หลังจากปล่อยคนไปแล้ว หลี่เจี่ยซินก็นำกระเป๋าสตางค์ใบนั้นให้คู่หมั้นดู ปกติเฉินเฟยอวี๋ไม่เคยสนใจเรื่องประเภทนี้มักจะยกให้หลี่เจี่ยซินจัดการทั้งหมด แต่คราวนี้เรื่องที่น่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อเฉินเฟยอวี๋บอกว่าจะสืบต่อเอง
“เธอไม่ต้องสืบต่อแล้ว ฉันจะให้คนของฉันสืบต่อเอง”
หลี่เจี่ยซินหรี่ตา เธอไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเพราะลูกน้องของเธอก็ไม่ได้เก่งเรื่องเกี่ยวกับการสอบสวนเท่าไหร่ แต่สงสัยว่าเฉินเฟยอวี๋ไปมีคนตั้งแต่เมื่อไหร่
“ก็คนของเพื่อนเก่าที่เจอที่ฮ่องกงไงล่ะ ฉันบอกเธอแล้วนี่พวกเขาเก่งเรื่องนี้”
หลี่เจี่ยซินพยักหน้าเข้าใจ
“อ้อ จำได้แล้ว”
สองคนเดินออกจากโรงเรียน เด็ก ๆ ยังคงเรียนกันอย่างตั้งใจ หลี่เจี่ยซินอธบายให้เขาฟังด้วยความภูมิใจ
“ยังไงก็ต้องขอบคุณที่รักที่เข้ามาช่วยกู้สถาณการณ์ได้ทันเวลาพอดี ไม่งั้นแย่แน่เลย”
หลิวไห่รู้เรื่องนี้ดีเพราะน้องชายเล่าให้ฟังโดยละเอียด
“ถ้าวันนั้นไม่ได้ที่รักฉันอาจจะตายไปแล้วก็ได้ พยุงบริษัทและรอดมาได้จนถึงวันนี้ก็เพราะเธอนะ”
จู่ ๆ หลิวไห่ก็กอดเธอ หลี่เจี่ยซินยิ้มยอมให้เขากอด สองคนเดินไปด้วยกันจนกระทั่งมาถึงหน้าตึก กำลังจะขึ้นรถเสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็ทักหลี่เจี่ยซิน
“เจี่ยซิน สวัสดี”
แค่เพียงหลี่เจี่ยซินเห็นไอ้หนุ่มหน้ามนตัวสูงคนนั้นก็รีบผลักหลิวไห่ออกทันที
แรงของหลี่เจี่ยซินมีไม่ใช่น้อยหลิวไห่เกือบเสียหลักล้มลงไม่เป็นท่า หลี่เจี่ยซินนึกขึ้นได้รีบคว้าแขนของหลิวไห่เอาไว้ได้ทันก่อนที่เขาจะหน้าคว่ำลงไปกองคลุกหิมะ
หลิวไห่โกรธจัดจนหน้าแดง หลี่เจี่ยซินรีบปัดมือปัดไม้ให้เขาแม้ว่าเขาจะยังไม่ล้มก็ตาม
“ที่รักฉันขอโทษนะ ฉันลืมตัว”
หลี่เจี่ยซินดูจะตื่นเต้นผิดปกติ หลิวไห่เองก็มึนงง จู่ ๆ ถูกผลักออกโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้ง ๆ ที่เมื่อสักครู่กอดกันเดินออกจากตึกแท้ ๆ
ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ เห็นได้ชัดว่าหลี่เจี่ยซินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง หลิวไห่ยิ่งไม่พอใจ
“เจี่ยซินเธอก็อยู่ที่นี่เหรอ”
“อื้ม”
หลี่เจี่ยซินยิ้มอาย ๆ ยังบิดแขนเสื้อหลิวไห่เล่น
“นายมาตรวจลาดตระเวณเหรอ”
