หลังจากนั้นหลี่เจี่ยซินก็ถูกจับมัดอีกครั้ง เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้คล้ายกับเก้าอี้ที่เป็นของหมอฟัน หลี่เจี่ยซินแสร้งทำเป็นเสียงสั่นตื่นตระหนก
“พวกคุณจะทำอะไรกับฉันกันแน่”
ผู้ชายคนนั้นตอบเสียงเบา
“เราแค่ต้องการบางอย่างจากคุณ”
“อะไร ฉันไม่มีอะไรให้คุณหรอก คุณต้องการเงินเหรอ จะเอาเท่าไหร่ถึงฉันจะไม่รวยมากแต่ขอให้คุณปล่อยฉันไป ฉันยินดียกให้ทั้งหมด”
สคริปตรงนี้เธอไม่ค่อยชอบ เงินของเธอไม่ได้มีเยอะมากมายทำไมต้องยกให้หมอนี่ด้วย นี่มันน้ำพักน้ำแรงของเธอเชียวนะ
หลี่เจี่ยซินไม่ชอบใจ แต่เธอเป็นนักแสดงที่ดีเธอก็ต้องทำตามหน้าที่
“ผมไม่ต้องการเงินของคุณหรอก นอกจากเลือดของคุณที่มีค่ามากกว่าเงินทั้งหมดที่คุณมีในบัญชีเสียอีก”
“จะเอาเลือดฉันไปทำไม”
นักวิทยาศาสตร์คนนั้นไม่ตอบเธอแล้ว เขาเพียงแต่สั่งคนสองคนที่ตามเขาเข้ามาภายในห้องนี้หลังจากจับหลี่เจี่ยซินมัดจนติดเก้าอี้แล้ว
“พวกนายออกไปรอข้างนอก อย่าให้ใครเข้ามา”
พูดจบเขาก็ใช้บางอย่างรัดที่แขนของเธอ แล้วใช้หัวแม่มือกดเข้าที่แขนของหลี่เจี่ยซินแล้วแทงเข็มเข้าไปในนั้นพร้อมกับดูดเลือดของเธอออกมาหลอดใหญ่
คนพวกนั้นถอยออกไปแล้ว หลี่เจี่ยซินคิดว่าก็ดีเธอจะได้มีเวลาจัดการกับไอ้อ้วนคนนี้
“คุณต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะตรวจเลือดเสร็จ หากคุณไม่ใช่คนที่เราตามหาเราก็จะปล่อยคุณไป แต่หากว่าคุณอาจจะใช่ก็จะถูกกักตัวไว้ก่อน”
ผู้ชายคนนั้นถอดเข็มออกจากหลอดเลือดของเธอพร้อมกับเก็บเอาไว้ในกระเป๋าใบเล็กแล้วเขียนหมายเลข102ลงไปที่ด้านหน้ากระเป๋า
“นายจะเอาเลือดฉันไปทำอะไร”
หลี่เจี่ยซินรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง เธอพยายามระงับอารมณ์ของตัวเองไม่ให้ขุ่นมัวจนทำเรื่องยุ่ง แต่หากเธอไม่ลงมือตอนนี้คนพวกนั้นที่ได้เลือดของเธอไปก็อาจจะเอาไปทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อเธอได้ ต่อให้อยากรู้เรื่องของพวกเขามากกว่านี้แต่เธอก็รู้สึกว่ามันเสี่ยงเกินไปหากยังอยู่ที่นี่
หลี่เจี่ยซินไม่อาจปล่อยไปได้ เธอจึงพูดถ่วงเวลาเขาอีกหน่อย
“คุณจะบอกฉันดี ๆ ได้หรือเปล่าคะ ว่าที่แท้คุณต้องการอะไรกันแน่แล้วทำไมต้องขังผู้หญิงพวกนั้นเอาไว้ด้วย หากฉันไม่รอดอย่างน้อยฉันจะได้รู้ว่าตัวเองต้องตายเพราะอะไร ฉันเห็นผู้หญิงพวกนั้นแล้วไม่มีทางที่คุณจะปล่อยพวกเธอไปแน่ ๆ”
ผู้ชายคนนั้นเองชอบสติปัญญาของหลี่เจี่ยซินมาก ผู้หญิงคนนี้แม้มาอยู่ตรงนี้แล้วกลับไม่ร้องไห้โวยวายเหมือนคนอื่น ดูจะสงบกว่ามาก เขาจึงคิดว่าจะใจดีกับเธอสักครั้งยังไงก็แค่คนที่ถูกขังเอาไว้เท่านั้น
