สุดท้ายแล้วหลี่เจี่ยซินก็ไม่กล้าบอกเขา เธอกลัวว่าหลิวไห่จะรับไม่ได้ จึงได้แต่พูดให้เขาคลายใจ
“ฉันแค่กลัวการผ่าตัด กลัวว่าฉันจะไม่หายค่ะ ฉันไม่กล้าบอกคุณเรื่องที่ฉันป่วย ฉันกลัวคุณจะตกใจ”
หลิวไห่กอดเธอทั้งลูบศีรษะของเธอเบา ๆ
“ผมไม่ทิ้งคุณเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน คุณจะต้องหายเชื่อผมนะยอมเข้ารับการตรวจและรับการรักษาเถอะ ผมจะอยู่ข้าง ๆ คุณเสมอ”
หลี่เจี่ยซินพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“ฉันเชื่อคุณค่ะ ที่รักฉันเชื่อคุณ ฉันจะตรวจและจะรักษาค่ะ”
“ดีมาก ที่รักดีมากคุณต้องไม่เป็นไร”
หลิวไห่พูดคำนี้ราวกับว่าต้องการปลอบตนเองซะมากกว่า เขายอมรับว่าเกิดความหวาดกลัวลึก ๆ แต่เขาจะไม่ยอมให้ความหวาดกลัวนั้นทำให้หลี่เจี่ยซินทุกข์ใจ เขายิ้มให้กับเธอ จับมือของหญิงสาวอย่างมั่นคง
ในที่สุดคนขับรถก็พาหลี่เจี่ยซินมาถึงโรงพยาบาลใหญ่อันดับต้น ๆ ของประเทศและเชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดเป็นอย่างมาก หลิวไห่โทรหาลุงเฉิงและเล่าเรื่องให้ลุงเฉิงฟังคร่าว ๆ
ลุงเฉิงเป็นผู้กว้างขวาง แน่นอนว่าเขายังสามารถติดต่อกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งนี้ได้อีกด้วย หลิวไห่ได้พบกับคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านสมองโดยเฉพาะ และยังมีคุณหมอเฉพาะด้านศัลยกรรมที่มีฝีมืออีกหลายคน
หลี่เจี่ยซินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นผู้ป่วยใกล้ตายขึ้นทุกที เพราะหมอพวกนี้ที่ต่างคนต่างรุมล้อมเธอ หลิวไห่กุมมือของเธอเอาไว้แทบจะตลอดเวลา ระหว่างฟังผลตรวจ
“มีเนื้องอกบริเวณนี้ครับ และตรงนี้ เนื้องอกที่ขึ้นมาที่เห็นชัดมีอยู่สองจุดและจากผลตรวจของโรงพยาบาลเดิมของคุณหลี่ที่เราขอไปดูเหมือนว่ามันจะโตอย่างรวดเร็ว ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยด่วน ดังนั้นผมจึงจองห้องผ่าตัดให้คุณหลี่ได้เร็วที่สุดคืออีกสามวันข้างหน้าครับ”
หลิวไห่พยักหน้า
“ขอบคุณครับ ร่างกายอย่างอื่นของหลี่เจี่ยซินเป็นยังไงบ้างครับ”
“ไม่ต้องห่วงครับ เธอพร้อมมากที่จะเข้ารับการผ่าตัด หากไม่มีเรื่องเนื้องอกนี้คุณหลี่นับเป็นคนที่แข็งแรงจนวิ่งแข่งโอลิมปิกได้เลยครับ”
ได้ยินแล้วหลิวไห่ก็สบายใจเป็นอย่างยิ่ง เขามั่นใจว่าเมื่อหลี่เจี่ยซินอยู่ในมือหมอที่ดีที่สุดเธอต้องหายแน่นอน ในขณะที่หลี่เจี่ยซินรู้ดีว่ายังไงเธอก็ไม่หายแน่นอน ทางเดียวที่จะช่วยเธอได้คือเธอต้องไปเอายาโดสนั้นจากประธานกู้
หลี่เจี่ยซินเปลี่ยนเป็นชุดในโรงพยาบาล หลิวไห่สั่งให้คนคอยเฝ้าดูเธอให้ดี บอดี้การ์ดหลายคนคอยเฝ้าอยู่หน้าห้องเพื่อดูแลความปลอดภัยให้เธอ ในตอนที่หลิวไห่ออกมาทำธุระข้างนอก หลี่เจี่ยซินก็แอบออกมาอย่างรวดเร็วแม้กระทั่งคนหลายคนที่เฝ้าอยู่ข้างนอกยังจับไม่ได้
