คุณยายจับมือของหลี่เจี่ยซิน พร้อมทั้งเอาขนมลูกกวาดในลิ้นชักให้เธอ
“กลับจากโรงเรียนแล้วเหรอ นี่ของโปรด” แล้วคุณยายก็ก้มลงกระซิบบอกหลี่เจี่ยซิน
“อย่าบอกแม่นะ รีบกินรีบเคี้ยว”
หลี่เจี่ยซินรับมา เธอแกะห่อขนมออกแล้วยัดใส่ปาก ทำหน้าตาเหมือนว่ามันเป็นขนมที่อร่อยที่สุด หลี่เจี่ยซินยิ้มแป้นพลอยทำให้คุณยายอารมณ์ดีขึ้น ในเวลานี้ที่เธอมาถึงเป็นเวลาใกล้อาหารเย็นแล้ว คนใช้จึงเพิ่มที่ของเธออีกที่ ปกติคนที่คอยดูแลคุณยายก็มักทานข้าวเป็นเพื่อนคุณยายเสมอ แต่เมื่อหลี่เจี่ยซินมาเธอจะแยกตัวไปทานต่างหาก ปล่อยให้ยายหลานได้คุยกัน
“นี่ก็ของโปรดหลาน”
คุณยายตักพะโล้หมูหวานให้หลี่เจี่ยซิน เธอกล่าวขอบคุณพร้อมกับนึกถึงเรื่องบางอย่างได้ ในวันนั้นเหมือนว่าเธอไม่ชอบของกินนี่ แต่เพราะคุณยายบอกว่าคือของโปรดหลี่เจี่ยซินจึงฝืนใจกิน แม้จะไม่ชอบนักเธอก็ยังกินจนหมด สุดท้ายแล้วกินไปกินมากลับกลายเป็นความชอบของเธอ
ในวัยเด็กเธอไม่เคยสงสัยเรื่องพวกนี้มาก่อน จนกระทั่งวันนี้เธอจึงเกิดความสงสัยขึ้นมา ทำไมคุณยายถึงบอกว่าเธอชอบล่ะ และในตอนนั้นเธอกำลังคิดอะไรอยู่เธอจึงไม่บอกว่าเธอไม่ได้ชอบของพวกนี้
ทั้งหมดเพราะอะไรกันแน่
หลี่เจี่ยซินคิดไปพลางตักข้าวเข้าไป ทั้งยังฟังคุณยายเล่าเรื่องต่าง ๆ ทุกอย่างล้วนเป็นตอนที่หลี่เจี่ยซินอยู่ในวัยเด็ก เหมือนคุณยายในตอนนี้จะหยุดเวลาไว้แค่นั้น หลังจากกินข้าวเสร็จ หลี่เจี่ยซินก็ประคองคุณยายไปที่ลานบ้าน รับลมที่โชยโบก บรรยากาศของที่นี่ยังเป็นชนบทอยู่มาก อากาศแสนบริสุทธิ์ยังมีดอกไม้ที่ปลูกส่งกลิ่นหอมอยู่รอบ ๆ
หลี่เจี่ยซินรู้สึกว่าสมองโล่งขึ้น เธอเองก็ควรหาเวลามานอนกับคุณยายบ่อย ๆ เพราะทางด้านเฉินเฟยอวี๋เธอก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว ไม่รู้ว่าระหว่างเธอกับคุณยายใครจะมีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวกว่ากัน
หลังจากพูดคุยกับคุณยายไปได้สักพัก หลี่เจี่ยซินก็พยายามพาคุณยายวกเข้ามาเรื่องของแม่ ตอนนี้ดูเหมือนคุณยายจะกลับมาสู่โลกปัจจุบันและไม่ได้ติดอยู่ในอดีตแล้ว
“แม่ของหนูน่ะ หน้าเหมือนหนูมากเลยน่าเสียดายเขาจากไปเร็วเกินไป เสี่ยวเจี่ยของยายต้องกำพร้าแล้ว น่าสงสารเสียจัง”