“ก็ตามที่คุณคิดนั่นแหละ เราได้เลือดมาแล้วและหากคุณใช่คนที่เราต้องการเรา คุณจะได้รับเกียรติทดลองในขั้นตอนถัดไป แต่หากว่าไม่ใช่แต่คุณดันสมองล้ำเลิศมันสมองของคุณอาจทำประโยชน์ได้ เอ่อ ในแง่วิทยาศาสตร์นั่นแหละเราต้องทดลองอีกมาก แต่หากไม่เข้าขั้นนั้นก็คงต้องส่งกลับ”
หลี่เจี่ยซินรู้มาว่าผู้หญิงที่หายไปไม่มีใครกลับบ้านแม้แต่คนเดียว ไอ้คำว่าถูกส่งกลับนั้นก็คงเป็นการฆ่าแน่นอน
“คุณพอจะบอกได้หรือเปล่าคะว่ากำลังทดลองอะไรอยู่ ท่าทางของคุณเก่งขนาดนี้ต้องเป็นเรื่องที่สุดยอดแน่นอน”
นักวิทยาศาสตร์คนนั้นดูจะหลงตัวเองอยู่มาก หลี่เจี่ยซินชมไปอย่างนั้นเขาก็ทำท่ายืดอก
“อย่ารู้เลย มันเป็นเรื่องที่คุณไม่เข้าใจหรอก คุณมันก็แค่นักวิจัยอวกาศนี่นะ”
เขายังดูถูกเธอและไม่ยอมบอก ก่อนที่จะจับกระเป๋าตัวอย่างเลือดของเธอและทำท่าจะเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน นายยังไปไหนไม่ได้”
ผู้ชายคนนั้นหันมามองเธอกำลังจะหัวเราะเยาะแต่กลับถูกเชือกเส้นใหญ่ตวัดเข้าใส่ใบหน้ากระทั่งถูกลูกตาจนเขาเจ็บจนต้องร้องออกมา
“โอ๊ย นี่มันอะไรกัน”
น่าเสียดายที่ห้องนี้เก็บเสียงคนข้างนอกจึงยังไม่ได้ยิน
หลี่เจี่ยซินตอนนี้เธอแก้มัดตัวเองเรียบร้อย ด้วยพลังเช่นเธอแค่ดึงเชือกที่มัดแน่นให้หลุดจากข้อมือนั้นเป็นเรื่องเล็ก หลี่เจี่ยซินเหวี่ยงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่วางอยู่ด้านข้างไปกระทบกล้องวงจรปิดจนกระทั่งมันแตก และเคลื่อนไหวรวดเร็วกระแทกฝ่ามือเข้าที่ต้นคอของเขาจนกระทั่งผู้ชายคนนั้นฟุบลงทันที
หลี่เจี่ยซินเก็บกระเป๋าตัวอย่างเลือดของตัวเองเอาไว้กับตัว จนกระทั่งคนสองคนที่เฝ้าอยู่ข้างนอกหันมาเห็นเข้าพอดีว่านักวิทยาศาสตร์คนนั้นกำลังล้มฟุบแทบเท้าหลี่เจี่ยซิน
พวกเขามองหน้ากันต่างคนต่างงวยงงเป็นอย่างยิ่งว่าเกิดอะไรขึ้นเนื่องจากไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น พวกเขาจึงรีบวิ่งเข้ามาในห้องด้วยอาการตื่นตระหนกและไม่ระวังตัวด้วยควิดว่าหลี่เจี่ยซินเป็นผู้หญิงตัวเล็กไม่มีพิษมีภัยอะไร และนักวิทยาศาสตร์คนนั้นอาจจะหน้ามืดล้มลงไปเอง
ทันทีที่พวกเขาเปิดประตูเข้ามาพร้อมปืน ก็ไม่พ้นถูกหลี่เจี่ยซินที่แข็งแรงและไวกว่าจัดตีเข้าที่จุดตายของพวกเขาทั้งสองคนด้วยแรงมหาศาลและความเร็วชนิดที่พวกเขายังไม่ทันได้คิดก็ล้มลงไปแล้ว
“อะไรกันพวกนายควรจะมีฝีมือกว่านี้สิ”
หลี่เจี่ยซินบ่นเบา ๆ ก่อนจะลากพวกเขาไปไว้หลังเตียงในมุมอับมุมหนึ่ง พร้อมทั้งเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของพวกเขาอย่างว่องไว
