ช่วงบ่าย เซียวหยางได้ปลีกตัวจากงานที่ยุ่งมาคอยชี้แนะจูเจียนเฉียงฝึกวรยุทธอยู่ที่ห้องออกกำลังกาย
ต้องบอกว่า จูเจียนเฉียงคนนี้ค่อนข้างเรียนรู้และเข้าใจอะไรได้อย่างรวดเร็ว
เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน แต่สามารถทรงตัวทำท่าควบม้าได้ดีมากแล้ว
“แกว่งแขนสะบัดพลัง ทำแขนให้ตึง แล้วยืดแขนออกไปให้เหมือนกับหอก ดึงแขนกลับมาให้เหมือนกับสะบัดแส้ ยืดออกดึงเข้า ควบคุมพละกำลังให้ดี!”
ฮือ——ฮา!
จูเจียนเฉียงเหงื่อออกไปทั้งตัว ฝึกฝนแต่ละกระบวนท่า ถึงแม้เหนื่อยมาก แต่ยังคงกัดฟันฝึกต่อไป
“กระดูกสันหลังไม่ต้องแอ่นให้ตรงเกินไป แนวกึ่งกลางลำตัวโผล่ออกมา จะทำให้ศัตรูอาศัยช่องโหว่นี้โจมตีได้ ไม่ว่าวรยุทธแบบไหน เมื่อฝึกจนถึงขั้นตอนสุดท้ายต้องฝึกไปถึงกระดูกสันหลัง ไม่อย่างนั้นก็เปล่าประโยชน์!”
“อาจารย์ครับ ศิษย์จะจำไว้ครับ! ว่าแต่ อะไรคือจุดที่ว่างเปล่าครับ?”
เซียวหยางหัวเราะเหอะเหอะ เห็นว่าเขาฝึกได้พอสมควรแล้ว ก็พาเขาไปยังด้านหน้าของหน้าต่างพาโนรามา
เห็นเพียงความกว้างใหญ่ด้านนอกหน้าต่าง ด้านหลังของบริษัทหยุนซูเป็นเขตพื้นที่ปฏิรูป ไม่มีสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่ ด้านหลังเขตพื้นที่ปฏิรูป เป็นสวนสาธารณะริมทะเลสาบ
“สิ่งที่เรียกว่าจุดที่ว่างเปล่า ก็คือการอยู่ในที่สูงแล้วสามารถมองไปได้ไกล ภายใต้มุมมองที่กว้างใหญ่ จะรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น บรรเทาความเมื่อยล้าไปได้”
“นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่จะบอกนาย ศิลปะการต่อสู้คือต้องรู้จักใช้ชีวิตให้เป็น ทำอะไรแบบพอประมาณ ยามตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
จูเจียนเฉียงเหมือนจะเข้าใจแล้ว เขารู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา เซียวหยางไม่เพียงแต่สอนวรยุทธเขาเท่านั้น แต่ยังสอนเรื่องการใช้ชีวิตให้กับเขาด้วย
ผ่านไปครู่หนึ่ง จูเจียนเฉียงพักผ่อนพอสมควรแล้ว ก็พุ่งเข้ามาด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ แล้วเอ่ยว่า : “แหะแหะ อาจารย์ครับ ควรสอนศิลปะการต่อสู้แบบจริงจังให้ผมได้หรือยัง? จนถึงตอนนี้ผมยังทำไม่เป็นสักท่าเลยนะครับ”
เซียวหยางมองสายตาเปล่งประกายของเจ้าหมอนี่ ก็ดีดนิ้วไปที่หัวของเขาหนึ่งที
“เอาเถอะ จะสอนนายสักสองสามท่า คอยดูให้ดีแล้วกัน!”
เซียวหยางเดินมายังพื้นที่ว่าง ๆ ในห้องออกกำลังกาย แล้วทำท่ามวยภายนอก จูเจียนเฉียงไม่โง่ เขารีบล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาบันทึกวิดีโอไว้ทันที
เมื่อทำท่าให้ดูหนึ่งรอบแล้ว เซียวหยางก็หยุดแล้วยืนขึ้นอีกครั้ง
“เพลงมวยนี้เป็นการผสมรวมระหว่างท่าสิงอี้ ท่าปากว้า หมัดทงเป้ย มวยสกุลหงและท่าถานถุ่ย นายไตร่ตรองดูแล้วกัน”
ทันใดนั้น โทรศัพท์ของเซียวหยางก็ดังขึ้น โทรมาจากห้องทำงานของท่านประธาน เย่หยุนซูให้เขาไปที่ห้องทำงาน
“นายฝึกด้วยตัวเองไปก่อนนะ ไม่เข้าใจตรงไหนค่อยมาถามฉัน ฉันมีธุระ ขอตัวก่อนนะ”
เมื่อเดินออกมาจากห้องออกกำลังกาย เซียวหยางก็ไปห้องน้ำล้างหน้า แล้วเดินไปที่ห้องทำงานท่านประธานด้วยท่าทางสบาย ๆ
เมื่อเข้าไปถึง ก็เห็นคุณปู่เย่กับเย่หยุนซูสองปู่หลานนั่งอยู่ด้วยกัน บนโต๊ะมีเอกสารกองโตวางอยู่ด้วย
“ไอหยา คุณสองคนนั่งมองหน้ากันไปมาทำไม รีบเรียกผมมาขนาดนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกงั้นเหรอ?”
