จูบของเฉินเฟยอวี๋ไม่ใช่จูบแค่แตะริมฝีปากเหมือนที่พวกเขาแกล้งทำทุกครั้ง แต่คราวนี้หลี่เจี่ยซินกลับสัมผัสได้ทุกปลายลิ้นที่กำลังคุกคามเข้ามาในปากของเธอ
“เสี่ยวอวี๋เธอ อึก อึก”
เพียงแค่เธออ้าปากหลี่เจี่ยซินก็ถูกเขาครอบครองริมฝีปากเอาไว้ทั้งหมด แม้กระทั่งลมหายใจของเธอเขายังช่วงชิงเอาไปอีกด้วย
หลี่เจี่ยซินรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกวางยาจึงได้แต่ยืนนิ่งให้เฉินเฟยอวี๋จูบอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งเขาปล่อยเธอในที่สุด
หลี่เจี่ยซินขยับห่างเขาเล็กน้อยมองเฉินเฟยอวี๋ด้วยดวงตาที่สับสน ทั้งยังลูบริมฝีปากของตัวเองอีกด้วย ทำไมเธอถึงได้ใจเต้นแรงขนาดนี้กัน
“เกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่ เหมือนว่านายจะจูบฉันจริง ๆ”
หลิวไห่ยิ้มยกมือโอบไหล่ของเธอแล้วขยับเท้าพาหญิงสาวเดินต่อ
“ก็แค่ทดสอบน่ะ”
หลี่เจี่ยซินมองเขา ตั้งแต่เขาลงเครื่องเป็นครั้งแรกที่เฉินเฟยอวี๋พูดประโยคยาว ๆ ออกมา
“เสียงของนายก็แปลก”
หลิวไห่คิดว่าผู้หญิงคนนี้ความจริงแล้วก็สายตาดีไม่ใช่น้อย เขาก้มลงแล้วกระซิบดัดเสียงเป็นเสียงกึ่งหญิงของเฉินเฟยอวี๋
“ที่รักว่าฉันมีอะไรแปลกเหรอ ก็แค่เล่นละคร”
หลี่เจี่ยซินได้ยินเสียงอันคุ้นเคยจึงรู้สึกดีขึ้น
“ที่รักเธอกำลังทำให้ฉันขนลุก คิดว่าเธอมีคู่แฝดแล้วสลับตัวมาแกล้งฉัน”
หลิวไห่ถึงกับหัวเราะออกมา เมื่อหลี่เจี่ยซินช่างเดาได้ถูกต้องจริง ๆ
“ฉันจะหาคู่แฝดมาจากไหนได้ล่ะ นี่ไม่ใช่โรงละครนะ อีกอย่างเธอแรงเยอะขนาดนั้นจับฉันหักคอจะทำยังไงล่ะ”
หลี่เจี่ยซินเริ่มรู้สึกคุ้นเคยขึ้น ถึงจะยังสงสัยหลายอย่างเธอจึงยกมือโอบเอวของเขาแล้วเดินไปด้วยกัน มือที่โอบเอวของหลิวไห่อยู่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกสนิทสนมโดยทันที
“เธอเป็นเจ้านายฉัน ฉันไม่กล้าบุ่มบ่ามฆ่าเธอหรอก”
พวกเขาคุยกันอีกไม่กี่คำ ในตอนนี้ถึงแม้ว่าหลิวไห่จะปรับโทนเสียงให้ดูนุ่มลงเหมือนโทนเสียงของเฉินเฟยอวี๋แต่ปลายเสียงของเขายังมีความเด็ดขาดอยู่มาก
เมื่อไปถึงที่รถ หลี่เจี่ยซินเปิดกระโปรงหลังรถ ยกกระเป๋าใบใหญ่ที่น้ำหนักเกือบสามสิบกิโลของหลิวไห่ด้วยมือเดียว ยัดใส่ด้านหลังแล้วปิดกระโปรงรถอย่างเรียบร้อย
หลิวไห่มองดูผู้หญิงตัวเล็กคนนี้ด้วยความสนใจ
“ไปค่ะ อย่ายืนตากลมอยู่แล้ย เธอจะไม่สบายนะ รีบขึ้นรถเร็ว”
หลี่เจี่ยซินดูแลเฉินเฟยอวี๋เหมือนเขาเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง กระทั่งประตูรถหญิงสาวร่างเล็กคนนี้ยังเป็นฝ่ายเปิดให้
