เฝิงเป่ากางไม่โมโหแต่ท่าทางน่าเกรงขามมาก ดวงตาหางตาเชิดสูงคู่นั้นมองเซียวหยางอย่างเย็นชา
“เหอะ คราวนี้ดูสิว่าแกจะทำยังไง?”
ในที่สุดเฉินเสี่ยวเปียวก็หาที่พึ่งได้แล้ว เขาจึงเริ่มทำอวดเก่งขึ้นมา
เซียวหยางไม่รีบร้อน ไม่มีทีท่าเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
“พี่เฝิง พี่ก็เป็นคนที่อยู่ในแวดวงพวกนี้ เงินหกหมื่นหยวน พี่คิดว่ากรมที่ดินจะให้พี่ยอมเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์เหรอ? อย่าว่าแต่ผู้กำกับเลย ต่อให้พี่เป็นผู้อำนวยการกรมที่ดิน ก็คงไม่กล้าเล่นอะไรแบบนี้หรอกใช่ไหม?”
เมื่อครู่นี้เฝิงเป่ากางอยากออกหน้าแทนหลานชาย จึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่เมื่อเซียวหยางพูดเตือนขึ้นมา ก็มีเหตุผลจริง ๆ นั่นแหละ
หกหมื่นหยวน ต่ำกว่าราคาตลาดมากเกินไปจริง ๆ กรมที่ดินไม่มีทางออกเอกสารให้เด็ดขาด
แต่ว่า สถานการณ์ในตอนนี้ เซียวหยางไม่เพียงมีเอกสารยืนยันเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์เรียบร้อยแล้วด้วย ตอนนี้บ้านหลังนี้เป็นของคนอื่นแล้วจริง ๆ
เฝิงเป่ากางตรากตรำทำงานอย่างยากลำบากมาหลายปีจึงรู้จักระมัดระวังเป็นอย่างมาก เขากลัวจะไปล่วงเกินใครเข้า แล้วกลายเป็นทุบหม้อข้าวตัวเอง
หรือว่า เซียวหยางคนนี้ฐานะไม่ธรรมดา แม้แต่คนในกรมที่ดินยังต้องเชื่อฟังเขา?
อีกอย่างเซียวหยางดูท่าทางอายุน้อย น่าจะยี่สิบกว่าปีเอง แต่สามารถทำให้กรมที่ดินของเมืองหยินโจวฟังคำสั่งเขาได้ หรือว่าเจ้าหมอนี่จะเป็นลูกหลานตระกูลร่ำรวยและมีอำนาจ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา
แต่เมื่อคิดกลับกัน วันนี้น้องสาวของเขาเรียกให้เขามาช่วยหลานชาย ถ้าหากไม่จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย น้องสาวของเขาต้องมาพังบ้านเขาแน่นอน
ไม่ว่ายังไงก็ตาม ต้องสืบสาวราวเรื่องให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เฝิงเป่ากางเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย : “เซียวหยาง ฉันรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังมีช่องโหว่อยู่นะ ต้องถามให้ชัดเจนถึงจะจบ”
เซียวหยางแสดงท่าทีไม่สะทกสะท้านใด ๆ จะถามก็ถามสิ
“แต่ว่า ก่อนที่พี่จะถามผม ควรจะถามให้ชัดเจนว่าหลานชายพี่ทำเรื่องเลวทรามอะไรไว้ก่อนดีไหม?”
เฝิงเป่ากางขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง?”
“ความหมายก็ง่าย ๆ ผมแค่กลัวว่าพี่สืบสวนต่อไปเรื่อย ๆ แล้วจะทำอะไรผมไม่ได้ แต่กลับไปสืบเจอประวัติอาชญากรรมของเฉินเสี่ยวเปียวเอาซะก่อน!”
“อาชญากรรม? เฉินเสี่ยวเปียว ที่เขาพูดมันหมายว่ายังไง แกบอกฉันมาให้ชัดนะ!”