เย่หยุนซูกลอกตาใส่ แล้วเอ่ยพูด : “เซียวหยาง เวลาที่คุณปู่อยู่ด้วย นายช่วยสำรวมหน่อยได้ไหม ทำตัวบ้าบออยู่ได้”
“เซียวหยางมาแล้วเหรอ ดูเอกสารก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เซียวหยางยื่นมือไปหยิบเอกสาร นั่งลงบนโซฟา ยกขาขึ้นไขว่ห้างแล้วเปิดดู อ่านไปอ่านมาก็ขำพรืดออกมา
“คุณปู่ บริษัท เย่ซื่อ กรุ๊ปของคุณขาดทุนเมื่อไตรมาสที่แล้วไปสองร้อยล้านเหรอ สามไตรมาสก่อนรวมกันขาดทุนไปแปดร้อยล้าน ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เงินสำหรับทำโลงศพก็ไม่มีแล้วนะ”
เย่วั่นเหนียนได้ยินอย่างนั้น ก็ฝืนยิ้มออกมา แล้วส่ายหน้าติดต่อกัน
คิ้วเรียวสวยของเย่หยุนซูขมวดเป็นปม แสดงความไม่พอใจออกมาทันที
ถึงแม้ด้านอื่น ๆ เซียวหยางจะทำได้ดี แต่ด้านธุรกิจเขากลับไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย
“พอได้แล้ว เซียวหยาง บริษัท เย่ซื่อ กรุ๊ปขาดทุนติดต่อกัน ในฐานะที่นายเป็นเขยของตระกูลเย่ เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวตระกูลเย่ นายพูดอย่างนี้มันเหมาะสมแล้วเหรอ?”
เซียวหยางโยนเอกสารลงบนโต๊ะ แล้วยักไหล่พลางพูดว่า :
“ฉันก็แค่พนักงานขายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ตระกูลเย่จะล้มละลายหรือไม่ มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน อีกอย่าง เย่ถันหมิงกับเย่หรูไห่สองพ่อลูกมีอำนาจควบคุมดูแลแต่เพียงผู้เดียว และตระกูลเย่ก็เป็นพวกที่ใครพูดอะไรก็ไม่ยอมรับฟังทั้งนั้น แม้แต่ประตูของบริษัท เย่ซื่อ กรุ๊ปบริษัทใหญ่อยู่ทางไหนฉันยังไม่รู้เลย”
คำพูดนี้แฝงไปด้วยการพูดแซะตระกูลเย่อยู่ไม่น้อย
เย่หยุนซูออกมาเปิดบริษัทด้วยตัวเอง เพียงระยะเวลาสั้น ๆ ไม่กี่ปี ก็สร้างผลงานได้มากมายขนาดนี้ ส่วนตระกูลเย่ ก็แทบจะไม่ยื่นมือมาช่วยเหลืออะไรเลย ทั้งหมดนี่เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น
แต่บริษัท เย่ซื่อ กรุ๊ปล่ะ ทรัพยากรก็มีไม่น้อย เส้นสายก็กว้างขวาง กลับยึดติดอยู่กับสิ่งเดิม ๆ ไม่คิดจะพยายามพัฒนาก้าวไปข้างหน้า ตามตลาดไม่ทัน ขาดทุนติดต่อกันหลายปีก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายเลย เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
การที่เซียวหยางพูดแบบนี้ ที่จริงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเย่หยุนซู
เฮ้อ!
เย่วั่นเหนียนถอนหายใจออกมา แล้วเอ่ยพูด : “เรื่องนี้ต้องโทษปู่ ปู่แก่แล้ว ถึงเวลาที่ควรฝึกสอนคนที่จะมารับช่วงต่อได้แล้ว เดิมทีคิดว่าจะให้โอกาสหรูไห่กับถันหมิง แต่ใครจะไปคิดว่าสองพ่อลูกนี่จะทำให้ปู่ผิดหวังขนาดนี้!”
“พวกแกก็รู้ ว่าสองปีก่อนปู่ป่วยจนต้องไปต่างประเทศ ที่บ้านมีภรรยาคอยประคับประคองไว้อยู่ คนอื่นเอาใจเธอเข้าหน่อย เธอก็แยกแยะอะไรไม่ถูกแล้ว หยุนซู ปู่ต้องขอโทษหนูด้วยนะ สองปีที่ผ่านมา ทำให้หนูได้รับความทุกข์ยากลำบากใจ”
เย่หยุนซูแสบจมูกขึ้นมา ขยับปากเอ่ยพูด : “คุณปู่คะ หนูรู้ค่ะว่าปู่รักหนู หนูไม่เคยโทษคุณปู่เลย และไม่เคยโทษคุณย่าด้วย”
เซียวหยางโบกปัดมือ เอ่ยพูดอย่างเอือมระอาว่า : “พอเลยพอเลย ถ้าจะพูดความในใจกันฉันจะไม่อยู่ฟังแล้วนะ คุณปู่เย่ ที่คุณมาครั้งนี้ต้องการอะไรกันแน่?”