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวไห่ถูกผู้หญิงดูแลเช่นนี้ ที่ผ่านมาบอดี้การ์ดของเขาล้วนเป็นผู้ชายร่างยักษ์ เมื่อกลายเป็นผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่งเขาจึงรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง
แต่เมื่อคิดถึงเงินห้าสิบหยวนยับ ๆ ที่เขาเก็บใส่กระเป๋าอย่างดีแล้วก็รู้สึกอยากเอาคืน
เธอคนนี้จะรู้หรือเปล่าว่าการที่ได้เขาแล้วทอดทิ้งแบบนั้นทำให้เขาเสียหน้ามากขนาดไหน
เมื่อเข้ามานั่งในรถ หลี่เจี่ยซินยังช่วยเขาคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะออกรถอย่างคล่องแคล่ว กระทั่งเป็นฝ่ายชวนคุยอย่างสนิทสนม
“งานที่ฮ่องกงเรียบร้อยดีใช่หรือเปล่า”
“อืม ก็ดี”
หลี่เจี่ยซินมองเขาแวบหนึ่งชั่วระยะเวลาสั้น ๆ นั้น เฉินเฟยอวี๋หันมาสบตากับเธอ จู่ ๆ หลี่เจี่ยซินก็รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดง หญิงสาวกระแอมไล่ความคิดบ้า ๆ ของตัวเองออกไปชวนเขาคุยต่อ
“ไม่เจอเธอแค่อาทิตย์เดียวเธอดูเปลี่ยนไปมากเลยนะ”
“ก็นิดหน่อย เรื่องบางเรื่องไม่ต้องฝึกก็เป็นเอง”
หลิวไห่หมายถึงท่าทางตุ้งติ้งแบบนี้ที่เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าจะทำได้แนบเนียนขนาดนี้ ในขณะที่หลี่เจี่ยซินคิดในทางตรงกันข้าม
“เธอคงแอบไปฝึกมาล่ะสิ”
หลิวไห่ยกมุมปาก ปกติเขาเป็นคนไม่ชอบพูดแต่ในฐานะที่แสดงตัวเองเป็นน้องชายทำให้เขาต้องพูดมากกว่าปกติ
“ก็บอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอ มีอะไรแปลกล่ะที่รัก”
อื้ม อย่างน้อยคำว่าที่รักเขายังทอดเสียงยาวเหมือนเดิม
“ก็มันไม่ชินนี่นา แต่เอาเถอะให้เวลาฉันหน่อย ฉันจะทำในส่วนของฉันให้ดี”
หลิวไห่จึงถามเธอว่า
“ที่บริษัทเรียบร้อยดีหรือเปล่า”
หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า เธอไม่ได้เก่งเรื่องการดูแลภายในบริษัท แต่ในฐานะคู่หมั้นของเขาก็เลยต้องรู้ทุกเรื่องในเวลาที่เขาไม่อยู่
“คนของบริษัทกู้เมิ่งมาหาเธอที่บริษัทสองรอบ ฉันก็ได้แต่ยื้อเอาไว้บอกว่าถ้าเธอกลับมาจะติดต่อกลับเอง”
“ที่รัก เรียกฉันว่าที่รักให้ชินปาก เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ”
หลี่เจี่ยซินหัวเราะในลำคอ ถึงเขาจะดูเปลี่ยนจนแตกต่าง แต่ท่าทางเอาแต่ใจในตอนที่ขอให้เธอทำอะไรยังคงเหมือนเดิม”
“ก็ได้ ที่รัก ขอโทษฉันนี่ชอบลืมอยู่เรื่อย”
หลิวไห่ยกยิ้มเล็กน้อยอย่างพอใจ
หลี่เจี่ยซินจึงถามต่อ
“แล้วที่รักของฉันจะเอายังไงล่ะ จะติดต่อพวกมันไปหรือเปล่า”
หลิวไห่เอนเบาะลงปรับให้พอดีกับร่างสูง ๆ ของเขา แล้วหลับตาลงเพราะต้องการพักผ่อนก่อนจะตอบเธอเสียงเบาแต่หนักแน่น