เฉินเสี่ยวเปียวลนลานอยู่ครู่หนึ่ง แต่มีลุงหนุนหลังอยู่ เขาจะกลัวอะไรล่ะ
ทันใดนั้นเขาจึงตบโต๊ะ แล้วพูดแก้ตัวด้วยน้ำเสียงโกรธ ๆ : “เซียวหยาง แกใส่ร้ายฉันให้มันน้อย ๆ หน่อยนะ เมื่อคืนเรื่องที่ฉันจะปล้ำเสิ่นอ้าวจุน แกมีหลักฐานงั้นเหรอ? มีไหมล่ะ?”
“แกพูดว่าอะไรนะ ใครจะปล้ำใคร?”
เฉินเสี่ยวเปียวชะงักไปทันที “ลุงครับ เปล่า ไม่มีใครครับ”
เซียวหยางหัวเราะเหอะเหอะ “ผมไม่ต้องพูดอะไรแล้วมั้ง เขาสารภาพออกมาเองแล้ว”
เฝิงเป่ากางชำเลืองมองเฉินเสี่ยวเปียวอย่างดุดัน ใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้จริง ๆ!
ไอ้เวรนี่ถึงกับกล้ารังแกผู้หญิงของคนอื่น แม่งเอ้ย เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมเมื่อคืนเขาไม่พูดออกมา ตอนนี้เพิ่งมาพูดเนี่ยนะ?
นี่ไม่ใช่ว่าดึงตัวเองลงน้ำด้วยหรอกเหรอ? ปกติเขาค่อนข้างโอหังอวดดี แต่ในความเป็นจริงเรื่องบางเรื่องเขาก็ไม่สามารถทำเกินเลยได้
อีกอย่าง การแต่งตัวของเซียวหยางกับเสิ่นอ้าวจุนก็ไม่เหมือนพวกกระจอกเลย ไม่แน่พวกเขาอาจมีเส้นสายจริง ๆ ก็ได้
ถ้าหากไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน ดีไม่ดีหนทางในสายงานราชการของตัวเองอาจจะ……
ขณะที่กำลังคิดพิจารณา เซียวหยางก็ได้ให้ยาแรงกับเขาอีกครั้ง :
“พี่เห็นบาดแผลบนตัวเขาหรือยัง นั่นเป็นเพราะเขามัวเมาจนขาดสติ ผมต้องป้องกันเอาไว้เลยเกิดแผลนั่น อ้อ ลืมบอกพี่ไป ในบ้านติดกล้องวงจรปิดเอาไว้ พวกพี่อยากได้หลักฐานไม่ใช่เหรอ ผมสามารถเอาหลักฐานมาให้ดูได้ทุกเมื่อ”
“แต่ว่า เมื่อถึงตอนนั้น เฉินเสี่ยวเปียว สิ่งที่รอแกอาจเป็นหายนะที่แกต้องถูกจับขังคุกก็ได้”
เฉินเสี่ยวเปียวตกใจกลัว คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าในบ้านมีกล้องวงจรปิดด้วย!
ความผิดแบบนี้มีทั้งโทษหนักโทษเบา ถ้าหากผู้เสียหายไม่ให้อภัยนาย ก็คงต้องรอรับโทษทางกฎหมาย
“ลุงครับ ลุงต้องช่วยผมนะครับ ผมไม่อยากมีปัญหา ผมไม่อยากติดคุก”
เฝิงเป่ากางโกรธจนหน้าเขียวปั๊ด ไอ้หลานชายสิ้นคิดคนนี้ ทำผิดอยู่เห็น ๆ ยังอยากให้ตัวเองออกหน้าแทนมันอีก!
เมื่อเซียวหยางเห็นว่าได้จังหวะแล้ว จึงยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยพูด : “พวกพี่ไม่ต้องร้อนใจไปหรอก ผมมีข้อเสนอให้ ฉันไม่ฟ้องแก แต่แกอย่ามาตามรังควานเรื่องบ้านอีก แกว่าไง?”
เฉินเสี่ยวเปียวลังเล ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เขาคับแค้นใจ!
