ในขณะที่หลิวไห่หัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่เพียงลำพัง ผู้ชายคนนั้นก็ออกมาด้านนอกพร้อมใครอีกคน หลิวไห่ตามเขาไปโดยไม่ลังเล ท่าทางคนพวกนั้นดูมีพิรุธ พวกเขากำลังคุยอะไรกันหลิวไห่ไม่ได้ยินแล้ว
สองคนหายเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่ง หลิวไห่ตามไปอย่างเงียบเชียบจนพบมุมหนึ่งที่สามารถหลบได้ กระทั่งมีคน ๆ หนึ่งประชิดตัวเขา
หลิวไห่เตรียมฟันศอกใส่อย่างเต็มที่แต่กลับถูกคนคนนั้นจับศอกของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา
เธอไม่หลบเขายังก้มลงมาแล้วใช้นิ้วชี้จรดที่ปากของตัวเองเป็นการบอกเขาให้เงียบ
ที่แท้เป็นหลี่เจี่ยซินนั่นเอง
เขาทำสัญญาณมือว่าตามเขามาได้ยังไง
หลี่เจี่ยซินเอาแต่ยิ้ม ในตอนนี้ไม่สะดวกให้คุยกันสักเท่าไหร่ พวกเขาจึงแอบดูสองคนนั่นโดยเบียดกันอยู่ในมุมหนึ่ง
หลี่เจี่ยซินอยู่ใกล้กับอกของเขา ได้กลิ่นหอม ๆ บนตัวของเฉินเฟยอวี๋แล้วทำให้เธอรู้สึกดี เมื่อรู้สึกดีจึงอดไม่ได้ที่จะซบหน้าลงตรงซอกคอสูดดมเขาหนักขึ้น มือไม้เกินจะควบคุม เธอเริ่มต้นลวนลามเฉินเฟยอวี๋โดยที่เขาไม่สามารถขัดขืนหรือยับยั้งเธอได้เพราะแรงสู้หลี่เจี่ยซินไม่ได้แม้แต่น้อย
เฉินเฟยอวี๋ตัวแข็งทื่อ เขาขัดขืนไม่ได้ ร้องไม่ได้ โวยวายไม่ได้ และตัวเขาเองก็รู้สึกดีที่ใบหน้าของหลี่เจี่ยซินซุกอยู่ตรงซอกคอของเขา และเธอกำลังดูดคอของเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ลิ้นนุ่ม ๆ นั่นทำให้เขาแทบระเบิด
“หอมจังเลย อื้อ ที่รักฉันชอบกลิ่นของเธอมากเลยรู้หรือเปล่า”
หลี่เจี่ยซินพึมพำราวกับคนเมา
“ทะที่รัก ปะปล่อยฉันเถอะ เรากำลังตามคนอยู่นะ”
“อื้อ ที่รักอีกนิดนะ อีกนิดเดียว”
อันที่จริงมีคนคนหนึ่งแอบเห็นพวกเขาแล้ว แต่เมื่อเห็นสภาพที่เฉินเฟยอวี๋ถูกลวนลามอย่างหนักจึงได้แต่หลบไปเพราะคิดว่าเป็นคูรักหนุ่มสาวที่ทนไม่ไหวจนแอบมาเสียดสีกันที่มุมมืด
เสียงคนอีกคู่ที่กำลังเดินคุยกันมาและเดินผ่านพวกเขาไปโดยที่ไม่เห็นทำให้หลี่เจี่ยซินได้สติ
เธอเห็นว่าเฉินเฟยอวี๋ตัวแข็งยังมือสั่นเล็กน้อยหญิงสาวจึงรู้สึกผิด ยกมือขอโทษขอโพยแทบไม่ทัน
เธอตีมือตัวเองหลายครั้งแล้วสาบานว่าถ้าไม่จำเป็นจะไม่ทำให้เขาตกใจเป็นกระต่ายน้อยอีก
ในขณะที่เฉินเฟยอวี๋นั้นกำลังควบคุมตัวเองอย่างหนักไม่ให้จับเธอกดลงบนพื้นแล้วถลกกระโปรงของเธอขึ้นยัดเยียดความเป็นสามีให้เธอพูดไม่ออก หลี่เจี่ยซินกลับกำลังคิดว่าเขากลัวเธอล่วงเกิน
เมื่อสองคนสงบจิตสงบใจได้แล้ว ต่างใบหน้าแดงก่ำตั้งใจดูสองคนนั่นที่พวกเขาสะกดรอยตามมา
หลี่เจี่ยซินลอบมองเฉินเฟยอวี๋ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาน่ารักขึ้นทุกวัน
