หลี่เจี่ยซินมองตามหลังของเฉินอิ่งไปอย่างครุ่นคิด ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนว่าจะไม่กลัวเฉินเฟยอวี๋แม้แต่น้อย ตั้งแต่เธอทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้เฉินเฟยอวี๋หลายครั้งที่หลี่เจี่ยซินมั่นใจว่าเป็นฝีมือของเฉินอิ่งที่ลอบทำร้ายเฉินเฟยอวี๋เพราะเรื่องธุรกิจ
หลิวไห่มองเธอดวงตาเป็นประกาย ท่าทางกังวลของหลี่เจี่ยซินทำให้เขาแอบยิ้ม
หญิงสาวขยับเข้ามาใกล้เขาแล้วก้มลงมาเท้าแขนกับโต๊ะทำงานพร้อมกับถามเฉินเฟยอวี๋
“ที่รัก เธอไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้ต่อปากต่อคำกับเฉินอิ่งได้ทั้งที่แต่ก่อนกลัวผู้หญิงคนนั้นหัวหดแทบจะวิ่งมาหลบอยู่ข้างหลังฉันด้วยซ้ำ”
หลิวไห่สบตาของหญิงสาว
“ความกล้าเหรอ ก็มาจากเธอไง”
เฉินเฟยอวี๋ชี้มือเข้าที่หน้าอกต้วเอง
“ฉันเหรอ”
หลิวไห่พยักหน้า เขาชอบมองท่าทางแปลกใจของหลี่เจี่ยซิน
“ใช่สิ”
“ยังไง ความกล้าจากฉันได้ยังไง ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
“ก็เพราะเธออยู่ที่นี่ ต่อให้เฉินอิ่งลงมือเธอก็ต้องจับน้องสาวฉันหักมือไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นแตะต้องฉันได้แน่ ๆ ฉันคิดว่าฉันขี้ขลาดมานาน ฉันเลยอยากจะลองท้าทายผู้หญิงคนนั้นสักหน่อย”
หลี่เจี่ยซินเข้าใจแล้ว
“อ้อ แต่ก่อนไม่เห็นคิดแบบนี้นี่ จู่ ๆ กล้าหาญแบบนี้ฉันเลยตกใจน่ะ”
หลิวไห่ยิ้ม
“บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าฉันจะสู้ไม่ถอยต่อไปก็คงมีอีกหลายเรื่องทำให้เธอประหลาดใจ”
หลี่เจี่ยซินหัวเราะเบา ๆ ขยับเข้าใกล้ตัวเฉินเฟยอวี๋มากกว่าเดิม รู้สึกว่าในตอนที่เขามาดแมนแบบนี้ดูดีไม่น้อย
“ฉันชอบที่เธอเป็นแบบนี้นะ ดูกร้าวใจดี”
“ฉันจะทำให้เธอชอบมากกว่านี้อีก”
หลี่เจี่ยซินลูบที่ไหล่ของเขา
“คิดว่าจะยั่วฉันสำเร็จเหรอ ฉันไม่ใช่ของเล่นนะ”
หลิวไห่ยักไหล่
“ก็ไม่แน่นะ ใครจะรู้ล่ะอะไรก็เกิดขึ้นได้”
หลี่เจี่ยซินดูเหมือนจะนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ สายตาของเขาแบบนี้ดูอันตรายเป็นอย่างยิ่ง
“ฉันขอตรวจดูนี่อีกสักหน่อย”
หลิวไห่ไม่คุยต่อแล้ว คราวนี้เขาก้มหน้าก้มตาอ่านรายงานการเงินโดยละเอียด เขาพบจุดที่บกพร่องหลายจุดและยังใช้ปากกาวงกลมเอาไว้หลายจุด
เวลาผ่านไปราวชั่วโมงหลิวไห่จึงถอนหายใจออกมา ตัวเลขหลอกลวงกันแบบนี้เฉินเฟยอวี๋คงเชื่อสนิทใจ คงเพราะเป็นแบบนี้เฉินเฟยอวี๋ถึงได้บริหารขาดทุนย่อยยับแบบนี้
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เป็นเลขาของเฉินเฟยอวี๋อีกคน
เธอเดินเข้ามาแล้วนำการ์ดเชิญมาให้เขาพร้อมกับอธิบาย
“ท่านประธานคะนี่คือการ์ดเชิญเพื่อสร้างสัมพันธ์ของสกุลกู้ค่ะ ประธานกู้จัดงานเลี้ยงทั้งยังเชิญผู้บริหารหลายบริษัทเข้าร่วมงานในสัปดาห์หน้าค่ะ งานนี้มีทั้งคนในวงสังคมนักการเมืองใหญ่ทั้งระดับชาติและท้องถิ่นเข้าร่วมงาน ดิฉันดูตารางงานของท่านในวันและเวลานั้นแล้วไม่ได้ติดอะไร ท่านประธานจะให้ตอบรับเลยหรือเปล่าคะ”
อันที่จริงเลขาของเขาอยากจะบอกว่า ตารางของเฉินเฟยอวี๋ว่างและมีเวลาเหลือเฟือจนน่าตกใจ
หลิวไห่รับการ์ดเชิญจากเลขา เขาเปิดดูการ์ดสีแดงและตัวหนังสือจึนที่เป็นทางการด้านในเขาคิดอยู่แล้วว่าเป็นบริษัทของกู้เมิ่ง แต่เขาก็ยังถามเลขาออกไป
“ประธานกู้ที่ว่านี่ชื่ออะไรเหรอครับ และเป็นใครมาจากไหน”