ได้ยินอย่างนี้ คุณปู่เย่ก็ตาเป็นประกายขึ้นมา กวาดตามองเซียวหยางอย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นสายตาก็ไปหยุดนิ่งที่เย่หยุนซู
“หยุนซู หนูน่าจะเคยได้ยินคำพูดประโยคนี้ ยิ่งมีความสามารถ ความรับผิดชอบก็ยิ่งมากตามไปด้วย ปู่คิดดีแล้ว มองดูคนทั้งตระกูลเย่แล้ว คนที่สามารถรับตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ของบริษัท เย่ซื่อ กรุ๊ปได้ ก็มีเพียงหนูเท่านั้น”
หลังจากที่เซียวหยางได้ยินดังนั้น ก็ยกมุมปากขึ้นทันที ตาแก่นี่ร้ายไม่เบาเลยนะเนี่ย
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขาคอยปกป้องดูแลเย่หยุนซูอยู่ ไม่มีทางให้เย่หยุนซูเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ ถ้าหากให้เย่หยุนซูไปเป็นหางเสือให้กับบริษัท เย่ซื่อ กรุ๊ป แสดงว่าบริษัท เย่ซื่อ กรุ๊ปถูกผูกมัดกับสำนักดราก้อน
เกรงว่าวันข้างหน้าหากบริษัท เย่ซื่อ กรุ๊ปยืนหยัดต่อไปไม่ไหว ขอแค่มีสำนักดราก้อนคอยให้การสนับสนุน ก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไปในเมืองหยินโจวได้
แต่เย่หยุนซูกลับไม่เข้าใจในจุดนี้ เธอเอามือป้องปากอย่างตกใจแล้วเอ่ยพูด : “คุณปู่ คุณ……คุณปู่พูดว่าอะไรนะคะ? จะให้หนูดูแลบริษัท เย่ซื่อ กรุ๊ปเหรอคะ?”
เรื่องนี้มาเร็วเกินไปจนเธอตั้งตัวไม่ทัน
หากเป็นเมื่อก่อน นี่เป็นเรื่องที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิดเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ กลับได้ยินคุณปู่พูดออกมาเอง
“ใช่แล้ว ปู่คิดว่าอย่างนี้ พรุ่งนี้ในงานประชุมครอบครัว ปู่จะประกาศเรื่องนี้ ปู่คิดดีแล้ว ขณะที่ปู่ยังมีชีวิตอยู่ ปู่อยากส่งมอบให้กับหนูอย่างราบรื่น”
เย่หยุนซูกะพริบตาที่ใสแป๋วของเธอปริบ ๆ วินาทีนั้น เธอไม่ได้รู้สึกเซอร์ไพรส์เลยสักนิด แต่กลับรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
คนอื่นไม่เข้าใจ แต่เธอกลับรู้ดีว่า บริษัท เย่ซื่อ กรุ๊ป ไม่ได้ควบคุมดูแลง่ายขนาดนั้น
บริษัทหยุนซูเป็นธุรกิจส่วนตัว เป็นของเย่หยุนซูคนเดียวเท่านั้น
แต่บริษัท เย่ซื่อ กรุ๊ปต่างออกไป นั่นเป็นกิจการครอบครัว เป็นของครอบครัวใหญ่ ยากที่จะจัดการแก้ไขปัญหาภายในครอบครัวได้ ยิ่งไปกว่านั้น เย่หยุนซูเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ยากที่จะโน้มน้าวใจทุกคนได้
เห็นว่าเย่หยุนซูลังเล เซียวหยางก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วเอ่ยพูด : “หยุนซู ตอบตกลงเถอะ”
“ตอบตกลง?” เย่หยุนซูมองเซียวหยางด้วยความประหลาดใจ
“ก่อนหน้านี้ในงานเลี้ยงวันเกิดเหล่าไท่จวิน ฉันเคยพูดกับเธอไว้ว่า ถ้าหากเธอเต็มใจ ฉันจะทำให้เธอได้ตำแหน่งผู้นำตระกูล”
“ตอนนี้โอกาสนั้นมาถึงแล้ว และมีคุณปู่คอยสนับสนุนอยู่ เธอยังกลัวอะไรอีก?”
เย่หยุนซูเหมือนตกอยู่ในความฝัน จริงด้วย งานเลี้ยงวันเกิดคุณย่า เซียวหยางเคยพูดอย่างนี้จริง ๆ
แต่เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นตรงหน้าตัวเอง เธอกลับยากที่จะเชื่อในสิ่งเหล่านี้