น่าเสียดายที่กลายเป็นหญิงในร่างชายแบบนี้
หลี่เจี่ยซินตามเขาออกมาตั้งแต่มองไม่เห็นเขาในงานเลี้ยงแล้ว คิดว่าเขาคงจะงอนเพราะเห็นหลิวไห่กำลังจีบผู้ชายร่างสูงคนนั้นที่เธอเข้าไปคุยด้วย พวกเขาคงไปเป็นก้างขวางคอ จึงทำให้เฉินเฟยอวี๋โกรธเธอมาก
แต่หลี่เจี่ยซินก็คิดว่าเฉินเฟยอวี๋รุกผู้ชายเกินไป เขาตัวไปติดก้นเขาแนบชิดแบบนั้นใคร ๆ ก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา
หลี่เจี่ยซินเองก็ภูมิใจตัวเองไม่น้อยที่วันนี้ทำให้เพื่อนเก่าของเธอเกิดความรู้สึกดี ๆ ด้วย ถึงการเต้นรำจะไม่รอดเพราะเธอไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมของเขาก็เถอะ
เธอขอตัวมาเข้าห้องน้ำ แล้วแอบตามหาเฉินเฟยอวี๋ การตามหาที่รักของเธอนั้นไม่ยากหรอกในเมื่อเธอมีจมูกที่ดีขนาดนี้ กลิ่นของเฉินเฟยอวี๋อยู่ไหนเธอก็แค่เดินตาม
จนกระทั่งมาพบเขากำลังแอบฟังคนสองคนนั่นคุยกัน
เธอนั่งลงข้างเขาแล้วตั้งใจฟังอย่างเงียบเชียบ คนสองคนคุยกันอยู่พักใหญ่กระทั่งมีคนมาตามพวกเขา หลี่เจี่ยซินกับหลิวไห่จึงออกมาจากที่นั่น
เขายังหน้าบึ้งตึง หลี่เจึ่ยซินรู้ดีว่าเฉินเฟยอวี๋ขี้งอนแค่ไหนเธอจึงพยายามง้อเขา
“ฉันขอโทษนะ ไม่น่ามาเป็นก้างของเธอเลย และเรื่องเมื่อกี้อีก ตัวเธอหอมมากฉันอดใจไม่ไหว เอาเป็นว่าฉันจะไม่ทำอีกแล้วนะ ฉันขอโทษจริง ๆ อย่าโกรธเลยนะ”
“เห๊อะ คนที่เป็นก้างคงเป็นฉันมากกว่า ไม่อยู่กับเพื่อนรักของเธอล่ะ เขาไม่ตามหาแล้วเหรอ หายมานานขนาดนี้”
“โอ๊ะ จริงด้วย รอฉันแป๊บนะฉันจะกลับกับเธอ”
หลี่เจี่ยซินนึกได้ว่าเธอหายมานานเกินไปแล้ว ในสายตาของหูเสี่ยวเทียนเธอเป็นแค่สาวน้อยอ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้นนี่นา
เธอกดโทรศัพท์โทรไปหาเขาทันที
หลี่เจี่ยซิน : ฮัลโหลเสี่ยวเทียนขอโทษนายนะ วันนี้เกิดรู้สึกไม่สบายฉันนั่งแท็กซี่กลับก่อน
หูเสี่ยวเทียน : เป็นอะไรมากหรือเปล่า รอฉันกำลังไปหาเธอ
หลี่เจี่ยซิน : ไม่ต้องหรอกแค่ปวดหัวน่ะ กลัวทำนายไม่สนุกฉันอยู่บนแท็กซี่แล้วขอโทษด้วยนะ ไว้เราค่อยนัดกินกาแฟกัน
หูเสี่ยวเทียน : ได้สิ พรุ่งนี้ฉันไปหาได้หรือเปล่า”
หลิวไห่ได้ยินเต็มสองหู เขาส่ายหน้าดวงตาแทบจะถลนออกจากเบ้า หลี่เจี่ยซินมองเขาแล้วยิ้มแหย ๆ เธอคิดว่ากลยุทธ์ของเฉินเฟยอวี๋ก็ดีไม่น้อย อย่าง่ายเกินไปไม่งั้นผู้ชายจะมองไม่เห็นค่า จึงขอบใจในคำแนะนำของเขา
หลี่เจี่ยซิน : พรุ่งนี้ฉันมีงานต้องทำ เอาไว้จะส่งข้อความหานะ
หูเสี่ยวเทียน : ได้…
เขายังพูดไม่จบ มือถือของหลี่เจี่ยซินก็ถูกหลิวไห่แย่งไปเสียแล้ว