เมื่อคืนตัวเองทำอะไรไม่สำเร็จสักเรื่อง แม้แต่มือเล็ก ๆ ของเสิ่นอ้าวจุนก็ยังไม่ได้จับเลย แต่กลับถูกเซียวหยางอัดจนน่วม ซ้ำยังเสียบ้านไปให้มันอีก
เซียวหยางนั่งไขว่ห้าง รอคำตอบจากพวกเขา ส่วนเฉินเสี่ยวเปียวกับเฝิงเป่ากางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังคิดไม่ตก
หากทำให้เรื่องเงียบไป พวกเขาก็จะเสียหายกันอย่างมาก ถูกอัดจนน่วมไม่พอ ยังเสียบ้านไปอีกหนึ่งหลัง
แต่ทำให้เป็นเรื่องขึ้นมา เฉินเสี่ยวเปียวก็มีความผิดจริง ๆ อาจจะต้องถูกจับเข้าคุกก็ได้
และในขณะนั้นเอง มีเสียงประหลาดใจดังขึ้นมาไม่ไกลนัก
“พี่หยาง เป็นพี่จริง ๆ ด้วย คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอพี่ที่นี่ด้วย!”
เมื่อเซียวหยางหันไป ก็พบว่าไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอู๋จื้อเหวินนั่นเอง
หลังจากที่อู๋จื้อเหวินแน่ใจว่าเป็นเซียวหยาง ก็รีบเดินเข้ามา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง
“ฉันมาทานข้าวกับเพื่อน ทำไมนายถึงมาอยู่นี่ล่ะ?” เซียวหยางเอ่ยพูดอย่างคาดไม่ถึง
อู๋จื้อเหวินก็หัวเราะออกมา “พี่ให้สูตรยาผมมาไม่ใช่หรือไง หลายวันมานี้ผมกำลังหาตัวยาอยู่ล่ะ เมื่อครู่ได้นัดทานข้าวกับเถ้าแก่ร้านขายตัวยาสมุนไพร”
“เอ๊ะ คนเหล่านี้คือ……”
อู๋จื้อเหวินเห็นที่โต๊ะยังมีคนอื่นอีกสามคน
“อ้อ คนพวกนี้เป็นเพื่อนฉันเองแหละ เสิ่นอ้าวจุน เฉินเสี่ยวเปียวแล้วก็เฝิงเป่ากาง”
อู๋จื้อเหวิน?
ตอนที่เฝิงเป่ากางเห็นอู๋จื้อเหวิน ก็อึ้งไปทันที รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ตระกูลอู๋เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานในเมืองหยินโจว อู๋จื้อเหวินเป็นลูกหลานตระกูลอู๋ที่มีชื่อเสียง อย่าว่าแต่เขาที่เป็นผู้กำกับตัวเล็ก ๆ เลย แม้แต่ระดับอธิบดีกรมเมื่อเจออู๋จื้อเหวินก็ไม่กล้ามีปัญหาด้วย
ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก แต่เป็นเพราะนายท่านอู๋คนนั้นยิ่งใหญ่มากจริง ๆ ในเมืองหยินโจว คุณอาจไม่รู้จักตระกูลเย่ แต่ไม่มีทางที่จะไม่รู้จักตระกูลอู๋เด็ดขาด!
เฝิงเป่ากางคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าเซียวหยางจะรู้จักกับอู๋จื้อเหวินด้วย อีกอย่างดูท่าทางแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้รู้จักกันเพียงผิวเผินเลย ถึงกับเอ่ยปากเรียกว่าพี่หยาง!
มิน่าล่ะถึงซื้อบ้านของหลานชายในราคาหกหมื่นหยวนได้ ทั้งหมดนี้ได้รับการอธิบายหมดแล้ว
“ที่แท้ก็เพื่อนของพี่หยางนี่เอง เอางี้แล้วกัน วันนี้ผมเป็นเจ้าภาพเอง อาหารโต๊ะพวกพี่ผมจ่ายให้เอง”
เฉินเสี่ยวเปียวได้ยินดังนั้น ก็ดีใจจนแทบกระโดดขึ้นมา อาหารและไวน์บนโต๊ะนี้ รวมกันแล้วไม่ต่ำกว่าหกเจ็ดหมื่นหยวน คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาแย่งจ่ายเงินแทน ดีมากเลยจริง ๆ
เฝิงเป่ากางรีบเดินเข้าไปด้านหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงประจบเอาใจ : “ฮ่ะฮ่ะ จะให้คุณชายอู๋จ่ายเงินได้ยังไงล่ะครับ ไม่เหมาะสมเลย ผมจ่ายเอง ผมจ่ายเองครับ!”