หลี่เจี่ยซินโบกแท็กซี่ เธอตัดสินใจแล้วว่าจะทำยังไง เธอต้องกลับไปหาประธานกู้ คนเดียวที่จะพาเธอไปหาประธานกู้ได้ก็คือกู้เมิ่ง กระทั่งรถมาจอดที่หน้าบริษัท หลี่เจี่ยซินเดินตรงเข้าไปที่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์
เสียงหวานใสของประชาสัมพันธ์คนสวยใบหน้ายิ้มแย้ม เหมาะสมแล้วที่ได้ทำหน้าที่นี้จึงถามเธอทันที
“ไม่ทราบว่ามาติดต่อเรื่องอะไรคะ ได้นัดไว้หรือเปล่า”
หลี่เจี่ยซินพยักหน้า
“ค่ะ ฉันนัดประธานกู้เมิ่งเอาไว้ ช่วยบอกเขาว่าฉันหลี่เจี่ยซินคู่หมั้นคุณหลิวไห่มาขอพบ”
หลี่เจี่ยซินรู้ความขัดแยังของกู้เมิ่งและหลิวไห่เป็นอย่างดี ในตอนนี้เธอย่อมต้องบอกเขาว่าเธอคือคู่หมั้นของหลิวไห่ คิดว่าย่อมเรียกความสนใจจากกู้เมิ่งได้ไม่น้อย
“สักครู่นะคะ”
ประชาสัมพันธ์คนนั้นโทรขึ้นไปหน้าห้อง แต่เลขาหน้าห้องกลับปฏิเสธว่าไม่มีรายการนัดหมายกับท่านประธาน หลี่เจึ่ยซินซึ่งแม้ใบหน้าจะสวยแต่เธอแต่งกายด้วยเสื้อยืดกางเกงยีนง่่าย ๆ ผมของเธอยังค่อนข้างยุ่ง เธอใช้นิ้วสางอย่างรวดเร็วเมื่อสายตาพนักงานหญิงสองคนนั้นจ้องมาที่เส้นผมของเธอ
“พอดีรีบไปหน่อยลืมหวีผมค่ะ”
พูดไปแล้วก็อยากจะตีปากตัวเองนัก ใครเขาให้แก้ตัวแบบนี้กัน ทำไมต้องสนใจคนพวกนี้กันด้วย
“หน้าห้องบอกว่าคุณไม่มีรายชื่อคนนัดหมายค่ะ ตอนนี้ท่านติดงานให้เข้าพบไม่ได้ ต้องรบกวนคุณนัดหมายอีกครั้งนะคะ”
เป็นคำปฏิเสธที่สุภาพและมีมารยาทเป็นอย่างมาก หลี่เจี่ยซินจึงไม่โกรธคนสวยสองคนนี้ เธอเพียงแต่พูดเสียงเย็นและทุบมือไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ที่ทำจากไม้งดงามขัดเคลือบเงาอย่างดีสุดแรง
แน่นอนว่าแรงของเธอไม่ใช่น้อย จึงทำให้เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ถึงกับร้าว ท่ามกลางความตกตะลึงของสองสาว
“ช่วยบอกเขาว่า ฉันหลี่เจี่ยซินคู่หมั้นคุณหลิวไห่มาขอพบ และประธานกู้คนพ่อต้องการพบฉัน เขาให้ฉันมาหาลูกชายเขาที่นี่ ถ้าพวกเธอไม่อยากตกงานรวมทั้งเลขาหน้าห้องก็ทำตามซะเดี๋ยวนี้”
เสียงของหลี่เจี่ยซินค่อนข้างเย็นและวางอำนาจ แต่คนสวยสองคนไม่ได้กลัวน้ำเสียงของเธอสักเท่าไหร่ สิ่งที่พวกเขากลัวก็คือแรงของเธอที่แค่เพียงทุบเบา ๆ ก็ทำให้เคาเตอร์ร้าวต่างหาก
ประชาสัมพันธ์สองคนต่อสายถึงหน้าห้องกู้เมิ่งอีกครั้ง คราวนี้เธออ้อนวอนให้หน้าห้องแจ้งข่าวการมาของหลี่เจี่ยซินให้กู้เมิ่งทราบ เลขาคนนั้นได้ยินคำขู่ถึงแม้ว่าจะไม่เชื่อเท่าไหร่ แต่เธอก็ต้องป้องกันความผิดพลาดเอาไว้ก่อนจึงนำเรื่องไปรายงานกู้เมิ่ง