คุณยายน้ำตาคลอ หลี่เจี่ยซินยิ้มเศร้า สุดท้ายไม่สามารถที่จะหยุดความสงสัยได้ เธอแค่ถามออกไปส่ง ๆ ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง
“คุณยายคะ ตอนนั้นที่คุณยายร้องไห้ หนูหายไปเหรอคะ”
จู่ ๆ มือคุณยายก็สั่น ยังร้องไห้ออกมาอย่างหนัก คุณยายจับมือของหลี่เจี่ยซินแน่น เอาแต่พูดว่า
“หาเสี่ยวเจี่ยให้เจอ หาเธอให้เจอ ฉันมีหลานสาวคนเดียวแม่เขาลูกสาวของฉันฝากเอาไว้ จะให้เธอหายไม่ได้ จะให้เธอหายไม่ได้เด็ดขาด”
หลี่เจี่ยซินถึงกับตกใจ ที่แท้มันเกิดอะไรขึ้น ในตอนนี้พ่อของเธอจากไปแล้วผู้ที่รู้ทุกอย่าง และคุณยายก็เลอะเลือน ในตอนนี้ดูเหมือนว่าหลี่เจี่ยซินจะทำให้คุณยายจดจำเรื่องบางอย่าง จนท่านไม่สบาย หลี่เจี่ยซินรู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง เธอจะทำยังไงดี
“คุณยาย เสี่ยวเจี่ยอยู่ที่นี่ค่ะ คุณยายคะ เสี่ยวเจี่ยไม่ได้หายไปไหนคะ ดูสิคะหลานยายอยู่ตรงนี้”
หลี่เจี่ยซินจับมือของคุณยายให้จับต้องสัมผัสร่างของเธอ สุดท้ายคุณยายหยุดคุ้มคลั่ง และกอดเธอแน่น ปากก็พร่ำพูดไปว่า
“เสี่ยวเจี่ยหายไปเป็นอาทิตย์เลย กลับมาแล้วเหรอลูก ยายใจจะขาดแล้วคิดถึงหนูกลัวหนูเป็นอันตราย”
หลี่เจี่ยซินตกใจที่ได้ยิน ก่อนหน้านั้นเป็นเพราะคุณยายยังสบายดีความทรงจำที่มีอย่างมากก็เลอะเลือนไปชั่วขณะ ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ระยะหลังมาอาการความจำเสื่อมเริ่มมากขึ้น ในที่สุดคุณยายก็หวนกลับไปคิดถึงความหวาดกลัวที่เคยเกิดขึ้น
ความกลัวที่ไม่เคยจางหายไปจากใจของคุณยายเลย
“หนูกลับมาแล้วค่ะ หนูกลับมาแล้ว”
คุณยายไม่ได้บอกว่าหลี่เจี่ยซินหายไปไหน พ่อก็ไม่เคยพูดถึง ดูเหมือนว่าทุกคนจะปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ทั้งหมดหากจะมองให้เข้าใจก็เพราะทุกคนอยากผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน ไม่ย้อนกลับมาอีก หลี่เจี่ยซินในตอนนั้นสันนิษฐานว่าตัวเองมีอายุเพียงแค่ห้าขวบกว่า ๆ เท่านั้นเอง
แต่เธอหายไปไหนและกลับมาได้ยังไงเรื่องนี้เป็นปริศนาเป็นอย่างยิ่ง
สุดท้ายแล้วคุณยายก็ได้รับยาและนอนหลับไปแล้ว หลี่เจี่ยซินเดินออกมาจากห้องของคุณยาย รถคันหนึ่งมาจอดที่ลานจอดหน้าบ้านหลังเล็ก หลี่เจี่ยซินไม่คุ้นตารถคันนี้ แต่ทันทีที่ผู้ชายในรถก้าวลงมาเธอก็แทบอยากจะกระโดดไปกอดเขา
“ที่รักมาได้ยังไง”