“ไม่หรอก บริษัทนี้ไม่คิดจะขายให้ใครดังนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะสนใจพวกมัน”
เขาหลับตาลงตั้งใจพักผ่อนสักหน่อย หลี่เจี่ยซินเห็นท่าทางของเขาดูเหนื่อย ๆ จึงไม่ได้พูดรบกวนอีก
เป็นเพราะหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาหลิวไห่แทบไม่ได้พักเต็มที่ เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องกระทันหันจึงทำให้เขามีเวลาน้อยที่จะเตรียมตัว ในขณะที่น้องชายฝาแฝดของเขาตกเย็นมาก็แปลงโฉมออกเที่ยวอย่างสนุก
ในรถเงียบราวสิบนาทีเสียงโทรศัพท์ของหลี่เจี่ยซินก็ดังขึ้น เธอคิดจะปัดสายทิ้งเพราะเกรงว่าจะรบกวนที่รักของตัวเองเข้า แต่ถูกหลิวไห่ทัดทานเอาไว้ก่อน
“รับเถอะ”
หลี่เจี่ยซินจึงกดรับสาย สายคู่สนทนาออกทางลำโพงเป็นเสียงคนแก่คนหนึ่ง
“ย่าคะ”
“เสี่ยวเจี่ย วันนี้หลานเขยกลับมาแล้วใช่หรือเปล่า พาเขามาทานน้ำซุปสูตรพิเศษกับย่าที่บ้านหน่อยสิ”
“ย่าคะ หลานเขยของย่าเพิ่งกลับมาถึงให้เขาพักสักหน่อยนะคะ เสี่ยวเจี่ยสัญญาว่าจะไปหาย่าวันหลังค่ะ”
หลี่เจี่ยซินปรายตามองผู้ชายตัวสูงด้านข้างที่กำลังหลับตาพริ้ม
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร วันหลังก็ได้ย่าก็ลืมไปว่าเขามีงานยุ่ง”
“ผมจะไปครับ รบกวนคุณย่าแล้ว”
หลี่เจี่ยซินมองเขาที่รับคำเชิญของคุณย่า ทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาแบบนั้น
ที่ผ่านมาเฉินเฟยอวี๋มักจะหาทางหลีกเลี่ยงไปพบคุณย่าของเธอเพราะเขาขี้เกียจแสดงละครให้คนแก่ดู แต่ตอนนี้ทำไม่ถึงได้เสนอตัวเองล่ะ
ปลายสายสนทนาดูเหมือนจะดีใจมาก คนชราจึงบอกว่า
“หลานเขยมาพักที่บ้านของย่าให้หายเหนื่อย ดื่มยาบำรุงไปสักชามรับรองว่ากำลังจะกลับมาแข็งแรงยิ่งว่าเดิม ดูอย่างเสี่ยวเจี่ยสิแข็งแรงขนาดนี้ไม่เคยเจ็บป่วยเลยทั้งหมดล้วนเป็นเพราะยาบำรุงของย่าส่วนหนึ่ง”
หลี่เจี่ยซินหัวเราะ รับปากรับคำคนชราว่าจะรีบพาหลานเขยไปหาก่อนที่คนแก่จะวางสายไป
“ขอโทษที่รักด้วยนะคะ ย่าแก่มากแล้วช่วงนี้เลยอาจจะเหงาอยู่บ่อย ๆ”
หลิวไห่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ไม่เป็นไร ผมก็อยากพบคุณย่าในฐานะหลานเขยเหมือนกัน”
หลี่เจี่ยซินฟังแล้วก็รู้สึกแปลกหูมาก เฉินอวี้เฟยคนนี้ไม่น่าเชื่อว่าภายในเวลาแค่หนึ่งสัปดาห์จะดูเหมือนเป็นคนละคนได้ขนาดนี้
แต่ในเมื่อเขายินดีไปพบคุณย่าของเธอด้วยความเต็มใจ หลี่เจี่ยซินเองก็ดีใจไม่น้อย ในชีวิตของเธอนอกจากโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้แล้วก็มีเพียงคุณย่าที่อาศัยอยู่บ้านเดิมที่สำคัญกับเธอมากที่สุด