จะว่าโง่กันหรือก็ใช่ที่ทุกคนในนี้ล้วนปิหน้าปิดตากัน ดังนั้นหลี่เจี่ยซินในชุดคล้ายชุดทหารสีเขียวและสวมหน้ากากปิดใบหน้าจึงลากไอ้นักวิทยาศาสตร์นี่ออกมาได้อย่างง่ายดาย
เธอแบกนักวิทยาศาสตร์ที่สลบนั่นขึ้นบนบ่า ทั้งยังให้ใส่เสื้อผ้าของเธอถือปืนของทหารคนหนึ่งเอาไว้ในมือแล้วเดินออกมาอย่างเปิดเผย กระทั่งมีคนคนหนึ่งเข้ามาถาม
“หัวหน้าจะพาคนไปไหนครับ”
หลี่เจี่ยซินหยุดนิ่ง เพราะความแข็งแรงของเธอที่สามารถแบกคนตัวใหญ่คนหนึ่งอย่างสบายและยังสวมชุดของทหารมีป้ายแขนแสดงตำแหน่งถูกต้องจึงทำให้คนอีกคนเข้าใจว่าหลี่เจี่ยซินคือหัวหน้าของเขา
“ไม่ใช่หน้าที่ของแก ไปเตรียมรถก็พอ”
ผู้ชายคนนั้นชงักอยู่ชั่วครู่ แต่แล้วเขาก็พยักหน้า
“ครับหัวหน้า”
เสียงของหลี่เจี่ยซินแหบต่ำ ถึงผู้ชายคนนั้นจะแปลกใจแต่เขาก็ยังเดินนำหน้าเธอในขณะที่หลี่เจี่ยซินยังแบกนักวิทยาศาสตร์ร่างท้วมคนนั้นราวกับแบกกระสอบนุ่นตามออกมา
ระหว่างนั้นหลี่เจี่ยซินแสกนสายตาไปในห้องทุกห้องที่ขังผู้หญิงไว้ ปฏิกิริยาของเธอนิ่งสงบจนคนจับไม่ได้ เธอจำหน้าคนที่เธอเห็นได้ทุกคน แน่นอนว่าความสามารถของหลี่เจี่ยซินมีมากเกินกว่าคนทั่วไปจะรู้ คนในชุดคล้ายทหารยังยืนเรียงรายกันตามทางที่หลี่เจี่ยซินแบกคนออกมา ทุกคนยังทำความเคารพเธอด้วย
หลี่เจี่ยซินจึงวางมาดหัวหน้าอกภายไหล่ผึ่งเต็มที่ ชุดใหญ่ที่เธอใส่แล้วหลวมชุดนี้หากไม่ใช่เป็นเพราะว่ากำลังแบกคนร่างใหญ่เช่นนักวิทยาศาสตร์คนนี้อยู่บนบ่าคงจะทำให้คนสงสัยไม่น้อย โชคดีที่ร่างสูงใหญ่อ้อนท้วนของหมอนี่ทำให้เธอรอดตัวมาได้
รถถูกเตรียมให้เธอเรียบร้อย มันง่ายกว่าที่คิดเพราะว่าเธอดันไปจัดการกับตัวหัวหน้าหน่วยดูแลนี้เข้าพอดี
หลี่เจี่ยซินโยนร่างของนักวิทยาศาสตร์คนนั้นเข้าด้านหลังรถตู้ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างคนขับในขณะที่หลิวไห่ส่งพิกัดนี้ให้กับทางตำรวจเรียบร้อย
“ไปไหนครับ”
“ไม่ต้องให้ใครตาม นายสั่งให้พาเขาไปที่แห่งหนึ่ง แกขับตามที่ฉันบอก”
ผู้ชายคนนั้นไม่สนใจเสียงที่แหบแห้งผิดปกติของหลี่เจี่ยซิน เพราะแถบสีแสดงฐานะของเขาที่อยู่บนแขนและไม่มีใครคาดคิดว่าผู้หญิงที่มาใหม่จะร้ายกาจขนาดนี้
เขาขับรถออกมาจนกระทั่งถึงถนนเส้นหลัก หลี่เจี่ยซินจึงบอกให้เขาลงมาแล้วเธอจะเป็นคนขับเอง ผู้ชายคนนั้นเพียงเปิดประตูรถลงมาก็ถูกหลี่เจี่ยซินตีจนสลบ
“ฉันล่ะสงสารคนจ้างพวกนางจริง อ่อนแอแบบนี้ยังคิดทำงานใหญ่”
หลี่เจี่ยซินเตะผู้ชายคนนั้นจนกลิ้งลงไปข้างทางแล้วกดต่างหูตัวเองพร้อมทั้งกรอกเสียงสั่งการลงไป
“ที่รักฉันกำลังจะกลับแล้ว บุกไปช่วยคนได้”