หลิวไห่เองมาถึงได้นานแล้ว แต่เขาเพิ่งขับรถเข้ามาจอด ที่ลานกว้างหน้าบ้านเขาเห็นยายกับหลานกอดกันร้องไห้ เขาไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่คิดว่าไม่สมควรที่จะเข้าไปในตอนนี้ให้เสียมารยาท
หลิวไห่ปิดประตู คว้าเอวของหลี่เจี่ยซินให้ชิดร่างของตัวเอง กอดเธอเอาไว้แน่น
ความจริงแล้วเรื่องที่เธอถูกเอาตัวอย่างเลือดไปทำให้เขากลัวมาก เพราะคนของสกุลกู้กำลังทำเรื่องที่อันตรายอยู่ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่อยากให้หลี่เจี่ยซินเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นเขาที่ให้เธอเข้าไปร่วมในปฏิบัติการพาคนออกมา จึงทำให้เธอตกเป็นเป้าของคนพวกนั้น
ความสามารถด้านการต่อสู้ของหลี่เจี่ยซินอาจเข้าตาคนของสกุลกู้และพวกเขาคิดใช้ประโยชน์จากเธอเหมือนกับที่คิดใช้กับผู้หญิงคนอื่นที่ถูกจับตัวไป
“ทำไมมาคนเดียว ไม่บอก”
หลี่เจี่ยซินกอดเอวเขา แล้วพากันเดินเข้าไปในบ้าน
“ไม่มีอะไร เห็นว่าที่รักกำลังมีความสุข อยู่กับหยางชิวนั่นก็ดีแล้วนี่ฉันแค่คิดถึงคุณยายก็เลยตรงมาน่ะ”
หลิวไห่กระแอม คิดแย้งในใจว่านั่นไม่ใช่เขาสักหน่อย แต่จะโทษใครได้ระหว่างเขากับเฉินเฟยอวี๋ ทั้งหน้าตาทั้งเสียงทั้งรูปร่างต่างโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน หากไม่ยืนเปรียบเทียบกันแล้วพบว่าเขาสูงกว่านิดหน่อยไม่มีใครเคยแยกพวกเขาออก ยิ่งหลี่เจี่ยซินที่เชื่อเสียสนิทแบบนี้โดยไม่คิดระแวงว่าเฉินเฟยอวี๋มีคู่แฝด เธอยิ่งปักใจเชื่อว่าคือคนเดียวกัน
หลิวไห่ได้แต่คิดในใจว่า
“คนโง่เอ๊ย”
หลี่เจี่ยซินเอาน้ำให้เขาดื่ม หลิวไห่ยังไม่ได้กินข้าวยังมีกับข้าวเหลืออยู่มาก เมื่อสักครู่เธอก็กินได้น้อยเพราะกังวลใจ แต่เมื่อเห็นหลิวไห่จึงรู้สึกหิวขึ้นมาอีก หลี่เจี่ยซินจึงกินข้าวเป็นเพื่อนเขาอีกรอบ พร้อมกับถามรายละเอียดคนร้าย
หลิวไห่เล่าให้เธอฟังโดยละเอียด สุดท้ายหลี่เจี่ยซินผู้ไม่สนใจโลกก็หัวเราะออกมา แน่นอนว่าเธอกลับรู้สึกสบาย ๆ ด้วยซ้ำ
“ฉันไม่กลัวหรอกไม่ต้องห่วง ไม่มีใครทำอะไรฉันได้ ได้เลือดไปแล้วยังไงอย่างมากพวกมันก็ตามมาให้วุ่นวาย แค่จัดการก็สิ้นเรื่อง”
ดูท่าทางของหลี่เจี่ยซินไม่ทุกข์ร้อนอะไรจริง ๆ แต่คนที่กังวลกลายเป็นหลิวไห่แทน ในตอนนี้เขาคิดว่าจะเปิดเผยตัวตนของตัวเองให้หลี่เจี่ยซินรู้ ยังไงเรื่องก็เลยเถิดมาจนถึงตอนนี้แล้ว