กู็เมิ่งที่กำลังฟังลูกน้องพูดถึงผลประกอบการบริษัท และยังมีเรื่องอื่น ๆ กำลังยกมือป้องปากหาวด้วยความเบื่อหน่าย ความจริงประชุมไร้สาระนี่ไม่ต้องถึงมือเขา คนที่จ้างมามีหน้าที่ทำบริษัทให้กำไรก็ทำไปสิ เขาแค่เซ็นอนุมัติก็พอ ไม่จำเป็นให้เขาลำบากมาที่นี่เลยสักนิด
ในตอนแรกเลขาทำท่าคล้ายไม่อยากเข้าไปรบกวน แต่เมื่อเห็นท่าทางเบื่อหน่ายของกู้เมิ่งแล้วเธอจึงเข้าไปรายงาน ด้วยรู้ว่าตอนนี้ประธานกู้กำลังหาทางออกจากห้องประชุมเป็นแน่
“ท่านประธานคะ คุณหลี่เจี่ยซินคู่หมั้นของคุณหลิวไห่มาขอพบท่านประธานค่ะ”
กู้เมิ่งคล้ายจะตื่นเต้นเล็กน้อย
“คุณว่าใครมาหาผมนะ”
“คุณหลี่เจี่ยซินคู่หมั้นคุณหลิวไห่ค่ะ”
เพียงได้ยินชื่อของสองคนนี้กู้เมิ่งถึงกับยืนขึ้น พลอยทำให้คนที่นั่งประชุมรวมกันเกือบยี่สิบคนลุกขึ้นตามไปด้วย
“นั่งลง พวกคุณไม่ต้องรอผมประชุมต่อได้ มีอะไรก็ส่งมาให้เลขาแล้วกันผมมีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ”
กู้เมิ่งสาวเท้ายาวออกจากห้องประชุมไปแล้ว พ่อของเขาพูดไว้ไม่มีผิด ว่าหลี่เจี่ยซินต้องมาหาเขาแน่ ๆ
และเธอก็มาปรากฎตัวจริง ๆ
ที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ หลี่เจี่ยซินยังบอกว่าเธอเป็นคู่หมั้นของหลิวไห่ไม่ใช่เฉินเฟยอวี๋ แสดงว่าเธอต้องรู้สถานะของพวกเขาแล้ว
หลี่เจี่ยซินที่ยืนรอด้วยรอยยิ้มน่ากลัวหน้าเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ในตอนนี้ ได้รับการต้อนรับอย่างดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อกู้เมิ่งสั่งให้พวกเขาพาเธอเข้ามาพบอย่างเร่งด่วน
ทั้งเลขาของเขาและประชาสัมพันธ์ทั้งสองต่างแอบตกใจเมื่อพวกเธอเกือบจะไล่คนสำคัญออกไปเสียแล้ว
ถ้าทำแบบนั้นจริง คิดว่าพวกเธอคงถูกไล่ออกไปแน่
รปภ. นำทางหลี่เจี่ยซินไปถึงชั้นสิบเก้าอันเป็นห้องทำงานของกู้เมิ่ง หญิงสาวเดินตาม รปภ.ไปช้า ๆ กระทั่งมีคนมารับเธออยู่หน้าลิฟต์ รปภ.โค้งกายให้เธออย่างนอบน้อมแล้วกดลิฟต์ลงไปยังชั้นล่าง
“เชิญคุณหลี่ด้านนี้ค่ะ ท่านประธานรอคุณอยู่ค่ะ ท่านบอกว่าดีใจมากที่คุณยอมมาพบ”
แน่นอนว่าคำพูดพวกนี้กู้เมิ่งย่อมสั่งสอนเลขาของตัวเองเอาไว้อย่างดี หลี่เจี่ยซินยิ้มบาง ๆ ให้กับผู้หญิงคนนั้น ก่อนที่เธอจะก้าวขาตามไปจู่ ๆ เธอก็เกิดอาการวิงเวียนและปวดหัวอย่างรุนแรง
หลี่เจี่ยซินเป็นคนที่อดทนต่อความเจ็บปวดอย่างล้ำเลิศเธอเพียงแต่ถามเลขาคนนั้นเบา ๆ โดยไม่ได้แสดงถึงความผิดปกติอะไรออกไป
“ไม่ทราบว่าห้องน้ำอยู่ทางไหนคะ ฉันขอตัวทำธุระสักครู่ก่อนเข้าไปพบประธานกู้”
“ด้านนั้นเลยค่ะ ดิฉันจะรอด้านนอกนะคะ”
หลี่เจี่ยซินกล่าวขอบคุณแล้วเดินเข้าห้องน้ำ เมื่อเธอล็อกประตูหลี่เจี่ยซินก็นั่งลงกับพื้นกุมศีรษะของตนเองเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด สายตาของเธอพร่าเลือนมองไม่เห็นสิ่งใด เธอพยายามหายใจเอาไว้