เลขาตอบเขาอย่างสุภาพ
“เห็นว่าเพิ่งย้ายมาจากฮ่องกงเพื่อดูแลขยายกิจการค่ะ เป็นลูกชายคนเดียวของสกุลกู้ชื่อกู้เมิ่งค่ะ คนหนุ่มไฟแรงที่มีความสามารถคนหนึ่งเลยทีเดียว”
หลิวไห่ถึงกับหัวเราะเสียงดังแต่น้ำเสียงนั้นดูขมขื่นอยู่ในที
“คนหนุ่มมีความสามารถเหรอครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ใช่ค่ะ เห็นใคร ๆ ต่างก็พูดถึงเขาแบบนั้นหากท่านประธานลืมก็คือคนที่ต้องการควบรวมกิจการของบริษัทเราค่ะ เป็นคนคนเดียวกัน”
หลิวไห่พยักหน้า ดูเขาไม่ได้ตกใจอะไร
“คุณออกไปก่อนเถอะ ผมจะพิจารณาอีกทีว่าสมควรไปหรือเปล่า”
“ได้ค่ะ”
เมื่อเลขาปิเดประตูห้องแล้ว หลี่เจี่ยซินถามเขาว่า
“เกิดอะไรขึ้นถึงได้หัวเราะแบบนั้น ทำไมล่ะ หรือว่ากลัวจนเพี้ยนแล้วเหรอ ไม่ต้องกลัวนะถ้าที่รักไปฉันก็จะอยู่ข้าง ๆ คอยดูแลความปลอดภัยให้อย่างเต็มที่”
“ไม่ได้กลัวแบบนั้นสักหน่อย”
หลิ่วไห่ไม่อธิบายให้หลี่เจี่ยซินฟัง เขาก้มลงกวาดสายตาอ่านทุกตัวอักษรในการ์ดอย่างละเอียด
เขาคิดว่าหากเขาไปเกรงว่ากู้เมิ่งจะรู้ตัวเร็วเกินไปอาจจะส่งผลเสีย เขาอยากพบกู้เมิ่งในตอนที่เขากอบกู้บริษัทนี้ให้มั่นคงกว่านี้ และให้คนเลวคนนั้นรู้ว่าไม่มันไม่สามารถจะซื้อบริษัทนี้ได้ เขาย่อมรู้ดีว่างานแรกที่ประธานกู้มอบหมายให้กู้เมิ่ง ก็คงเป็นการเทคโอเวอร์เฉินอวี๋เทคโนโลยี
บริษัทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกที่เคยเป็นบริษัทแถวหน้ามีมูลค่าทรัพย์สินมหาศาลแห่งนี้ บริษัทที่มีผู้บริหารห่วยแตกและยังเป็นเกย์อีกด้วย กู้เมิ่งคงคิดว่าคงจะสามารถยึดครองได้อย่างง่ายดายสินะ
“ที่รัก ที่รัก”
หลิวไห่เหม่อลอย หลี่เจี่ยซินตบไหล่เขาเบา ๆ กระทั่งเขารู้สึกตัว
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
หลิวไห่ส่ายหน้า
“คิดอะไรเพลิน ๆ น่ะ ไม่ได้กลัวใครแบบที่เธอคิดหรอกสบายใจได้”
“แล้วเธอจะไปหรือเปล่างานเลี้ยงน่ะ จะได้ให้คนเตรียมชุดสูทชุดใหม่ให้เร่งตัดใหม่ตอนนี้ก็น่าจะทัน”
หลิวไห่ส่ายหน้า เขาตัดสินใจแล้ว
“ยังไม่ถึงเวลา เห็นว่าเฉินอิ่งสนิทกับประธานกู้คนนี้นี่ ให้เฉินอิ่งไปแทนก็แล้วกัน”
หลี่เจี่ยซินเองก็กลัวว่าเฉินเฟยอวี๋จะเกิดเรื่อง อีกทั้งงานในบริษัทแห่งนี้เขาก็แทบจะไม่รู้อะไรเลยจึงคิดว่าเขาไม่ไปน่ะถูกต้องแล้ว อย่างน้อยต้องเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมให้มากกว่านี้
“ฉันก็คิดแบบนั้น ที่รักยังต้องฝึกปรือฝีมืออีกหน่อย”
หลิวไห่มองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน
“ห่วงเหรอ”
หลี่เจี่ยซินพยักหน้า
“อื้อ ห่วงสิเกิดไปทำขายหน้าล่ะอายเขาแย่เลย”
จู่ ๆ เขาก็ดึงหลี่เจี่ยซินให้นั่งลงบนตักของเขา ยังรวบตัวกอดเธอเอาไว้หลี่เจี่ยซินยังไม่ชินกับพฤติกรรมแปลกประหลาดของเขาแต่เธอก็ไม่ได้ขัดขืน
“สัญญาว่าต่อไปจะไม่ทำให้คู่หมั้นของฉันขายหน้าอีก ไม่ต้องกลัวนะ”
หลี่เจี่ยซินถูกเขาจ้องด้วยสายตาแสนอบอุ่น จู่ ๆ เธอก็รู้สึกหน้าแดงและกระดากอาย เธอจึงดึงมือของเขาออกแล้วลุกขึ้นทันที
“เอ้อ ฉะ ฉันไปเอากาแฟให้ที่รักนะ”
หลี่เจี่ยซินหาทางเลี่ยงเขา เธอเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
หลิวไห่มองเธอจนลับสายตา ดวงตาเป็นประกายพร้อมกับยิ้มออกมา
“หลี่เจี่ยซิน เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าเวลาเธออายแบบนี้แล้วน่ารักเป็นบ้า”