตบ พวกมันให้ตายนัก”
หลิวไห่มองหน้าน้องชายอย่างจนใจ ความจริงน้องชายคนเดียวด้วยฐานะในตอนนี้เขาสามารถเลี้ยงดูให้น้องสบายได้ตลอดชีวิต แต่เพราะน้องชายดื้อรั้นที่จะรักษาบริษัทของแม่บุญธรรมเอาไว้จึงทำให้เขาลำบากใจ
ในที่สุดหลิ่วไห่ก็พยักหน้า เขาพยายามออกห่างจากสกุลกู้แต่ในเมื่อพวกนั้นยื่นมือเข้ามายุ่งกับน้องของเขาก่อน หลิวไห่ก็ไม่คิดจะละเว้นอีกต่อไป
หลิวไห่ครุ่นคิดอย่างเหม่อลอย ไม่สนใจน้องชายอีกสุดท้ายคนอ่อนแอคนนั้นก็ลุกขึ้นนั่งข้างเขา รินเหล้าดื่มเงียบ ๆ ในขณะที่หลิวไห่คิดย้อนเวลากลับไปเมื่อพวกเขาอายุเจ็ดขวบ
บ้านเด็กกำพร้า
“ต้าเกอผมไม่อยากไปผมจะอยู่กับต้าเกอ”
“ไม่ต้องกลัวนะ คุณน้าทั้งสองต่อไปจะเป็นพ่อและแม่ของน้องรองแล้ว เราสองคนจะได้มีพ่อแม่เหมือนคนอื่นยังไงล่ะพวกท่านใจดีขนาดนั้นต้องดีกับน้องรองมากแน่ ๆ”
น้องรองของเขาในตอนนั้นร้องไห้ในขณะที่หลิ่วไห่กอดเขาเอาไว้พร้อมกับปลอบใจ ในตอนนั้นพวกเขาทั้งสองเป็นเด็กกำพร้าถูกคนเอามาทิ้งไว้หน้าศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่แรกเกิด พวกเขาอยู่ในตะกร้าใบหนึ่งถูกห่อตัวด้วยผ้าสีขาวและมีสร้อยสลักวันเกิดของพวกเขาเอาไว้ในสร้อยเส้นนั้น
เจ้าหน้าที่ของศูนย์ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กจึงรีบออกมาดู ในตอนนั้นหิมะกำลังตกลงมาอย่างหนักเจ้าหน้าที่จึงรีบพาพวกเขาเข้าไปในศูนย์ และรับเลี้ยงดูพวกเขามาตั้งแต่ตอนนั้น เด็กทั้งสองจึงไม่เคยรู้ว่าพ่อแม่ของพวกเขาเป็นใคร
หลักฐานเดียวที่มีคือสร้อยเงินสลักวันเกิดและสัญลักษณ์บางอย่างอยู่ในนั้น นั่นคือสมบัติติดกายที่พวกเขามีไว้คนละชิ้น พวกเขาถูกจับแยกกันไปอยู่กับต่างครอบครัวด้วยความเป็นเด็กจึงไม่ได้ติดต่อกันอีกตั้งแต่นั้น ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นน้องรองของเขาคือเด็กชายตัวอ้วนที่มีน้ำตานองหน้าอยู่ในอ้อมกอดของผู้หญิงแสนสวยคนหนึ่ง
เขาสัมผัสได้ว่าน้องรองของเขาต้องมีความสุขกับครอบครัวใหม่แน่นอน และก็เป็นจริงตามนั้น น้องรองถูกเลี้ยงมาเหมือนเจ้าชายครอบครัวสกุลเฉินเคยมีลูกชายคนหนึ่งและได้เสียไปแล้วด้วยโรคหัวใจโตแต่กำเนิด พวกเขาทำยังไงก็ไม่มีลูกอีกจนวันหนึ่งมาทำบุญที่บ้านเด็กกำพร้าได้เห็นหน้าน้องรองจึงถูกชะตาและตัดสินใจรับเลี้ยงเขาทันที
น้องรองในตอนนั้นมีรูปร่างอ้วนกว่าเขามากหน้าตาคล้ายกับลูกชายที่เสียไปของสกุลเฉินจึงได้รับความรักเป็นอย่างมาก น้องรองได้ใช้แซ่เฉินตามครอบครัวอุปถัมภ์และมีชื่อใหม่ว่า เฟยอวี๋ ซึ่งเป็นชื่อเดิมของลูกชายสกุลเฉิน