อู๋จื้อเหวินเลิกคิ้ว มองเฝิงเป่ากางด้วยความสงสัย เซียวหยางยิ้มพลางเอ่ยพูด : “นี่คือเฝิงเป่ากาง เป็นผู้กำกับสถานีตำรวจถนนเปาซานเขตเทียนซิน”
“อ้อ ที่แท้ก็ผู้กำกับเฝิงนี่เอง เพื่อนของพี่หยาง งั้นก็เป็นเพื่อนของผมด้วย เดี๋ยวพวกเราแลกเบอร์กันหน่อยนะ”
เฝิงเป่ากางตื่นเต้นขึ้นมาทันที รีบพยักหน้าหงึก ๆ ถ้าหากสานสัมพันธ์กับตระกูลอู๋ได้ ก็คงเป็นเรื่องที่ดีมากเลยล่ะ
ขณะเดียวกัน เฝิงเป่ากางก็มีท่าทีเคารพเซียวหยางมากขึ้น ไม่เพียงแต่ไม่หาเรื่องอีกแล้ว แต่กลับมองเซียวหยางด้วยท่าทีซาบซึ้งใจ
ถ้าหากเซียวหยางเอาเรื่องนี้พูดให้อู๋จื้อเหวินฟัง เขารับรองได้เลยว่า คุณชายตระกูลใหญ่โตคนนี้ไม่มีทางปล่อยเขากับเฉินเสี่ยวเปียวเอาไว้แน่
แต่เซียวหยางกลับบอกว่าพวกเขาเป็นเพื่อนของเซียวหยาง ทำให้ได้รับการยอมรับจากอู๋จื้อเหวิน
เมื่อออกมาจากร้านอาหารตะวันตก เฉินเสี่ยวเปียวพูดอย่างไม่พอใจว่า : “ลุงครับ อาหารมื้อนี้จ่ายไปหกหมื่นกว่า ครั้งนี้พวกเราขาดทุนย่อยยับเลยนะ”
“ขาดทุนบ้านแกสิ! แกนี่มันโง่จริง ๆ มิน่าล่ะโตป่านนี้แล้วยังไม่มีอนาคต ฉันเตือนแกไว้นะ ถ้าหากยังกล้าหาเรื่องเซียวหยางกับเสิ่นอ้าวจุนอีก ฉันไม่เอาแกไว้แน่!”
“ลุงครับ แต่นั่นมันบ้านของผม……”
“อย่ามัวแต่อาลัยอาวรณ์บ้านของแกอีก บ้านนั่นเมื่อเทียบกับเส้นสายของตระกูลอู๋ อันไหนสำคัญกว่ากันห๊ะ?”
“แกนี่ซื่อบื้อจริง ๆ แกคิดทบทวนให้ดีแล้วกัน!”
ไม่พูดถึงเรื่องเฝิงเป่ากางตำหนิติเตียนเฉินเสี่ยวเปียวแล้ว เสิ่นอ้าวจุนนั่งอยู่ในร้านอาหารตะวันตกอีกสักครู่ก็ขอตัวกลับ ปัญหาแก้ไขเรียบร้อยแล้ว เธอต้องกลับไปดูแลกิจการอีก
เซียวหยางกับอู๋จื้อเหวินได้เปลี่ยนโต๊ะนั่ง แล้วสั่งวิสกี้มาสองแก้ว จากนั้นก็นั่งดื่มเหล้าพูดคุยกัน
เห็นอู๋จื้อเหวินทำท่าจะพูดอะไรแต่ไม่พูดออกมา ดูเหมือนมีเรื่องอยากจะพูด เซียวหยางจึงพูดอย่างรำคาญว่า :
“มีอะไรก็พูดมาตรง ๆ อย่ามาทำท่าคลุมเครือกับฉัน”
อู๋จื้อเหวินหัวเราะออกมาอย่างจนใจแล้วเอ่ยพูด : “พี่หยาง ที่จริง พวกเราเตรียมตัวยาได้เกือบครบแล้ว แต่ยังขาดตัวยาหลักไปหนึ่งอย่าง!”