“ใช่ ผ่านมาทางนี้เลยแวะดูความเรียบร้อยให้เธอหน่อย ก่อนหน้านี้ก็ไปอีกเขตเห็นโรงเรียนของเธออีกสาขาสงบดีก็วางใจแล้ว”
หลี่เจึ่ยซินยิ้มหน้าบาน
“นายยังใจดีกับฉันเหมือนเดิมนะ”
“สำหรับเธอเท่านั้นแหละ”
เขาหยอดคำหวาน หลี่เจี่ยซินทั้งเขินทั้งอายม้วน ดูผิดปกติวิสัยเป็นอย่างยิ่ง
หลิวไห่กระแอมหลายครั้ง ดูเหมือนว่าสองคนนั้นกำลังเตะขาออกจากตรงนี้ เหมือนเขาเป็นส่วนเกินหรืออะไรสักอย่าง
หลี่เจี่ยซินเพิ่งจำได้ว่าเฉินเฟยอวี๋อยู่กับเธอ เธอจึงแนะนำเขาให้กับเพื่อนรักที่เป็นตำรวจคนนี้ให้เขารู้จัก
“อ้อลืมแนะนำไปเลย นี่เพื่อนสมัยเด็กของฉันค่ะ เขาคือ ผู้กองหูเสี่ยวเทียน ส่วนนี่ก็เป็นเจ้านายของฉันค่ะ คุณเฉินเฟยอวี๋”
หลิวไห่กระแอมเมื่อหลี่เจี่ยซินแนะนำตัวเขาไม่ครบ หลี่เจี่ยซินพูดแค่นั้นก็มองนายตำรวจหูเสี่ยวเทียนนั่นตาเยิ้ม
หูเสี่ยวเทียนจึงพูดขึ้น
“ใช่ครับเราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก ผมมาเจอเธออีกครั้งไม่นานมานี้ ยังเป็นเหมือนเดิม ผู้หญิงตัวเล็ก น่ารักสดใสที่แสนอ่อนแอคนเดิม ผมยังไม่เชื่อเลยว่าเธอจะสามารถดูแลโรงเรียนสอนศิลปะของพ่อต่อได้ ยังขยายสาขาอีก ผมนี่ทึ่งมากเลย ทั้ง ๆ ที่เธอบอบบางและอ่อนแอแบบนี้”
หลิวไห่แทบจะดวงตาถลนออกมา เขาจ้องหลี่เจี่ยซินเหมือนเธอเป็นตัวประหลาด
หลี่เจี่ยซินนี่นะ อ่อนแอ น่าทะนุถนอม บอบบาง ช่างเป็นคำนิยามที่ตรงข้ามกับเธออย่างสิ้นเชิง
หูเสี่ยวเทียนยื่นมือมา ทำความรู้จักกับเขา หลิวไห่ยื่นมือออกไปจับและค่อนข้างจะบีบแน่นสักหน่อย
หูเสี่ยวเทียนเองก็รู้สึกว่าแรงบีบค่อนข้างเยอะ กระทั่งเจ้านายของหลี่เจี่ยซินพูดขึ้นมาว่า
“ผมนอกจากจะเป็นเจ้านายของเธอแล้ว ยังเป็นคู่หมั้นที่ใกล้จะแต่งงานกันด้วย”
หลี่เจี่ยซินคาดไม่ถึงว่าเขาจะกันซีนเธอขนาดนี้ เธอมองคู่หมั้นหนุ่มด้วยสายตาผิดหวัง เธอรู้ว่าเฉินเฟยอวี๋เกลียดตำรวจเพราะเคยถูกนายตำรวจหักอกมา แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อย ทำไมเขาถึงพาลได้ขนาดนี้
หูเสี่ยวเทียนเองก็ชอบหลี่เจี่ยซินมานาน การที่ผู้ชายคนนี้จู่ ๆ ประกาศตัวเป็นคู่หมั้นของหลี่เจี่ยซินทำให้เขาตกใจ
เมื่อตกใจจึงเผลอบีบมือของหลิวไห่แน่นเช่นกัน
สองหนุ่มกำลังต่อสู้กันด้วยกำลัง ดูเหมือนว่าแรงของทั้งสองคนจะพอ ๆ กัน แต่สุดท้ายคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมย่อมชนะ นายตำรวจหนุ่มแสนซื่อจะสู้ผู้ชายที่ผ่านคุกมาอย่างหลิวไห่ได้ยังไง
สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นฝ่ายแพ้และต้องรีบดึงมือออกอย่างรวดเร็ว
หลิวไห่ยิ้มเยาะเย้ย หลี่เจี่ยซินเองคอตก ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง คราวนี้เธอขายไม่ออกแน่แล้ว
หูเสี่ยวเทียนที่กำลังผิดหวังจึงพูดขึ้น
“ยังไงวันนี้ฉันขอตัวก่อนนะ มีอีกหลายที่ต้องไปลาดตระเวณ”
“อื้อ ไว้เจอกันนะ อาหารมื้อที่นายติดฉันอยู่ฉันยังรออยู่นะ”
หลิวไห่ควันออกหู เขาจึงพูดขัดขึ้น
“ในฐานะที่เป็นคู่หมั้น ขอตามแฟนไปทานอาหารด้วยจะได้หรือเปล่าครับ ไหน ๆ ก็เป็นเพื่อนเก่ากัน เพื่อนของคู่หมั้นผมเองก็อยากสนิทด้วย”
หูเสี่ยวเทียนอยากจะตะโกนใส่หน้าผู้ชายหน้าทนคนนี้นัก
ไม่อยากสนิทโว้ย
แต่ด้วยมารยาทจึงได้แต่ทนกล้ำกลืนเอาไว้ ได้แต่พยักหน้ารับ
“ยินดีครับ วันนี้ขอตัวก่อนนะครับ”
หูเสี่ยวเทียนขับรถตำรวจออกไปแล้ว หลิวไห่กอดไหล่ของหลี่เจี่ยซินเอาไว้ เธอสบัดมือของเขาออกแล้วพูดอย่างโกรธ ๆ
“กันซีนฉันรู้หรือเปล่า ไม่ชอบตำรวจแต่ก็ไม่น่าทำขนาดนี้”
หลิวไห่ตามน้ำ
“รู้แล้วก็อย่าทำ ฉันบอกก่อนว่าฉันไม่ชอบหน้าไอ้หมอนั่น”
“แต่เขาเป็นเพื่อนฉันนะ อีกอย่าง ฉันน่ะ ก็แอบชอบเขาอยู่”
หลิวไห่แทบจะพ่นไฟออกจากปากเมื่อได้ยินคำนี้
“อ้อ ก็เลยแสร้งทำอ่อนแอต่อหน้าเขาเพราะกลัวเขารู้ตัวตนของเธอแล้วจะไม่ชอบล่ะสิ”
หลี่เจี่ยซินแทบจะร้องไห้ออกมา
“ก็ใช่น่ะสิ เขาชอบผู้หญิงตัวเล็กน่ารักแรงน้อย ฉันนี่ตรงกันข้ามกับคำว่าแรงน้อยเลย ถ้าฉันบอกความจริงว่าฉันเป็นยังไงกลัวจะวิ่งหนีไปน่ะสิแค่นี้โอกาสของฉันก็น้อยนิดแล้ว รอบกายของเขามีแต่ผู้หญิงประเภทนี้ทั้งนั้น”
หลิวไห่ถอนหายใจออกมา
“ถ้าเขาไม่ชอบตัวตนของเธอ เธอจะฝืนทำไมล่ะ”
หลี่เจี่ยซินตอบเสียงเบา
“ก็ไม่รู้สิ บางทีคงเป็นเพราะฉันชอบเขามากจนอยากให้เขาชอบฉันล่ะมั้ง”
หลิวไห่พ่นไฟออกจากปากอีกครั้งโดยที่หลี่เจี่ยซินไม่รู้ เขาลากเธอไปขึ้นรถเป็นฝ่ายคาดเข็มขัดนิรภัยให้
หลี่เจี่ยซินนั่งหงอยถามเขาว่า
“เราจะไปไหนกันต่อล่ะ”
หลิวไห่ยกมุมปากคล้ายจะยิ้ม
“เธอกับฉันหมั้นกันภาษาอะไร แม้แต่แหวนหมั้นยังไม่มี ฉันจะพาเธอไปซื้อแหวนหมั้น”
หลี่เจี่ยซินหันขวับมองเขาทันใด
“แหวนหมั้นเหรอ ทำไมต้องใส่มันด้วยล่ะ”