หลี่เจี่ยซินพาเขามาห้องนั่งเล่นเมื่อสักครู่เธอรื้อรูปเก่า ๆ เมื่อตอนเป็นเด็กมาดูกับคุณยาย หญิงสาวจึงกลับมาเก็บให้เรียบร้อย
“อยากดูหรือเปล่า รูปฉันตอนเด็กน่ะ กับคุณแม่และคุณยายแต่ไม่ค่อยมีคุณพ่อเขายุ่งไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่”
หลิวไห่พยักหน้า เขานั่งลงที่เก้าอี้ข้างตัวเธอ พร้อมกับเปิดอัลบั้มรูปของหลี่เจี่ยซินอย่างช้า ๆ
เด็กผู้หญิงร่างอ้วนเหมือนซาลาเปา ใบหน้าน่ารัก ดูเหมือนหลี่เจี่ยซินในตอนนี้ไม่ผิด ดูแค่ตอนเด็กก็รู้แล้วว่าโตขึ้นมาจะสวยขนาดไหน แต่ที่น่าแปลกใจรูปพวกนี้กลับหยุดที่หลี่เจี่ยซินอายุสามขวบเท่านั้น หลังจากนั้นกลับไม่มีรูปของเธอจนกระทั่งเธออายุห้าขวบ ช่วงเวลาหายไปปีหนึ่งคือช่วงอายุ สี่ขวบ ช่างน่าประหลาดโดยแท้ แต่หลี่เจี่ยซินรู้เรื่องนี้อยู่แล้วจึงอธิบายให้เขาฟัง
“แม่เสียตอนสี่ขวบน่ะ ก็เลยไม่มีรูปถ่ายช่วงนั้น ปกติพ่อจะยุ่งมากมีแต่แม่ที่คอยถ่ายรูปให้”
เธอบอกเขา พร้อมกับมองหน้าผู้หญิงที่อยู่ในรูปด้วยความรู้สึกรักใคร่เป็นอย่างมาก หลิวไห่ลูบศีรษะของเธอคล้ายจะปลอบใจ
“ไม่เป็นไรนะ ตอนนี้เธอมีฉันอยู่เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”
หลิวไห่หยิบรูปในมือของเธอขึ้นมาดูพร้อมกับอมยิ้ม หลี่เจี่ยซินตอนเด็กน่ารักมากจริง ๆ
“เธอเหมือนแม่หลานส่วนเลยนะ” แต่แล้วเขาก็แปลกใจบางอย่าง
“แต่เหมือนตอนเด็กเธอจะมีใฝเล็ก ๆ ที่ปลายคางนี่”
นั่นเป็นเพราะรูปถ่ายสมัยนั้นไม่ใช่กล้องดิจิตอล การเก็บรักษารูปก็ไม่ได้ดีมากจึงดูเหลืองและซีดมาก หลี่เจี่ยซินสังเกตตามที่เฉินเฟยอวี๋พูด ก่อนหน้านั้นแทบทุกรูปเธอจะมีจุดสีดำที่เธอไม่เคยสังเกตเห็นอยู่บนปลายคางเสมอ อันที่จริงมันเล็กมากจนคล้ายเป็นจุดที่เกิดจากการเก็บรูป แต่ที่น่าตกใจคือ มันมีเหมือนกันทุกรูป
หลังจากนั้นรูปห้าขวบของเธอไฝนั่นกลับหายไปแล้ว
ในใจของหลี่เจี่ยซินคล้ายจะกระตุก หลิวไห่จึงพูดว่า
“ตอนโตร่างกายขยายไฝอาจจะจางหายไปก็ได้”
เขาวิเคราะห์มั่ว ๆ ไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ในใจของหลี่เจี่ยซินตอนนี้กลับไม่สงบเสียแล้ว เธอต้องตามสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง หรือจะขอยืมมือของเฉินเฟยอวี๋ดีหรือเปล่านะ