เอาล่ะเมื่อจบเรื่องหูเสี่ยวเทียนได้เฉินเฟยอวี๋จึงถามเขาทันที คราวนี้เธอเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นงานเป็นการขึ้นทันใด
“เจ้านายทำไมต้องมางานด้วย คิดจะมาสืบข่าวเหรอคะ”
หลิวไห่พยักหน้า หลี่เจี่ยซินจับมือของเขาแล้วพาออกจากงานเหมือนเขาเป็นเด็กคนหนึ่ง ปากก็ตำหนิเขาด้วยความเป็นห่วง
“ที่รักเธออย่าทำเรื่องพวกนี้ให้ฉันตกใจอีกนะ หากเกิดอะไรขึ้นฉันได้ตายตามเธอไปแน่ ๆ”
หลิวไห่อยากจะหัวเราะแต่น่าเสียดายที่เขาขำไม่ออก
“ห่วงฉันเหรอ ห่วงฉันแล้วมาแรด ๆ กับผู้ชายนี่นะ”
ใช่แล้ว คำพูดพวกนี้คือเฉินเฟยอวี๋ไม่ใช่เขาที่คิดจะพูด หากเป็นเฉินเฟยอวี๋ก็คงจะพูดแบบนี้แหละ
หลี่เจี่ยซินรู้ว่าเขายังโกรธ เธอจึงง้อเขาอีกครั้ง
“ไม่ห่วงที่รักแล้วจะห่วงใคร นี่ไงฉันทำตามสัญญาแหวนหมั้นอยู่ที่นิ้ว ก็เธอบอกว่าจะพักผ่อนนี่ฉันก็บอกแล้วว่าจะออกมาเที่ยวกับเพื่อน”
เธอชูมือขึ้นให้เขาดู นั่นทำให้หลิวไห่รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย เขาเองที่ไม่รอบคอบไม่คิดว่าเพื่อนที่เธอพูดถึงจะเป็นไอ้หนุ่มหน้าหยกคนนั้น
หลิวไห่เดินนำหน้าหลี่เจี่ยซิน เขาพาเธอไปที่รถและหลี่เจี่ยซินก็เป็นคนขับ
“แล้ววันนี้ได้ข่าวอะไรมาหรือเปล่า คนพวกนั้นเป็นใครเหรอ”
หลิวไห่ไม่ปิดบัง
“คนของกู้เมิ่ง พวกวายร้ายน่ะ น่าเสียดายว่าไม่รู้ว่ามันคุยอะไรกัน”
หลี่เจี่ยซินยิ้ม
“ที่รักอยากรู้ก็อ้อนวอนฉันสิ ฉันจะบอกว่าพวกเขาคุยอะไรกัน”
หลิวไห่ดวงตาแทบถลนออกจากเบ้า เขาถามอย่างไม่แน่ใจ
“อย่าบอกนะว่าเธอได้ยินที่พวกเขาพูด”
หลี่เจี่ยซินส่ายหน้า
“ถึงฉันจะเก่งแต่ก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้น”
หลิวไห่หัวเราะ
“ในเมื่อไม่ได้ยินแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะ นี่เธอปั่นหัวฉันเล่นเหรอ”
หลี่เจี่ยซินหมุนพวงมาลัยพาเขาจอดที่หน้าผับแห่งหนึ่ง หลิวไห่มองเธอด้วยความสงสัย
“อะไรอีก”
“ไปเที่ยวกันเถอะ”
“ไม่มีอารมณ์กลับบ้านกันเถอะ” เขากอดอกคิดว่ายังไงก็จะไม่ยอมลงไปจากรถเด็ดขาด
“ไปเถอะน่า มีของดีในนั้นนะ”
“ไม่เอา ไม่มีอารมณ์เที่ยว”
หลิวไห่ปฏิเสธเสียงแข็ง อะไรของแม่สาวคนนี้ เขายังมีงานให้ทำอีกมาก ไหนจะต้องถอดรหัสแฟรชไดรฟ์นั่นอีกเธอกำลังทำให้เขาเสียเวลา
“ที่รักฉันจะบอกเธอให้นะ ถึงฉันจะไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกันแต่ฉันก็อ่านปากได้ คนพวกนั้นคุยกันถึงผับแห่งนี้ เที่ยงคืนพวกเขามีนัดสำคัญกับคนคนหนึ่ง ถ้าอยากรู้เราก็แค่เข้าไปเที่ยวกัน ฉันรู้ว่าพวกเขาอยู่ห้องวีไอพีที่เท่าไหร่”
คราวนี้หลิวไห่ถึงกับอึ้ง ในสมองของเขาเอาแต่คิดว่า
หลี่เจี่ยซินนี่เธอเป็นตัวอะไรกันแน่