เธอจะมาตายที่นี่อย่างน่าอับอายไม่ได้ หลี่เจี่ยซิน
หญิงสาวตีตนเอง เธอคว้ามีดที่พกติดตัวมากรีดเข้าที่แขนตัวเองช้า ๆ กดมีดลึกลงไปให้มีสติ เมื่อรู้สึกคล้ายสติจะดับมืดไปแล้วความเจ็บปวดที่ข้อมือค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ศีรษะของเธอไม่ปวดแล้ว หลี่เจี่ยซินเริ่มมองเห็นชัดเจนขึ้น จวบจนรู้สึกดีจึงสูดหายใจเข้าลึกและยืนขึ้น
เธอจัดการกับบาดแผลของตัวเองอย่างรวดเร็ว ในกระเป๋าของเธอไม่มีผ้าพันแผลหรืออะไรเธอจึงยิ้มแล้วอีกไปทั้ง ๆ ที่ข้อมือโชกเลือดแบบนั้น
“ตายแล้ว เกิดอะไรขึ้นคะ”
หลี่เจี่ยซินห้ามเลือดของตัวเองแล้ว เพียงแค่เธอสัมผัสข้อมือก็สามารถรู้ได้ว่าเส้นเลือดของเธออยู่ที่ไหน ต้องกรีดมีดตรงไหนถึงจะไม่เป็นอันตราย และจะห้ามเลือดอย่างไร
หลี่เจี่ยซินต้องขอบคุณสมองอัจฉริยะของตัวเองที่ทำให้เธออ่านตำราแพทย์ทั้งสิบเล่มหนาเตอะนั้นเพียงรอบเดียวก็สามารถจดจำได้หมด
ทั้งหมดนั้นที่เธอทุ่มเทก็เพื่อหาทางรักษาตัวเอง แต่ต่อให้อ่านตำราแพทย์มากแค่ไหน โรคที่เธอเป็นก็ไม่เคยเกิดขึ้นในโรงพยาบาลมาก่อนจึงไม่มีบันทึกเอาไว้ เลขาคนนั้นรีบพาเธอไปหากู้เมิ่ง
“ท่านประธานคะ เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยฉันจะเรียกแผนกแพทย์บริษัทให้มาดูคุณหลี่นะคะ”
กู้เมิ่งเห็นข้อมือเล็กของหลี่เจี่ยซินมีแผลเขาเองก็รู้สึกตกใจ เขารู้แค่ว่าพ่อของเขาต้องการตัวเธอ ใจหนึ่งก็คิดว่าหรือหลี่เจี่ยซินจะถูกสเปคพ่อของเขาเข้า จึงอยากได้เป็นเมียน้อย ความจริงพ่อของเขามีเล็กมีน้อยมาเยอะ แต่ไม่เคยจริงจังกับใคร มีเพียงแม่ของเขาเท่านั้น หรือพ่อของเขามีวัตถุประสงค์อื่นจึงต้องการตัวเธอคนนี้กันแน่
แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็อยากได้หลี่เจี่ยซินเช่นกัน ยิ่งเป็นผู้หญิงของหลิวไห่เขายิ่งต้องการ
หลี่เจี่ยซินถูกเชิญให้ไปนั่งที่โซฟา กู้เมิ่งไม่ถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น คนของเขาบอกว่ารถของหลี่เจี่ยซินถูกระเบิด กู้เมิ่งไม่ได้สั่งให้ฆ่าเธอแบบนั้น จึงกำลังสืบหาว่าเป็นใคร เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นฝีมือของประธานกู้เช่นกัน
“คุณบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเหรอ”
หลี่เจี่ยซินพยักหน้า หมอเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกเขาทำแผลและพันแผลให้หลี่เจี่ยซิน กู้เมิ่งย่อมยังไม่พูดเรื่องที่คนนอกรู้ไม่ได้ เขาจึงปิดปากเงียบรอจนคนพวกนี้ทำแผลให้หลี่เจี่ยซินเสร็จแล้วจึงอ้าปากถาม
“ธุระของคุณคือ?”
“ฉันต้องการพบประธานกู้ค่ะ คุณพาฉันไปพบเขาหน่อย”